วันที่อี้อี๋เหนียงเสียชีวิตตรงกับวันที่เจ้าบ่าวกลับไปเยี่ยมสกุลเดิมของชิวหงพอดี ป้าซ่งเป็นแม่บุญธรรม นางจึงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกเขยใหม่ และได้เชิญพ่อบ้านไป๋กับภรรยา ผู้ดูแลจ้าวและภรรยา ป้าตู้ ว่านต้าเสี่ยนและภรรยา ก่วนชิงว่าที่คู่หมั้นของหู่พั่ว เฉาอานว่าที่คู่หมั้นของเยี่ยนหรงและคนอื่นๆ มาเป็นแขกร่วมงาน
หลังจากที่ได้ทำการเคารพซึ่งกันและกันเรียบร้อยแล้ว ลูกเขยใหม่ก็จะอยู่เป็นแขกที่เรือนของป้าซ่ง ส่วนชิวหงก็เข้าไปคารวะสืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงที่เรือนชั้นใน
เมื่อเหวินอี๋เหนียงเห็นชิวหงที่สวมเสื้อกั๊กผ้าทอใยกล้วยสีแดงสด ทัดผมด้วยดอกทับทิมผ้าไหมสีแดงสด นางก็เริ่มน้ำตาคลอ
นี่วันมงคลเชียวนะ!
เหวินอี๋เหนียงไม่รอให้ชิวหงได้ทันย่อตัวทำความเคารพก็รีบลุกขึ้นมาดึงมือของชิวหงไว้ กวาดตามองชิวหงทั่วทั้งตัว จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ท่านดูเด็กคนนี้สิ พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่หลงเหลือเค้าเดิมเลย งามกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางตอบกลับเชิงหยอกล้อว่า “เดิมทีชิวหงก็เป็นคนหน้าตาสวยสดงดงามอยู่แล้ว เจ้าพูดเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่ากำลังยกความดีความชอบให้กับทางบ้านสามีของนางที่แต่งเข้าไปยังไม่ถึงสามวัน แต่กลับดูมีน้ำมีนวลกว่าการอยู่กับเจ้ามานานนับสิบปีหรอกหรือ”
แน่นอนว่าเหวินอี๋เหนียงย่อมประจบประแจงสืออีเหนียงอยู่แล้ว “นี่ก็เป็นผลพวงมาจากคุณงามความดีของฮูหยิน หากฮูหยินไม่หาคู่ครองที่ดีเช่นนี้ให้นาง นางจะมีช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” พูดจบ นางก็วางมือของชิวหงลง “เจ้ายังไม่รีบไปคำนับฮูหยินอีก” จากนั้นก็ได้พูดต่ออีกว่า “หากไม่มีฮูหยิน เจ้าจะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน เจ้ามีชีวิตที่ดีแล้ว ก็จงอย่าลืมบุญคุณของฮูหยินเป็นอันขาด”
แต่งเข้าไปแล้วก็จะกลายเป็นผู้ดูแลหญิงอย่างเต็มตัว สาวใช้ของจวนสกุลสวีนั้นมีมากมายก่ายกอง แต่นางถือว่าอยู่ในระดับแถวหน้าสุด สามีก็มีความสามารถ แม่สามีเห็นว่าฮูหยินสี่มาเป็นแม่สื่อและทาบทามด้วยตัวเอง ส่วนตัวนางเองก็เป็นถึงสาวใช้ข้างกายคนสนิทของเหวินอี๋เหนียง จึงปฏิบัติต่อนางดีกว่าสะใภ้คนอื่นมาก ถึงแม้ว่าพึ่งจะแต่งงานเข้าไป แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะปรึกษานางทุกเรื่อง แสดงให้เห็นรางๆ ว่าให้นางเป็นใหญ่ นางจึงรู้สึกขอบคุณจากใจอย่างสุดซึ้งที่ฮูหยินสี่ให้เกียรตินางในครั้งนี้ เหวินอี๋เหนียงพึ่งจะพูดจบ นางก็ได้คุกเข่าและคำนับลงแทบพื้นทันที
สืออีเหนียงก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปเพื่อที่จะประคองนางขึ้นมา
หู่พั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็รีบเข้าไปช่วยทันที ประคองชิวหงลุกขึ้นก่อนที่สืออีเหนียงจะเข้าไปถึง
“เจ้าอย่าไปฟังอี๋เหนียงของเจ้า” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นางเชยชมจนเกินจริง คนอื่นทำดีแค่สามส่วน แต่กลับชมไปเสียหกส่วน”
ต่อหน้าทั้งสองชิวหงไม่กล้าจะเสียมารยาท นางจึงแค่ขานรับเท่านั้น พลอยทำให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในเรือนต่างก็หัวเราะไปตามๆ กัน
สืออีเหนียงรู้ว่าป้าซ่งกำลังรอให้เจ้าสาวกลับไปเปิดงาน จึงพูดคุยกับชิวหงเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ได้ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
เหวินอี๋เหนียงเดินไปส่งชิวหงที่ประตูฉุยฮวาแล้วจึงค่อยย้อนกลับมา
ขณะที่กำลังเดินเข้าประตูอยู่นั้น ก็สวนทางกับฮั่วเซียงสาวใช้คนใหม่ของสืออีเหนียงที่กำลังพาป้าเซี่ยงฉายาปากใหญ่ที่มีชื่อเสียงของจวนเข้าไปหาสืออีเหนียงพอดี
เหวินอี๋เหนียงจึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ป้าเซี่ยงก็รีบเข้าไปย่อตัวทำความเคารพนางทันที พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจงว่า “ฮูหยินบอกว่าเรือนของคุณชายสามว่างอยู่ จึงต้องหาป้ารับใช้ที่ไว้ใจได้ไปเฝ้าที่เรือนสักสองสามคนเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็ชี้ไปยังฮั่วเซียง “ก็เลยให้แม่นางผู้นี้มาเรียกบ่าวไปถาม” จากนั้นนางก็ยิ้มขึ้น “บ่าวเองถือว่าเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ยังพอมีโชค ได้รับใช้งานที่ดีเช่นนี้ ประเดี๋ยวต้องเข้าไปคำนับฮูหยินสี่ดีๆ เสียหน่อย ขอพรคุ้มครองให้ฮูหยินสี่สามารถให้กำเนิดคุณชายน้อยได้อย่างราบรื่นจึงจะถูก!”
เหตุใดถึงไปเรียกใช้คนเช่นนี้!
เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นพึมพำและได้กลับเรือนของตนไป
พอตกค่ำก็ไปคารวะสืออีเหนียง หลังจากที่รู้ว่าป้าเซี่ยงรับหน้าที่ไปแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เหตุใดฮูหยินถึงไม่เรียกใช้บ่าวคนอื่นหรือเจ้าคะ ป้ารับใช้คนนั้นมีชื่อเสียงเรื่องพูดมากเป็นที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร ขอแค่นางล่วงรู้ ก็เท่ากับคนทั้งจวนล่วงรู้ไปด้วย”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินมา แต่ทว่าที่บ้านของนางนั้นค่อนข้างยากลำบาก และเรือนของครอบครัวคุณชายสามก็ว่างอยู่ ข้าเองก็ได้กำชับนางให้ระวังคำพูดแล้ว”
ในเมื่อสืออีเหนียงตัดสินใจไปแล้ว เหวินอี๋เหนียงจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ในใจของนางก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงได้ไปกำชับและย้ำเตือนหู่พั่วและคนอื่นๆ เป็นการส่วนตัวอีกที
หู่พั่วรู้ว่าที่สืออีเหนียงเรียกป้าเซี่ยงมาก็เพราะว่าต้องการให้นางกระจายข่าวลือ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะบอกเรื่องนี้กับเหวินอี๋เหนียงไปตรงๆ นางจึงขานรับ และได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้สืออีเหนียงฟัง
ผ่านไปสองวัน มารดาของเยี่ยนหรงก็มารับตัวเยี่ยนหรงออกจากจวน
สืออีเหนียงมอบกำไลทองหนึ่งคู่ ปิ่นปักผมดอกติงเซียงทองหนึ่งคู่และเงินอีกยี่สิบตำลึงให้กับนาง “หากกำหนดวันแต่งงานแล้ว ก็มาบอกกับข้าสักคำ วันข้างหน้าหากเจอเรื่องยากลำบากก็มาหาข้า ไม่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้”
เยี่ยนหรงได้ยินแล้วก็รีบกล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตันใจ ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็คิดว่าเยี่ยนหรงทำอะไรผิดมาจึงถูกไล่ออกจากจวน แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ฮูหยินมอบทั้งเครื่องประดับมอบทั้งเงินให้แก่นาง ตนคงจะคิดมากเกินไปเสียแล้ว และก็คิดว่าประเดี๋ยวหลังจากที่กลับไปแล้ว ก็ควรนำเรื่องเหล่านี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังเสียหน่อยดีกว่า ผู้อื่นจะได้ไม่เอาไปเล่าซี้ซั้วเป็นอย่างอื่น
เยี่ยนหรงนึกถึงความตั้งใจในตอนแรกของนาง ว่านางจะตั้งใจทำงานจนสามารถขึ้นเป็นสาวใช้ระดับหนึ่งได้แล้ว จึงจะค่อยออกจากจวน แต่สุดท้ายแล้วก็ขาดไปอีกหนึ่งก้าว และก็นึกไปถึงช่วงเวลาที่อยู่กับฮูหยินสี่ ถึงแม้ว่าฮูหยินสี่จะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่กลับดูแลอาหารการกินรวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางสวมใส่อย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่เคยเลยที่จะละเลยนาง นึกถึงว่าหลังจากที่นางออกจากจวนไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังมีวาสนาได้กลับมาพบพานอีกหรือไม่ ดวงตาของนางพลันแดงก่ำขึ้นมา รีบคุกเข่าลงกับพื้น คำนับแทบเท้าสืออีเหนียงสามทีด้วยความนอบน้อม เสร็จแล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เวลานั้นเองก็มีสาวใช้น้อยชะเง้อมองจากทางด้านนอกของม่านเซียงเฟย
หู่พั่วจึงถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
“ชุ่ยเอ๋อร์บอกว่าฉินอี๋เหนียงค่อนข้างตัวร้อน” สาวใช้น้อยพูดขึ้นเสียงเบา “ก็เลยอยากจะเชิญหมอสักท่านมาตรวจดูอาการหน่อยเจ้าค่ะ”
เยี่ยนหรงได้ยินชัดเจนเต็มสองหู นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้
นางจึงหันไปส่งสายตาให้กับมารดาของนาง จากนั้นก็ขอตัวลากับสืออีเหนียง ถอยออกจากเรือนไปพร้อมกับมารดาของนาง
สืออีเหนียงจึงให้หู่พั่วนำป้ายคู่ไปเชิญหมอหลิวมา “บอกว่าอี๋เหนียงที่จวนไม่สบาย ให้ส่งคนที่มีความรู้มาช่วยดูอาการหน่อย”
หู่พั่วขานรับและถอยออกไป
หมอหลิวก็ได้ส่งชายหนุ่มที่อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีมาแทน
เด็กหนุ่มคนนั้นก้มหน้าลงต่ำพลางเดินเข้ามาด้วยความเขินอาย ไม่กล้าที่จะกวาดตามองไปรอบๆ เพราะกลัวจะเสียมารยาท “ใต้เท้าหลิวบอกว่าในเมื่อคนที่ป่วยนั้นเป็นอี๋เหนียงในจวน จึงให้ข้ามาคนเดียวก็พอแล้ว ยังได้ฝากข้ามาถามฮูหยินว่าอี๋เหนียงป่วยเป็นโรคอะไรขอรับ”
หมอหลิวผู้นี้ มิน่าเล่าถึงควบคุมดูแลสำนักหมอหลวงได้
สืออีเหนียงพูดผ่านผ้าม่านเซียงเฟยว่า “นางมีอาการตัวร้อน ไข้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งหลายหน ข้าคิดว่าหากอาการของนางยังไม่ดีขึ้น เกรงว่าคงจะต้องย้ายไปที่เรือนสวนก่อนกระมัง”
ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้ขานรับเสียงเบา “ขอรับ” จากนั้นก็เดินตามสาวใช้น้อยเพื่อไปยังเรือนของฉินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงรู้สึกว่าอาการป่วยของตนนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด
ทั้งๆ ที่นางรู้สึกว่าตัวนางเองไม่ได้เป็นอะไร แต่ชุ่ยเอ๋อร์กลับเอาแต่บอกว่านางมีอาการตัวร้อน พอนางลองจับดูดีๆ ก็รู้สึกว่านางตัวร้อนนิดๆ วกไปวนมาเช่นนี้อยู่หลายรอบ จู่ๆ ใบหน้าของชุ่ยเอ๋อร์ก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที “อี๋เหนียงคงจะไม่ได้ป่วยเป็นไข้จับสั่นหรอกกระมังเจ้าคะ”
ฉินอี๋เหนียงเองก็ตกใจตามไปด้วย รีบให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปเชิญหมอมารักษาทันที
หมอมาตรวจดูอาการแล้ว แต่กลับบอกว่านางแค่โดนลมเย็นเท่านั้น จึงสั่งยาแค่ไม่กี่อย่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับโรคให้นางแล้วก็กลับไป
ในใจของฉินอี๋เหนียงพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
หรือว่าตนป่วยเป็นไข้จับสั่นเข้าแล้วจริงๆ หมอที่มารักษาอาการป่วยถึงได้รักษาตนด้วยวิธีรักษาไข้หวัดตามคำสั่งของสืออีเหนียง?
เวลานี้เอง นางก็ได้นึกถึงอี้อี๋เหนียงขึ้นมา
หากมีนางอยู่ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ยังพอมีคนให้คอยปรึกษาหารือ
นางจึงสั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “เจ้าอย่าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเชียว รีบไปเตรียมยาแล้วก็ไปต้มยาก่อน”
แต่พอยาถูกต้มเสร็จแล้ว ฉินอี๋เหนียงกลับเทยาทั้งหมดทิ้งลงใต้ต้นไม้ของลานสวน
ผ่านไปราวสองวัน ชุ่ยเอ๋อร์ก็ได้เดินเข้ามาหาด้วยอาการสั่นเทา “อี๋เหนียง เช้านี้บ่าวมีอาการไข้ตัวร้อน ตกบ่ายก็มีอาการหนาวสั่น ตอนนี้บ่าวรู้สึกว่าตัวรุมๆ ท่านลองช่วยบ่าวแตะหน้าผากดูหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไอ๊หยา! นี่มันคือไข้จับสั่นที่ฮูหยินสองเคยพูดถึงไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังไปติดชุ่ยเอ๋อร์ด้วย
นางจึงรีบคว้าแขนของชุ่ยเอ๋อร์ไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบไปเรียนเรื่องนี้กับฮูหยิน ให้นางช่วยเชิญหมอหลิวมาตรวจดูอาการให้ข้าหน่อย!”
สืออีเหนียงยังไม่ทันจะได้เชิญหมอหลิวมา ก็มีข่าวลือกระจายไปทั่วทั้งจวน ว่าฉินอี๋เหนียงป่วยเป็นไข้จับสั่น ชุ่ยเอ๋อร์เองก็ติดโรคไปด้วย
เวลานั้นเอง ทุกคนที่อยู่ในจวนต่างก็เป็นกังวลใจขึ้นมา
เหวินอี๋เหนียงรีบไปที่เรือนของสืออีเหนียงด้วยความรีบร้อน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหยางอี๋เหนียงกำลังนั่งอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว “…ฮูหยิน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พวกข้าคุยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงก็ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเหวินอี๋เหนียงว่า “เจ้ามาได้เวลาพอดี เรื่องนี้ เกรงว่าคงจะต้องให้เจ้าช่วย”
เหวินอี๋เหนียงรีบตอบรับโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว “ฮูหยิน เชิญท่านสั่งมาได้เลย!”
สืออีเหนียงจึงได้สั่งกับหู่พั่วให้ไปนำรายชื่อสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ในเรือนของฉินอี๋เหนียงให้กับเหวินอี๋เหนียงหนึ่งชุด “ข้ารบกวนเหวินอี๋เหนียงย้ายคนที่อยู่ในรายชื่อนี้ไปยังเรือนจวินจื่อเซวียนที่อยู่หลังสวนดอกไม้ด้วย รอหมอหลิวมาแล้ว ค่อยตรวจหาอาการทีละคน คนที่ติดโรคแล้วก็อยู่รักษาตัวที่เรือนจวินจื่อเซวียนต่อ ส่วนคนที่ไม่ติดโรคก็ให้ย้ายไปพักที่เรือนจื่อย่วนใกล้ๆ กับเรือนจวินจื่อเซวียน ชั่วคราวสักระยะหนึ่ง ถึงเวลานั้นค่อยรอฟังคำสั่งอีกที”
เรือนจวินจื่อเซวียนตั้งอยู่ด้านหลังของสวนดอกไม้ เมื่อคนในจวนสกุลสวีป่วย ก็จะถูกย้ายมาที่นี่สักระยะเวลาหนึ่ง หากยังไม่ดีขึ้น ก็จะส่งออกไปนอกจวน
เหวินอี๋เหนียงจึงขานรับและรีบไปจัดการทันที ยังไม่ทันจะพ้นสองชั่วยามก็สามารถย้ายคนที่อยู่ในรายชื่อไปยังเรือนจวินจื่อเซวียนจนหมด
สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากที่สั่งให้จู๋เซียงและคนอื่นๆ พาเหล่าบรรดาป้ารับใช้นำปูนขาวไปโรยรอบๆ เรือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ลงกลอนประตูเรือนของฉินอี๋เหนียง
กลางคืน หู่พั่วก็แอบไปพูดกับนางว่า “ชุ่ยเอ๋อร์บอกว่านางมีน้องหญิงคนหนึ่งชื่อว่าซิ่งเอ๋อร์ พ่อบ้านไป๋คัดเลือกบ่าวรับใช้ครั้งนี้ นางถูกบิดาและมารดาของนางส่งเข้าจวนมาด้วย อยากจะมาขอความเมตตาจากฮูหยิน ช่วยส่งนางไปเป็นบ่าวรับใช้ที่โรงเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ”
คงกลัวว่านางจะเดินซ้ำรอยเดิมของตนกระมัง!
ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจ้านาย ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนจะสูง มีหน้ามีตาและมีโอกาสมากมายที่จะได้แต่งงานกับคนที่ดี แต่เวลามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น โอกาสที่จะโดนหางเลขหรือกลายมาเป็นแพะรับบาปก็มีมากเช่นเดียวกัน
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว!”
วันถัดมา ก็มีหมอหลวงที่ถูกส่งมาโดยหมอหลิวมาช่วยตรวจดูอาการ
เริ่มจากการตรวจคนที่ยังไม่มีอาการก่อน จากนั้นก็ไปยังเรือนจวินจื่อเซวียน
เพียงไม่นานก็ได้ส่งคนมารายงานกับสืออีเหนียงว่า “น่าจะเป็นไข้จับสั่น ขอฮูหยินรีบตัดสินใจด้วยขอรับ”
สืออีเหนียงรีบไปรายงานเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็สั่งให้พ่อบ้านไป๋ไปจัดเตรียมรถม้าทันที พอเที่ยงวันก็ได้ส่งคนไปยังเรือนที่เขาลั่วเย่ว์ และยังได้ให้ผู้ดูแลจ้าวไปช่วยซื้อสมุนไพรห่อสิ่วโอว ตังกุย โสมและเปลือกส้มกลับมาด้วย จากนั้นก็ได้ให้ป้ารับใช้ที่เรือนนอกตั้งเตาไฟต้มสมุนไพรเหล่านี้พร้อมกับเติมขิงสดลงไปต้มด้วย แล้วจึงนำมาแจกจ่ายให้ทุกคนในจวนดื่ม
เวลานี้เอง แม้แต่เวยเป่ยโหวสกุลหลินที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ได้ส่งคุณนายใหญ่สกุลหลินมาถามโดยเฉพาะ
“ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดปลอบคุณนายใหญ่สกุลหลิน “เป็นเพียงการป้องกันเท่านั้น”
คุณนายใหญ่สกุลหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ขอส่วนผสมของยาตำรับนี้กลับไปด้วย แล้วจึงต้มยาหม้อใหญ่ตามสัดส่วนที่สืออีเหนียงบอกมา แจกจ่ายยาให้คนที่อยู่ในจวนดื่มครบทุกคน ติ้งกั๋วกงสกุลเจิ้งที่อยู่ถัดไปนั้นก็ทราบเรื่องนี้เข้า จึงได้ให้คนมาขอตำรับยาด้วย จากนั้นก็กลับไปต้มให้คนในจวนดื่ม
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ “ยังดีที่เป็นยาสมุนไพร อีกทั้งยังทำให้เจือจางไปหลายเท่าตัวแล้ว มิเช่นนั้น หากดื่มเข้าไปแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็คงจะแย่”
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาสองวัน สุดท้ายก็มีข่าวส่งมาจากเขาลั่วเย่ว์
ชุ่ยเอ๋อร์ไม่ยอมเจ็บปวดทรมานเพราะโรคร้าย นางจึงเลือกที่จะผูกคอฆ่าตัวตายแทน
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
รสชาติของการรอคอยนั้นแสนจะทรมาน นับประสาอะไรกับการนั่งรอความตายเล่า…
นางเลือกเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่งกระมัง!
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง