เวลานี้องค์หญิงที่อายุเหมาะสมกับการอภิเษกมีเพียงจินเหยา องค์หญิงที่โตกว่านางอภิเษกออกไปแล้ว บรรดาองค์หญิงที่เด็กกว่านางยังไม่โตเต็มวัย
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องซีเหลียงสู่ขอองค์หญิงก็จะมีแค่เพียงนาง
เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาพุ่งเข้ามา องค์รัชทายาทจึงขมวดคิ้ว “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าได้มารบกวนเสด็จพ่อ”
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เรื่องของท่านอ๋องซีเหลียง หม่อมฉันรู้แล้ว”
องค์รัชทายาทยิ่งไม่พอใจ เขามองเข้าไปภายในห้อง ฮ่องเต้กำลังหลับใหล ก่อนหน้านี้เขาเรียกสองครั้งก็ยังไม่ตื่น
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้” เขาพูดเสียงต่ำ “เสด็จพ่อไม่อาจทรงบันดาลโทสะ มิฉะนั้นพระอาการจะหนักขึ้น จินเหยา เวลานี้เจ้าโตแล้ว ควรรู้เรื่องได้แล้ว”
องค์หญิงจินเหยายิ้มอย่างเศร้าโศก “เสด็จพี่องค์รัชทายาท สิ่งที่ท่านจะทรงพูดกับหม่อมฉันมีเพียงเท่านี้หรือเพคะ
นับแต่เสด็จพ่อประชวร นางก็เห็นถึงความเย็นชาขององค์รัชทายาทที่มีต่อพี่น้อง แต่เวลานี้ยังคงเกินจินตนาการของนาง นางคิดว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายจะมีคำปลอบใจ…เป็นพี่น้องกันมาหลายปี อีกทั้งนางยังถูกฮองเฮาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ มักจะเดินตามหลังเรียกเขาว่าเสด็จพี่องค์รัชทายาท เขาก็เคยเป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของนาง
ล้วนเป็นการเสแสร้งหรือ เสแสร้งมานานเพียงนี้ก็ควรจะมีความจริงใจแม้จะเล็กน้อยหรือไม่
องค์รัชทายาทถอนหายใจเสียงเบา ปิดบังความรำคาญใจ เขาพูดเสียอ่อน “จินเหยา ข้าขอโทษเจ้า ระยะนี้ข้าเหนื่อยเกินไป เสด็จพ่อทรงเป็นเช่นนี้ น้องหกก็เป็นเช่นนั้น เวลานี้ยังมีท่านอ๋องซีเหลียงอีก”
เขาเอื้อมมือไปลูบไหล่ขององค์หญิงจินเหยา
“เจ้าอย่ากังวล ข้าจะหาทาง”
องค์หญิงจินเหยาหลบมือของเขา พลันพูด “เสด็จพี่องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่ได้มาหาเสด็จพ่อ หม่อมฉันย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจทูลต่อเสด็จพ่อได้ หม่อมฉันมาหาท่าน”
อย่างนี้หรือ องค์รัชทายาทเรียกนาง “มา นั่งลง เจ้าฟังข้าเล่าเรื่องนี้อย่างละเอียด…”
องค์หญิงจินเหยาไม่ยอมนั่ง พลันพูด “ไม่ต้องทรงเล่าอย่างละเอียด เสด็จพี่องค์รัชทายาท หม่อมฉันยอมไปซีเหลียง…”
องค์รัชทายาทแสดงสีหน้าตกตะลึง แต่ยังไม่ทันพูด เขาก็เห็นองค์หญิงจินเหยาโบกมือ
“…ให้หม่อมฉันนำทัพไปบอกท่านอ๋องซีเหลียงว่าหนทางแห่งการเป็นขุนนางคือสิ่งใด”
องค์รัชทายาทหัวเราะ “อย่าได้พูดเหลวไหล”
องค์หญิงจินเหยากำมือแน่น “หม่อมฉันไม่ได้พูดเหลวไหล แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่แล้ว แต่ต้าเซี่ยของพวกเราก็ไม่อาจถูกท่านอ๋องจากเมืองเล็กๆ อย่างซีเหลียงมารังแก หม่อมฉันจะทำให้เขารู้ องค์หญิงของต้าเซี่ยไม่ได้มีไว้สำหรับอภิเษกเพื่อสานสัมพันธไมตรี หม่อมฉันสามารถทำสงครามกับเขาได้”
องค์รัชทายาทหัวเราะ “เจ้าคิดว่าตนเองสามารถทำได้ทุกสิ่งเพียงเพราะเล่นชนมุมมาไม่กี่วันอย่างนั้นหรือ” เขาหมดอารมณ์ที่จะปลอบนาง พลันโบกมือ “เอาเถิด เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล”
องค์หญิงจินเหยาอยากพูดบางสิ่ง หูไต้ฟูหยิบกล่องเข็มสีทองเดินเข้ามาจากด้านนอก
“องค์รัชทายาท” เขาพูด พลางเหลือบมององค์หญิงจินเหยา แต่ก็ไม่ได้ถอยออกไป “กระหม่อมจะฝังเข็มให้ฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทถือโอกาสนี้ไม่สนใจจินเหยา เขาถามหูไต้ฟู “เหตุใดวันนี้เสด็จพ่อจึงแย่ลงกว่าเมื่อวาน ทรงสลบอยู่ตลอดเวลา”
หูไต้ฟูพูด “เป็นเพราะฤทธิ์ยาพ่ะย่ะค่ะ รอกระหม่อมฝังเข็มแล้ว ฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้นมา พระอาการย่อมดีกว่าเมื่อวาน”
องค์รัชทายาทบอกให้เขารีบไป เมื่อหูไต้ฟูเดินเข้าไปแล้ว องค์รัชทายาทก็มองไปทางองค์หญิงจินเหยาอีกครั้ง
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด” เขาพูด “เวลานี้วุ่นวายมากพอแล้ว เจ้าอย่าได้สร้างความวุ่นวายอีก ไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อเสด็จพ่อ เพื่อต้าเซี่ย”
องค์หญิงจินเหยามองไปทางเขา พลันถามขึ้น “เสด็จพี่องค์รัชทายาท พระองค์ทรงไม่กล้า หรือไม่อยากกันแน่”
สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนไปทันที “เจ้าอยากพูดสิ่งใด”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม “หากเสด็จพ่อหรือองค์ชายใด แม้จะเป็นคนขี้ขลาดอย่างเสด็จพี่ห้า เมื่อได้ยินคำขอของท่านอ๋องซีเหลียง ความคิดแรกคือโกรธ ความคิดที่สองคือสั่งสอนท่านอ๋องซีเหลียง แต่เสด็จพี่องค์รัชทายาท เล่า ถึงเวลานี้แล้ว พระองค์ยังทรงให้รอ รอ รอ...ไม่แม้แต่จะตัดสินใจ อีกทั้งยังมองไม่ออกว่าทรงโกรธหรือไม่”
สีหน้าขององค์รัชทายาทดำทะมึน “จินเหยา เวลานี้เจ้าสามารถชี้ไม้ชี้มืออยู่ตรงนี้ เพราะเจ้าเป็นธิดาของเสด็จพ่อ เป็นองค์หญิงของต้าเซี่ย ในเมื่อเจ้าเป็นองค์หญิงที่ดื่มด่ำกับความสูงส่งของราชวงศ์ เจ้าย่อมต้องมีท่าทีขององค์หญิง เจ้าวิ่งมาอาละวาดเพียงเพราะคำสู่ขอของท่านอ๋องซีเหลียง วันนี้ข้าบอกเจ้า อย่าว่าแต่เรื่องราชสำนัก แม้แต่เรื่องอภิเษกของเจ้าก็ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าต้องพูด…”
องค์หญิงจินเหยาไม่กลัวแม้แต่น้อย “ตอนนั้นเสด็จพ่อทรงรับปากหม่อมฉันแล้ว ทรงให้หม่อมฉันตัดสินใจเรื่องอภิเษกของตนเอง หม่อมฉันอยากอภิเษกหม่อมฉันจึงจะอภิเษก”
องค์รัชทายาทพูดเสียงเย็น “เวลานี้เจ้าต้องการทูลถามเสด็จพ่อหรือ เวลานี้เจ้าอยากจะเรียกร้องต่อเสด็จพ่อว่างานอภิเษกของเจ้า เจ้าตัดสินใจเองอย่างนั้นหรือ”
องค์หญิงจินเหยายังไม่ทันพูด หูไต้ฟูภายในห้องก็ตะโกนขึ้นมา “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดแรกที่แล่นผ่านหัวขององค์รัชทายาทคือ ช่างไม่ใช่เวลาที่สมควรฟื้นเสียจริง
เมื่อความคิดแล่นผ่าน เขาก็เห็นองค์หญิงจินเหยาพุ่งตรงเข้าไปในห้อง
เด็กบ้า! แต่ว่าฟื้นก็ไม่เป็นอันใด ฮ่องเต้ยังไม่สามารถพูดได้ คงจะดีที่สุดที่จะถูกนางทำให้โกรธจนสลบไปอีกรอบ
องค์รัชทายาทไม่ได้เอ่ยห้าม เขาเดินตามเข้าไป
“เสด็จพ่อ” องค์หญิงจินเหยากระโจนเข้าไปข้างเตียง มองฮ่องเต้ที่ลืมตาขึ้น น้ำตาหลั่งไหลลงมา “หม่อมฉันไม่ได้พบพระองค์มานานแล้ว”
ดวงตาของฮ่องเต้มีน้ำตา ยื่นมือออกไปให้จินเหยา…
พระอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ภายในดวงตายังมีน้ำตา เห็นได้ชัดว่ามีสติอย่างมากแล้ว องค์รัชทายาทคิดภายในใจ เขาเรียกขานเสียงเบา “สะ…”
เมื่อเขาเพิ่งเอ่ยปากขึ้น ก็ได้ยินฮ่องเต้ส่งเสียงออกมา “อาเหยา…”
เสียงนี้แหบพร่า แต่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน เสียงขององค์รัชทายาทชะงักไปอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดีใจปนตะลึงขององค์หญิงจินเหยาดังเข้ามาในหู
“เสด็จพ่อ! พระองค์ทรงพูดได้แล้ว!” จินเหยาจับมือของฮ่องเต้เอาไว้ ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา พลางร้องไห้พลางตะโกน “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ ในที่สุดพระองค์ก็ดีขึ้นแล้ว”
ฮ่องเต้ก็จับมือของนางแน่น น้ำตาหลั่งไหลลงมา แต่นาทีถัดมาสายตาก็มองไปทางองค์รัชทายาท “อา จิ่น...”
หูสองข้างขององค์รัชทายาทดังอื้อ เขายื่นมือออกมา “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงดีขึ้นแล้ว ช่างน่ายินดีเสียจริง”
ฮ่องเต้อ้าปากแต่ไม่ได้ส่งเสียงอื่นออกมา แม้แต่ชื่อของสองคนที่เรียกออกมาก่อนหน้านี้ก็เลือนรางไป
“เกิดเรื่องใดขึ้น” องค์หญิงจินเหยาเรียกหาไต้ฟู
องค์รัชทายาทก็มองไปทางหูไต้ฟู ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
หูไต้ฟูพูด “องค์หญิง องค์รัชทายาท ทรงโปรดวางพระทัย พระอาการของฝ่าบาทกำลังดีขึ้น เวลานี้สามารถทรงเปล่งเสียงออกมาได้ แสดงว่าพิษที่อุดตันอยู่สลายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วการเปล่งเสียงเล่า” องค์หญิงจินเหยารีบถามขึ้น “เสด็จพ่อทรงพูดได้แล้วใช่หรือไม่”
หูไต้ฟูพูด “ยังต้องใช้ยาอีกชุดถึงจะสามารถกลับมาพูดได้อย่างสมบูรณ์พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยาเร่งเร้า “รีบใช้ยาให้เสด็จพ่อสิ”
องค์รัชทายาทมองหูไต้ฟูโดยไม่พูด
หูไต้ฟูพูดด้วยความละอายใจ “ยาใช้หมดแล้ว กระหม่อมต้องการกลับบ้านไปปรุงมาใหม่”
กลับบ้าน? องค์หญิงจินเหยาลุกขึ้น “เจ้าต้องการยาใด ในวังจะไม่มีเชียวหรือ”
หูไต้ฟูพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ในวังหลวงไม่มีพ่ะย่ะค่ะ บนเขาด้านหลังบ้านของกระหม่อมมียาสมุนไพรพิเศษชนิดหนึ่ง”
องค์รัชทายาทถึงได้เอ่ยปากขึ้น “เจ้าบอกมาว่าคือสิ่งใด ข้าให้คนไปนำมาให้เจ้า”
หูไต้ฟูถวายบังคมอีกครั้ง “องค์รัชทายาท ยาสมุนไพรชนิดนี้ต้องใช้วิธีการเก็บแบบพิเศษ หากเก็บผิดวิธี ฤทธิ์ยาอาจหายไป กระหม่อมไปเองจะดีกว่า ทางฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล พระอาการนิ่งแล้ว กระหม่อมจะทิ้งสูตรยาเอาไว้ ให้เหล่าหมอหลวงเฝ้าดูก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างนี้หรือ องค์รัชทายาทเหลือบมององค์หญิงจินเหยา องค์หญิงจินเหยาพยักหน้าระรัว “ดีๆ เจ้ารีบไปรีบกลับ” พูดพลางจับมือของฮ่องเต้คุกเข่าอยู่ข้างเตียง ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ “เสด็จพ่อ พระองค์จะทรงดีขึ้นในไม่ช้าแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า จับมือของนางแน่น สายตามองไปทางองค์รัชทายาท “จิ่น จิ่น...”
เสียดายที่สามารถส่งเสียงออกมาได้เพียงเท่านี้ องค์รัชทายาทมองไปทางฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พระองค์อย่าทรงรีบร้อน กระหม่อมจะให้หูไต้ฟูไปนำยามาบัดนี้” พูดพลางไม่มองไปทางฮ่องเต้ หากแต่มองไปทางขันทีจิ้นจง รับสั่งให้เขาจัดเตรียมองครักษ์ที่เชื่อถือได้คุ้มกัน
กำชับเรื่องนี้เสร็จ องค์รัชทายาทมององค์หญิงจินเหยาที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง องค์หญิงจินเหยากำลังถามฮ่องเต้ว่าจะดื่มน้ำหรือไม่ ฮ่องเต้เอ่ยตอบว่าดื่ม…
เขาไม่ได้บอกให้องค์หญิงจินเหยาถอยไป หากแต่พูดเสียงเบา “เสด็จพ่อทรงดีขึ้นแล้ว เจ้าอย่าทำให้เสด็จพ่อทรงร้อนพระทัย”
องค์หญิงจินเหยารู้ความหมายของเขา พลันพูดเสียงเรียบ “องค์รัชทายาททรงกังวลเกินไปแล้ว หม่อมฉันก็เป็นบุตรสาวของเสด็จพ่อ รู้หนักรู้เบา”
เมื่อเห็นท่าทางของนางที่แข็งกร้าวขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ องค์รัชทายาทยิ้มเย็นภายในใจ
ข่าวพระอาการของฮ่องเต้ดีขึ้นถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว พระสนมเสียน พระสนมสวี บรรดาท่านอ๋อง องค์หญิงที่แต่งออกไปพร้อมพระสวามีต่างเดินทางมา
ถึงแม้ยังคงไม่ให้พวกเขาเข้าห้องด้านใน เพื่อให้ฮ่องเต้พักรักษาอย่างสงบ แต่ทุกคนสามารถยืนอยู่ห้องด้านนอก ได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาคำสองคำจากฮ่องเต้ จากนั้นหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
บรรดาขุนนางในราชสำนักก็มาด้วย เมื่อได้ยินฮ่องเต้ทรงเปล่งเสียงออกมาได้ ก้อนหินภายในใจก็หล่นลงพื้น อีกทั้งยังเสนอให้องค์รัชทายาททูลเรื่องท่านอ๋องซีเหลียงสู่ขอองค์หญิงต่อฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ทรงตัดสิน
ถึงแม้ฮ่องเต้จะพูดได้เพียงสองพยางค์ แต่คำว่าตีมีเพียงพยางค์เดียว
องค์รัชทายาทตวาดให้พวกเขาถอยไปด้วยความโกรธและร้อนใจ “พระอาการฝ่าบาทเพิ่งดีขึ้น พวกเจ้าอยากให้ฝ่าบาททรงพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวหรือ เวลานี้หูไต้ฟูก็ไม่อยู่”
หมอหลวงจางก็คัดค้านพวกเขา บรรดาขุนนางถึงได้ยอม อย่างนั้นก็รอหูไต้ฟูนำยากลับมา ฝ่าบาททรงหายดีก่อนค่อยทูลก็ไม่สาย
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้คึกคักกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทไม่ห้ามทุกคนมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้อีก หากแต่หลังจากฮ่องเต้ทรงพูดได้แล้ว เพียงแค่คำสองคำก็เพียงพอต่อการออกคำสั่งแล้ว
เพียงแค่ตรัสว่า “อาซิว…” ฉู่ซิวหยงก็สามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้
เพียงแค่ตรัสว่า “สวี…” พระสนมสวีก็พุ่งเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมออกไป
องค์รัชทายาทรู้สึกว่าตนเองแทบจะเบียดเข้าไปไม่ได้แล้ว
ยามค่ำคืนปกคลุมวังหลวง ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้สว่างไปด้วยแสงไฟ อีกทั้งยังมีขันทีและนางในเดินเข้าออก ปะปนไปด้วยเสียงพูดของพระสนมสวี โหวกเหวกอย่างมาก
ยืนอยู่นอกตำหนัก ไม่รู้ว่าลมร้อนกลายเป็นลมเย็นสดชื่นตั้งแต่เมื่อใด ทำให้องค์รัชทายาทรู้สึกสบายอย่างมาก
“องค์รัชทายาท” ฝูชิงยืนอยู่ด้านหลังอย่างไร้เสียง
องค์รัชทายาทมองไปยังความมืดตรงหน้า พลันพูดเสียงเรียบ “ข้าไม่อยากเห็นหูไต้ฟูอีก”
เขาไม่อยากได้ยินเสียงของฮ่องเต้อีก
โดยเฉพาะได้ยินคำว่า อวี๋หยง หรือหน้ากากเหล็ก ที่ออกมาจากปากของฮ่องเต้
พอแต่เพียงเท่านี้เถิด