ทหารรักษาพระองค์ด้านหลังและขันทีด้านหน้าราวกับกลายเป็นรูปปั้นหิน
เฉินตันจูจ้องมองฉู่ซิวหยง แสงแดดทำให้ใบหน้าของเขาเลือนราง
“ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่เกิดเรื่องใดขึ้น ข้ายังไม่รู้” เขาพูดเสียงเบา “มีเพียงองค์รัชทายาทและจิ้นจงที่รู้”
หมายความว่าสถานการณ์ขององค์ชายหกกับนางในเวลานี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของเขา ไม่แม้กระทั่งอยู่ในการคาดการณ์ของเขา เดิมทีเฉินตันจูอยากถามจุดประสงค์ของเขา แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ย่อเข่าถวายบังคม
เมื่อเห็นเฉินตันจูที่นิ่งเงียบ ฉู่ซิวหยงก็ไม่พูดอีก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน หญิงสาวที่ภายนอกนิ่งสงบผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะมีความกังวลและความระแวงมากน้อยเพียงใดภายในใจ ในใจของนาง เขาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ องค์ชายหกกับเฉินตันจูต้องแบกรับโทษที่ทำให้ฮ่องเต้ประชวรเป็นฝีมือของเขา
เขาจะบอกกับนางอย่างไร บอกว่าเพียงแค่ใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์ ไม่ได้ต้องการชีวิตของพวกเขาจริงๆ ดังนั้นพวกเจ้าอย่าโกรธอย่างนั้นหรือ
“ตันจู ข้าไม่คิดจะทำร้ายเจ้า” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา ถึงแม้คำพูดนี้จะดูไร้เรี่ยวแรง
เฉินตันจูยิ้ม “ใช่ องค์ชาย หม่อมฉันรู้ ท่านไม่คิดจะทำร้ายหม่อมฉัน แต่ว่าช่างโชคร้ายเสียจริง”
โชคร้ายที่นางมีความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กและองค์ชายหก
ส่วนเขาก็โชคร้ายที่พบนางในวัดถิงอวิ๋น พูดคุยกับนาง พัวพันกับนาง หากมิฉะนั้น เหตุใดเขาจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของนาง เหตุใดจึงต้องสนใจว่านางทุกข์หรือดีใจ โกรธหรือเกลียดเขาหรือไม่
ฉู่ซิวหยงถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อหลีกทาง “เจ้า พักผ่อนเถิด”
เมื่อแสงอาทิตย์ปกคลุมพื้นดิน ค่ำคืนที่วุ่นวายก็ผ่านพ้นไปในที่สุด
เฉินตันจูถูกขังเข้าไปในสำนักราชทัณฑ์ของวังหลวง ที่นี่ไม่สบายเท่าห้องขังที่หลี่จวิ้นโส่วเตรียมให้นางในเวลานั้น แต่ก็เกินความคาดหมายของนาง…เดิมทีนางคิดว่าจะต้องถูกเฆี่ยนตีทรมาน แต่สุดท้ายนางกลับสามารถหลับได้อย่างสบาย
เตียงในห้องขังเรียบง่าย แต่ผ้าปูเป็นผืนใหม่ ทั้งนุ่มทั้งหอม ภายในห้องคับแคบยังมีโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว ด้านบนมีอุปกรณ์ชงน้ำชาวางไว้
องค์รัชทายาทไม่ปรากฏตัวแม้แต่น้อย ราวกับไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย ฉู่ซิวหยงก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก แต่ว่าคนที่มาส่งข้าวคืออาจี๋
“อาจี๋เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เฉินตันจูจับแขนของอาจี๋มองซ้ายมองขวาอย่างดีใจ “เจ้าถูกโบยหรือไม่”
อาจี๋มองดวงตาของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและดีใจ ภายในใจโศกเศร้าไม่น้อย เขาส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่ท่าน ไม่ได้ทำผิด จะถูกโบยได้อย่างไร”
เฉินตันจูถอนหายใจ “เจ้าปรนนิบัติฝ่าบาท ฝ่าบาททรงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนข้างกายย่อมต้องถูกลงโทษไม่ใช่หรือ”
อาจี๋คิดในใจ ความจริงแล้วเขาไม่ได้ปรนนิบัติฝ่าบาท เขาปรนนิบัติเฉินตันจูต่างหาก ฝ่าบาททรงเกิดเรื่อง ลงโทษเฉินตันจูก็พอแล้ว ไม่สนใจบุคคลไม่สำคัญอย่างเขา
เฮ้อ เมื่อเห็นคุณหนูตันจูถูกขังอีกครั้ง ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ดี ครั้งก่อนคุณหนูตันจูถูกขังเพราะฆ่าคน แต่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กใช้ความตายแลกชีวิตของนางเอาไว้ ที่สำคัญคือฮ่องเต้ยังมีสติอยู่ คุณหนูตันจูไม่เพียงพ้นโทษ อีกทั้งยังถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว ไม่อาจตายเป็นครั้งที่สองได้ ฮ่องเต้ก็ประชวร คราวนี้คุณหนูตันจูจะทำอย่างไร
“ทานข้าวก่อนเถิด” อาจี๋ถอนหายใจพลันพูด “ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านชอบ”
เฉินตันจูนั่งลงพลันถอนหายใจเช่นเดียวกัน “เมื่อนึกถึงฝ่าบาทยังประชวรอยู่ ข้ากินอะไรก็ไม่อร่อย”
เพียงแค่กินไม่อร่อย ไม่ใช่กินไม่ลง อาจี๋อยากหัวเราะออกมา ไม่ว่าอย่างไรสภาพจิตใจของคุณหนูตันจูยังดี
“ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง” เฉินตันจูถามเขาอีกครั้ง
ถึงแม้อาจี๋จะถูกส่งมา…คงเป็นฉู่ซิวหยงส่งมา แต่เขาคงจะสามารถส่งข่าวได้บ้าง
อาจี๋รู้เรื่องจริง เหมือนที่เขาพูดก่อนหน้านี้ ถึงแม้เขาจะอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ความจริงแล้วเขาปรนนิบัติเฉินตันจู ไม่ใช่ขันทีสำคัญแม้แต่น้อย ดังนั้นระยะเวลานี้ องค์รัชทายาทฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวรเปลี่ยนแปลงคนจำนวนมาก แต่เขายังคงอยู่ต่อ
“หูไต้ฟูที่ท่านโหวโจวพามามีความสามารถมาก บอกว่าฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้น ฝ่าบาทก็ทรงฟื้นจริง” อาจี๋พูด “แต่ฝ่าบาทยังทรงพูดไม่ได้”
พูดไม่ได้หรือ อย่างนั้นองค์รัชทายาทก็ต้องเป็นคนส่งสารของฮ่องเต้ต่อไป เฉินตันจูถือตะเกียบพลันครุ่นคิด
“อีกอย่าง วันนี้องค์รัชทายาทจะทรงประกาศต่อขุนนางราชสำนัก ฝ่าบาททรงชี้ว่าองค์ชายหกเป็นผู้วางยาพิษทำร้ายฝ่าบาทหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา ส่วนพิษนั้น…” อาจี๋มองเฉินตันจูโดยไม่พูดต่อ
เฉินตันจูกระจ่าง นางใช้ตะเกียบชี้ตัวเอง “ข้าเป็นคนให้หรือ”
อาจี๋พยักหน้า “ใช่ อีกทั้งเมื่อคืนคุณหนูตันจูท่านยอมรับแล้วหลังจากถูกจับ”
เฉินตันจูคีบผักเข้าปาก พลันพยักหน้า “ไม่เลว ดีกว่าโบยข้าแล้วค่อยบอกว่าข้ายอมรับ”
เวลานี้องค์รัชทายาทมีอำนาจ แต่องค์รัชทายาทไม่ได้ฉวยโอกาสโบยนางให้ตายก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว
อาจี๋หัวเราะ ก่อนจะถลึงตา “เพราะว่าองค์รัชทายาททรงไม่มีเวลา รอพระองค์ทรงมีเวลา ค่อยมาจัดการท่าน”
เวลานี้ ใจครึ่งหนึ่งขององค์รัชทายาทอยู่ที่ฮ่องเต้ อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในราชสำนัก อีกทั้งยังต้องตามจับองค์ชายหก ทางซีเหลียงก็มีทูตมาอีก ยุ่งอย่างมาก
เฉินตันจูพนมมือพลันพูด “ข้าขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้องค์รัชทายาททรงงานอย่างไม่มีวันจบสิ้นเถิด”
…
แสงอาทิตย์ส่องสว่าง องค์รัชทายาทนั่งอยู่ข้างเตียง ป้อนยาให้ฮ่องเต้ทีละคำ
ดวงตาของฮ่องเต้กึ่งปิด แต่สามารถกลืนได้ราบรื่นกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
“องค์รัชทายาท พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หูไต้ฟูพูด “อีกครึ่งที่เหลือรออีกสองชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทถอนหายใจ “เวลานั้นข้าคงยังไม่เสร็จงานราชการ”
ท่านอ๋องเยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบพูด “องค์รัชทายาท พวกเราอยู่ตรงนี้”
องค์รัชทายาทมองเขาพลันพยักหน้า “ลำบากน้องสองแล้ว”
ท่านอ๋องเยียนกำลังจะบอกว่าไม่ลำบาก แต่องค์รัชทายาทก็เบนสายตากลับไปแล้ว “เวลานี้ข้าอยู่ที่นี่ พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ท่านอ๋องเยียนกลืนคำที่จะพูดกลับไป ส่งเสียงตอบรับ พลันพาท่านอ๋องหลูและท่านอ๋องฉีถอยออกมาพร้อมกัน
ท่านอ๋องหลูอดถอนหายใจและพึมพำไม่ได้ “พวกเราพักผ่อนเวลานี้ก็พักผ่อนได้ไม่ดี”
องค์รัชทายาทต้องขึ้นว่าราชการในท้องพระโรงแล้ว พวกเขาย่อมต้องมาเป็นเครื่องประดับอยู่ทางนี้
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการปรนนิบัติฮ่องเต้ แต่ความจริงแล้วเหมือนเป็นการปรนนิบัติองค์รัชทายาทมากกว่า ถึงแม้จะปรนนิบัติอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ฮ่องเต้ได้แม้แต่น้อย ฝูชิงยืนจ้องมองอยู่ด้านข้าง ห้ามไม่ให้พวกเขาทำอย่างนี้ทำอย่างนั้น ยิ่งไม่ให้พวกเขาพูดกับฮ่องเต้
“เวลานี้องค์รัชทายาทไม่อยู่ อย่าได้รบกวนฝ่าบาท หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นจะทำอย่างไร”
พวกเขาทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านข้าง
ช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่อาจพูดว่าเหน็ดเหนื่อยได้ เพราะพวกเขาไม่ได้แม้แต่จะป้อนข้าวหรือป้อนยาให้ฝ่าบาท
ท่านอ๋องเยียนถลึงตาใส่เขา “เสด็จพ่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังพักผ่อนได้หรือ มีหัวใจหรือไม่!”
ท่านอ๋องหลูหดหัว “ข้าแค่อยากออกแรงบ้าง” ก่อนจะหันไปมองท่านอ๋องฉี “เสด็จพี่สาม ท่านว่าใช่หรือไม่”
ฉู่ซิวหยงพูด “เวลานี้พวกเราก็ไม่มีเรื่องอื่นทำ”
ใช่ ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูยังดี เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีเรื่องให้ทำอยู่แล้ว
แต่ท่านอ๋องฉีเดิมทีมีเรื่องใหญ่อย่างการสอบคัดเลือกขุนนาง เวลานี้ก็ถูกองค์รัชทายาทมอบหมายให้ผู้อื่นไปทำเสียแล้ว
อีกทั้งยังมีเรื่องงานอภิเษกของพวกเขา แน่นอนว่าฝ่าบาทประชวรหนักเช่นนี้ไม่อาจพูดเรื่องงานอภิเษกได้ แต่คนในตระกูลของพระชายาทั้งสามจะเข้าวังมาเยี่ยมฮ่องเต้ก็ถูกองค์รัชทายาทปฏิเสธ อีกทั้งยังมีท่าทีเย็นชาต่อตระกูลทั้งสามอย่างมาก…
ถึงแม้แต่ก่อนพวกเขาก็ไม่สำคัญนักเมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ แต่เวลานี้เสด็จพ่อทรงสลบ องค์รัชทายาทกลายเป็นนายของวังหลวง สัมผัสก็แตกต่างออกไป ท่านอ๋องหลูอดพึมพำไม่ได้ “ใช้ชีวิตภายใต้พี่ชาย ช่างแตกต่างกับใช้ชีวิตต่อหน้าเสด็จพ่อ”
องค์รัชทายาทก็มีความรู้สึกเช่นนี้
หลังจากทูลลาฮ่องเต้ เปลี่ยนชุดมาถึงตำหนักใหญ่ มองดูบรรดาขุนนางยืนอย่างสุขุม ถวายบังคมอย่างเคารพ องค์รัชทายาทก็รู้สึกว่าความเคารพนี้แตกต่างจากเมื่อหลายวันก่อน
แต่ก่อนเสด็จพ่ออยู่ เขายืนอยู่ด้านล่างไม่รู้สึกว่าท่าทีของบรรดาขุนนางมีความแตกต่างอย่างไร แต่เมื่อประสบกับความรู้สึกที่ไม่มีฮ่องเต้อยู่ด้านบนแล้ว ความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนไป
วันนี้เขาพูดหลายเรื่องในราชสำนัก บรรดาขุนนางต่างผลักไปผลักมา อีกทั้งยังมีคนบอกว่ารอฝ่าบาททรงดีขึ้นค่อยหารือ
แม้แต่เขาพูดเรื่องที่องค์ชายหกวางยาฮ่องเต้ มีขันทีจิ้นจงเป็นพยานว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ประหารองค์ชายหก แต่ในราชสำนักก็ถกเถียงกันเป็นเวลานาน
หากฮ่องเต้รับสั่งอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะกล้าโต้แย้งหรือไม่
ช่วงที่ฮ่องเต้ประชวรนี้ เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยมากมาก่อน เวลานี้เมื่อฮ่องเต้ทรงดีขึ้น เขากลับรู้สึกเหนื่อยมาก
องค์รัชทายาทนั่งอยู่บนเกี้ยวไปยังวังหลัง เขาเห็นหมอหลวงจางเดินผ่านจากระยะไกล
“ใต้เท้าจาง” เขาเรียก “เหตุใดท่านจึงไม่อยู่เฝ้าฝ่าบาท”
หมอหลวงจางถวายบังคมองค์รัชทายาท พลันทูล “กระหม่อมจะไปปรุงยาพ่ะย่ะค่ะ ทางฝ่าบาทมีหูไต้ฟูอยู่ กระหม่อมช่วยอะไรไม่ได้มาก อีกอย่าง มีข่าวดีต้องทูลองค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทรงกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อ่อ ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง องค์รัชทายาทยิ้มให้เขา มองไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ด้านหน้า