องค์รัชทายาทมาถึงตำหนักบรรทม นอกจากท่านอ๋องทั้งสามแล้ว พระสนมสวี พระสนมเสียนและองค์หญิงจินเหยาล้วนอยู่
แต่พวกเขาถูกรั้งไว้ที่ห้องด้านนอก ขันทีฝูชิงไม่ให้พวกเขาเข้าไป
“เสด็จพ่อทรงฟื้นแล้ว เหตุใดไม่ให้พวกข้าเข้าเฝ้า” องค์หญิงจินเหยาตะโกนด้วยความโกรธ
ขันทีฝูชิงพูด “เพราะฝ่าบาทยังไม่ทรงหายดี ไม่อาจรบกวนได้”
พระสนมเสียนและพระสนมสวีไม่พูดสิ่งใด หลายวันนี้พวกนางเหมือนจะเคยชินกับการเชื่อฟังองค์รัชทายาทไปเสียแล้ว
องค์หญิงจินเหยาพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธ “ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ…”
ฝูชิงไม่พูด แต่ทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ในตำหนักบรรทมชักดาบออกมา ท่านอ๋องหลูตกใจจนหลบไปอยู่ด้านหลัง ฉู่ซิวหยงจับจินเหยาเอาไว้ “จินเหยา อย่าดื้อ”
จินเหยาทั้งโกรธทั้งตกใจ “ข้าจะพบเสด็จพ่อของข้า พวกเจ้าบังอาจจะสังหารข้า ผู้ใดรับสั่งพวกเจ้า!”
เวลานี้องค์รัชทายาทพูดขึ้นเสียงเรียบอยู่ด้านนอกประตู “ข้าเอง”
ภายในห้องเงียบลง ท่านอ๋องเยียนเบนสายตาหนี ท่านอ๋องหลูหดหัวเอาไว้
จินเหยาไม่กลัวแต่น้อย นางซักถามด้วยความโกรธ “เสด็จพี่องค์รัชทายาท พระองค์ตรัสว่าเสด็จพี่หกทำร้ายเสด็จพ่อ เวลานี้ก็ไม่ให้พวกข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ พระองค์จะตรัสว่าพวกเราก็จะทำร้ายเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ”
องค์รัชทายาทไม่โกรธ “จินเหยา ข้าไม่ได้เป็นคนบอกว่าน้องหกทำร้ายเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อตรัสเอง”
องค์หญิงจินเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ ข้าจะทูลถามเสด็จพ่อด้วยตนเอง”
องค์รัชทายาทไม่ได้โต้เถียงกับนาง เขาเดินเข้าห้องด้านใน เรียกหาหูไต้ฟู “ฝ่าบาททรงพูดได้แล้วหรือไม่”
หูไต้ฟูเดินออกมาจากด้านใน ยืนถวายบังคมอยู่ด้านหลังขันทีฝูชิง “ยังไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ยังต้องพักอีกหลายวัน”
องค์รัชทายาทหันไปมองจินเหยา “เจ้ารออีกหลายวันค่อยถามเถิด”
จินเหยามองเขาเหมือนต้องการพูดบางอย่าง แต่องค์รัชทายาทส่งเสียงเย็นชาขึ้น “เสด็จพ่อเพิ่งจะดีขึ้น ผู้ใดบังอาจอาละวาดที่นี่ อย่าหาว่าข้าไม่สนใจพี่น้อง ลงโทษด้วยกฎบ้านกฎเมือง!”
ฉู่ซิวหยงจับมือของจินเหยาแน่น พระสนมเสียนและพระสนมสวีต่างเดินขึ้นหน้าตำหนิ “จินเหยาอย่าดื้ออีกเลย”
“ฝ่าบาทเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อย เจ้าทำอันใดกัน”
“หากฝ่าบาททรงได้ยินจะโกรธเพียงใด!”
องค์หญิงจินเหยากำมือแน่น นางไม่พูดอีก เพียงแค่เขย่งเท้ามองเข้าไปในห้อง นางสามารถมองเห็นม่านเตียงของฮ่องเต้ได้ลางๆ ถึงแม้เสด็จพ่อจะไม่ได้อยู่กับนางมาก แต่นางไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้ยากเย็นเพียงนี้…
องค์รัชทายาทไม่ได้ไล่พวกเขาไป เขาเบนสายตากลับมาพลันเดินเข้าห้อง ยืนอยู่ห้องด้านนอกสามารถได้ยินเสียงเขาพูดกับฮ่องเต้ เพียงแต่เขาพูด ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบ
“เสด็จพ่อ พระองค์ทรงฟื้นแล้ว”
“เสด็จพ่อ พระองค์ทรงเห็นกระหม่อมแล้วหรือ”
“เสด็จพ่อ พระองค์ทรงอย่ารีบร้อน ทุกอย่างล้วนดี”
“เรื่องที่พระองค์รับสั่งยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ฉู่อวี๋หยงหนีไปแล้ว แต่กระหม่อมประกาศความผิดที่เขาทำร้ายพระองค์ต่อแผ่นดินแล้ว”
องค์รัชทายาทนั่งอยู่ข้างเตียง พูดอย่างไม่รีบร้อน เขามองฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียง ฮ่องเต้ลืมตามองเขา สายตาจับจ้องไปที่เขาตามเรื่องที่เขาพูด…
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ยื่นมือออกมาราวกับต้องการจับเขาเอาไว้
องค์รัชทายาทจับมือของฮ่องเต้เอาไว้ “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงไม่ต้องกังวลพระทัย”
ฮ่องเต้อ้าปากแต่ไร้เสียง ดวงตาจ้องมององค์รัชทายาท ดวงตาที่ขุ่นมัวฉายแววลังเล…
องค์รัชทายาทเบนสายตาหนี เรียกขาน “หูไต้ฟู”
หูไต้ฟูรีบเดินขึ้นหน้า
“เหตุใดเสด็จพ่อจึงพูดไม่ได้” องค์รัชทายาทถาม “ยังต้องใช้เวลานานเพียงใดถึงจะหายดี”
หูไต้ฟูพูด “พระอาการประชวรของฝ่าบาทดูเหมือนจะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ความจริงสะสมมานานแล้ว เมื่อโรคมาไว แต่หายช้า แต่องค์รัชทายาทกับฝ่าบาททรงวางพระทัย ย่อมต้องหายดีแน่ อีกทั้งอาการปวดศีรษะก็สามารถหายขาดได้”
องค์รัชทายาทมองไปทางฮ่องเต้ด้วยความดีใจอีกครั้ง กุมมือของเขาแน่น “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงได้ยินหรือไม่ อย่าทรงรีบร้อน พระองค์จะหายดี”
ดวงตาของฮ่องเต้มองเขาเหมือนต้องการพูดบางอย่าง แต่องค์รัชทายาทเบนสายตาหนีอีกครั้ง พลันถาม “เสด็จพ่อเสวยแล้วหรือไม่”
“ยาก่อนหน้านี้ต้องถึงเวลาเสวยอีกครั้งแล้วหรือไม่”
บรรดาขันทีในห้องต่างวุ่นวายขึ้นมา มีคนทูลตอบ มีคนยกยามา องค์รัชทายาทนั่งป้อนยาอยู่ข้างเตียง ฮ่องเต้ยังทรงเหน็ดเหนื่อย หลังจากเสวยยาแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
องค์รัชทายาทนั่งอยู่ข้างเตียง จัดแจงห่มผ้าอย่างเป็นห่วง สายตาจ้องใบหน้าของฮ่องเต้ ฉายแววเสียดสี ดูเถิด เพิ่งดีขึ้นเล็กน้อยก็เสียใจไม่อยากสังหารฉู่อวี๋หยงแล้ว
เขาลุกขึ้นเดินออกมา มองผู้คนที่ยังยืนอยู่ห้องด้านนอก
“เสด็จพ่อทรงหลับไปแล้ว พวกเจ้าอย่ารบกวน”
พูดพลางเดินออกไป ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา
พระสนมเสียนและท่านอ๋องเยียนไม่พูดสิ่งใด ท่านอ๋องหลูหดหัว พระสนมสวียิ้มเสียดสี ฉู่ซิวหยงสีหน้าเรียบเฉย จินเหยากัดฟัน “เหตุใดเสด็จพี่องค์รัชทายาทจึงกลายเป็นเช่นนี้!”
น่ากลัวเหลือเกิน!
องค์รัชทายาทยืนอยู่ใต้ทางเดินด้านนอกตำหนักบรรทม มองไปยังท้องฟ้าไกล สายตาเย็นชา
“พระราชโองการตามจับฉู่อวี๋หยงถ่ายทอดลงไปแล้ว” ฝูชิงรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องใด จึงพูดเสียงเบา “ไม่รู้จะจับได้หรือไม่”
เมื่อคิดว่าองค์ชายหกปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก จิตใจของเขาก็สับสน ที่แท้แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายไปนานแล้ว ที่แท้แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่คุ้นเคยมาหลายปีคือองค์ชายหก
องค์ชายหกต้องร้ายกาจเพียงใดกัน
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือผู้คนในแผ่นดินล้วนไม่รู้จักองค์ชายหก ไม่เหมือนองค์ชายอื่นที่มีผู้คนรู้จักไม่มากก็น้อย
…
บนทางหลวงนอกเมือง ทหารขี่ม้าขบวนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร็ว ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนต่างหลบหลีกไปข้างทาง
“นี่” แม่ทัพที่เป็นผู้นำรั้งม้าให้หยุดลง ตะโกนเรียกพวกเขา “เคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่”
ตามการพูดของเขา ทหารคนหนึ่งคลี่ภาพหนึ่งออกมา
ผู้คนต่างรายล้อมเข้ามา ชี้ไปยังคนบนภาพ “ผู้ใดกัน”
“ด้านบนเขียนว่าองค์ชายหก ฉู่อวี๋หยง”
“อ้า นี่คือองค์ชายหกหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงของราษฎรก็รู้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็น แม่ทัพขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “เห็นคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่”
ผู้คนต่างส่ายหน้า “ไม่เห็น”
แม่ทัพจ้องมองคนเหล่านี้ มีทั้งคนชราและเด็ก มีทั้งคนที่แต่งกายยากจนและบัณฑิต หน้าตารูปลักษณ์แตกต่างกัน…อีกทั้งไม่เหมือนกับองค์ชายหกในภาพวาด
ความจริงแล้วไม่อาจใช้ภาพวาดในการตามหาได้ หากเป็นองค์ชายท่านอื่น แม่ทัพไม่ต้องใช้ภาพวาดก็จำได้ แต่องค์ชายหกอยู่อย่างโดดเดี่ยว หลายปีนี้มีคนเคยเห็นหน้าเขาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ตัวจริงจะยืนเทียบกับภาพวาดก็คงจำไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเขากำลังหลบหนี เขาจะไม่ปลอมตัวได้อย่างไร
การตรวจหาคนที่น่าสงสัยจะน่าเชื่อถือกว่า แม่ทัพบอกให้ทหารเก็บภาพวาดกลับมา ก่อนจะออกคำสั่ง “ตรวจดูทุกหมู่บ้าน ทุกโรงเตี๊ยม ทุกพื้นที่อย่าได้ปล่อยผ่าน”
ทหารและม้าจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงฝุ่นที่ตลบอบอวล คนที่อยู่ข้างทางไม่สนใจจะปิดปากหรือจมูก พวกเขาถกเถียงกันอย่างดุเดือด “องค์ชายหกทำร้ายฮ่องเต้จริงหรือ”
“องค์ชายหกเองก็ป่วย ยังจะทำร้ายฮ่องเต้ได้…”
“ดูคนไม่อาจดูที่ภายนอกได้เสียจริง”
ท่ามกลางเสียงถกเถียงมีอีกเสียงดังขึ้น
“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่”
สังเกตอันใด ทุกคนหันไปตามเสียง เห็นคนพูดเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผอม เขาสวมหมวกปิดครึ่งหน้า ด้านข้างมีบ่าวรับใช้ชราที่กำลังแบกชั้นวางตำรา เขาเป็นบัณฑิต
เวลานี้บัณฑิตพบได้บ่อยครั้ง
บัณฑิตฉลาดมาก คนที่อยู่ข้างทางต่างถามอย่างสงสัย “สังเกตอันใด”
ชายหนุ่มพูด “ถึงแม้ภาพวาดนี้จะวาดอย่างหยาบ แต่ยังสามารถมองออกว่าองค์ชายหกมีรูปลักษณ์ที่งดงามมาก”
ผู้คนต่างผงะ ก่อนจะประสานเสียง “อันใดกัน”
“น่าสนใจตรงใดกัน”
ชายหนุ่มยิ้มพลันพูด “ย่อมต้องสนใจ หากทุกคนอยากได้รางวัลนำจับก็ต้องสนใจคนที่หน้าตางดงาม ไม่แน่ว่าอาจเป็นองค์ชายหกก็ได้”
บัณฑิตบางคนอาจศึกษาจนเพี้ยนหรือแปลกประหลาด ทุกคนต่างหัวเราะและแยกย้ายกันไป
ชายหนุ่มไม่พูดอีก เขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ อาจเป็นเพราะนายน้อยของตนเองถูกคนหัวเราะเยาะ บ่าวรับใช้ชราที่แบกชั้นวางตำราจึงเดินตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทั้งสองเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
คนที่เดินไปคนละทิศทางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง จริงๆ แล้วชายหนุ่มคนนี้ก็มีรูปลักษณ์ไม่เลว