นับแต่องค์หญิงจินเหยาบอกว่าฮ่องเต้ทรงพระอาการดีขึ้น นางก็ไม่มาอีกเลยเป็นเวลาหลายวัน อาจี๋ก็ไม่มาแล้ว ถึงแม้อาหาร ชา ของว่างและผลไม้จะไม่ขาด แต่เฉินตันจูก็เดาได้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
โซ่เหล็กที่ประตูห้องขังถูกดึงจนเกิดเสียงดังต่อเนื่องอยู่เป็นเวลานาน ขันทีที่ซ่อนตัวอยู่หมดหนทางจึงต้องเดินเข้ามา “คุณหนูตันจู ข้าปล่อยท่านออกไปไม่ได้”
เฉินตันจูจับประตูห้องขัง “เจ้าไปหาท่านอ๋องฉี บอกเขาว่าข้าอยากพบเขา”
ใบหน้าของขันทีดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “ท่านอ๋องฉีหรือ ท่านอ๋องฉีอยู่ทางฝ่าบาท…”
เฉินตันจูส่งเสียงดัง “รีบไป!”
ขันทีตกใจกลัว จึงหันหลังเดินจากไป
เฉินตันจูยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องขัง นางไม่ได้รอนานเกินไป ฉู่ซิวหยงก็เดินเข้ามาอย่างนุ่มนวล
“ไม่ต้องกังวล” เขาพูดขึ้นก่อน
เฮ้อ เฉินตันจูยิ้มเยาะตัวเอง “องค์ชายทรงมาพบหม่อมฉันตามคำขอ หม่อมฉันซาบซึ้งอย่างมาก แต่ไม่กังวลไม่ได้เสียจริง ฝ่าบาทประชวรหนักขึ้นใช่หรือไม่เพคะ”
ฉู่ซิวหยงพยักหน้า “ใช่ แต่ยังคงไม่ต้องกังวล”
ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้ประชวร ความจริงนางก็อยากจะถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขาหรือไม่ เวลานี้ดูจากสถานการณ์ที่นางถูกขังในพระราชวัง รวมทั้งท่าทีการพูดอย่างเรียบเฉยของเขา ทั้งวังหลวงราวกับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เฉินตันจูก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องถามอีกแล้ว
ฉู่ซิวหยงสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิดภายในใจ เขาจะไม่ปิดบังนาง เขาต้องการบอกนางตั้งแต่ครั้งก่อน เพียงแต่ฉู่อวี๋หยงขัดจังหวะ
“ตันจู เจ้าจะไม่เป็นอันใด เรื่องนี้…” เขาพูด
เฉินตันจูพูดขัดเขา “องค์ชาย องค์หญิงจินเหยาจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่ นางไม่ต้องถูกส่งไปสานสัมพันธไมตรีใช่หรือไม่เพคะ”
น้ำเสียงและใบหน้าของฉู่ซิวหยงเงียบสงบลง
“ข้าจะจัดการให้ดี เพียงแค่จัดฉาก ไม่ให้จินเหยาไปซีเหลียงจริงๆ” ฉู่ซิวหยงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “อย่ากังวล”
เฉินตันจูเข้าใจแล้ว นางยิ้มอย่างประชดประชัน ดังนั้นนางจะไม่กังวลได้อย่างไร เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ฝ่าบาททรงสบายดี นางเองก็ไม่เป็นอันใด แต่ก็ยังมีคนต้องเดือดร้อน
เพียงแต่คำว่าอย่ากังวลที่พูดออกมาในคราวนี้ ไม่เพียงแต่เบาหวิวภายในใจของหญิงสาว แม้แต่เสียงของเขาก็แผ่วเบาเช่นเดียวกัน
“องค์ชาย” เฉินตันจูมองเขาผ่านประตูห้องขัง “ไม่มีผู้ใดที่สามารถทำได้ทุกเรื่อง”
ฉู่ซิวหยงเผยแววตาเศร้าสร้อย “เจ้าพูดถูก แต่ข้าขอโทษ เรื่องบางเรื่องข้ายังคงปล่อยวางไม่ได้ ข้ายังต้องทำมัน”
เฉินตันจูหลุบตา ไม่มีเรื่องใดต้องพูดอีกแล้ว นางพูดเพียง “ให้หม่อมฉันพบองค์หญิงจินเหยาได้หรือไม่เพคะ”
…
ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้เงียบสงบกว่าแต่ก่อน แต่คนกลับไม่น้อย พระสนมเสียน พระสนมสวี ท่านอ๋องทั้งสาม และองค์หญิงจินเหยาต่างก็เฝ้าอยู่ที่นี่ อีกทั้งพวกเขายังสามารถเข้าไปในห้องด้านในได้ตามต้องการ
เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาเดินเข้ามาพร้อมกับชามน้ำแกง ขันทีคนหนึ่งรีบก้าวไปข้างหน้า “องค์หญิง กระหม่อมเองเถิด”
องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเรียบ “ให้ข้าทำเองเถิด ไม่ต้องกังวล องค์รัชทายาทไม่ตำหนิเจ้าหรอก ในเมื่อฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้แล้ว มันก็ถึงเวลาที่ลูกคนอื่นอย่างพวกข้าจะต้องแสดงความกตัญญูแล้ว”
ขันทีทำตัวไม่ถูก แต่มันเป็นเรื่องจริง องค์รัชทายาทไม่ได้รับสั่งห้ามองค์ชายและองค์หญิงเข้าใกล้ฝ่าบาท
องค์หญิงจินเหยาเดินผ่านเขาไปที่ข้างเตียง ขันทีจิ้นจงนำเก้าอี้กลมมาวางไว้ พูดเสียงเบา “องค์หญิงโปรดทรงนั่ง อย่าคุกเข่าเลย หากฝ่าบาทเห็นจะทรงเป็นทุกข์”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับในลำคอ ใบหน้าเฉยเมยในเดิมทีเผยความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย
แม้ว่าตอนเด็กนางจะถูกฮ่องเต้ละเลย แต่นับจากฮ่องเต้ทรงเห็นธิดาผู้นี้แล้ว พระองค์ก็ทรงเอาอกเอาใจเสมอมา มีชีวิตที่งดงามและอิสระมาสิบกว่าปี ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้นางกลายเป็นเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง สงบนิ่งไร้ซึ่งชีวิตชีวา…ขันทีจิ้นจงเบนสายตาหนีด้วยความปวดร้าวอย่างมาก
องค์หญิงจินเหยานั่งมองฮ่องเต้ที่หลับตาลงราวกับกำลังหลับใหล หลังจากที่ได้ยินว่าหูไต้ฟูตกเหวแล้วฟื้นขึ้นมาชั่วครู่เพียงหนึ่งครั้ง เวลาการตื่นตัวของฮ่องเต้นับวันยิ่งน้อยลง เขายังคงหลับไปอย่างเงียบๆ จนคนรอบข้างต้องตรวจดูลมหายใจเป็นครั้งคราว
อาการแบบนี้ทำให้คนในสำนักหมอหลวงทำอันใดไม่ถูก
แม้ว่าองค์รัชทายาทจะให้คนไปเก็บสมุนไพรจากภูเขาในบ้านเกิดของหูไต้ฟู แต่ความจริงแล้วทุกคนก็ไม่คาดหวังว่าสำนักหมอหลวงจะทำยาแบบนั้นออกมาได้
องค์หญิงจินเหยาป้อนน้ำแกงโสมและอาหารเสริมอื่นๆ ให้ฮ่องเต้อย่างเบามือและเชื่องช้า ฮ่องเต้ยังสามารถกลืนเข้าไปได้ตามปกติ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าของบรรดาขันทีดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดคุยราวกับจงใจกดเสียงต่ำ แต่ก็ยังคงลอยเข้ามา
“…ทูตซีเหลียง…โวยวาย…ฆ่าตัวตาย…ซักถาม…ปะทะกัน…”
มือที่กำลังป้อนน้ำแกงขององค์หญิงจินเหยาหยุดลง หลังจากได้ยินเรื่องอย่างชัดเจนแล้ว ทูตซีเหลียงที่ถูกขับไล่ออกจากตำหนักใหญ่และถูกขังไว้ในวัดต้าหงหลูไม่ได้รับคำตอบเป็นเวลานาน อีกทั้งยังถูกห้ามออกมาข้างนอก องค์รัชทายาทก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ทูตซีเหลียงจึงอาละวาดขึ้นมา รู้สึกว่าตนเองได้รับการเหยียดหยาม ละอายต่อท่านอ๋องซีเหลียง จึงแขวนคอปลิดชีพตนเองในวัดต้าหงหลู
โชคดีที่ตายเพียงหนึ่งคน คนอื่นล้วนช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่เรื่องนี้ก็ยากที่จะอธิบาย
คงต้องทำสงครามจริงๆ เสียแล้ว
อีกทั้งไม่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว
ท่านอ๋องฉีที่ถูกปลดให้เป็นสามัญชนในแคว้นฉีถูกคนช่วยออกไป…
มีกองกำลังบางส่วนปรากฏตัวในแคว้นฉี มีสำนักหยาเหมินบางแห่งถูกเผา
ดังนั้น…หากเกิดสงครามขึ้นจริง เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงการทำสงครามกับซีเหลียง
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบของบรรดาขันที พระสนมเสียนและพระสนมสวีต่างส่งเสียงขึ้นด้วยความตกใจ “บัดนี้หรือ เวลานี้หรือ”
“ฝ่าบาทประชวรอยู่เช่นนี้ จะทำสงครามอีกแล้วหรือ”
“จะทำอย่างไรดี! ไม่ปลอดภัยทั้งในทั้งนอก”
องค์หญิงจินเหยาเหม่อลอย จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงสั่นบนมือ ถึงได้พบว่าช้อนป้อนข้าวถูกฮ่องเต้กัดเอาไว้
“เสด็จพ่อ” นางลองเรียกขาน
ฮ่องเต้ยังทรงหลับตา เพียงแต่ปากกัดช้อนเอาไว้แน่น
เกิดอันใดขึ้น
“หมอหลวง” องค์หญิงจินเหยารีบตะโกนเรียก อีกทางก็พยายามดึงช้อนกลับมาอย่างระมัดระวัง
แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะใช้แรงกัดสุดกำลังจนเกิดเสียงเสียดสีขึ้นเบาๆ
หมอหลวงจางรีบวิ่งเข้ามา นวดคลึงใบหน้าของฮ่องเต้แผ่วเบา หลังจากนั้นไม่นานช้อนก็ถูกปล่อยออก
“ไม่เป็นอันใด แค่ชักพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูด พลันหันมามององค์หญิงจินเหยา “เสวยไปไม่น้อยแล้ว พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยาเก็บชามกลับมา นางมองฮ่องเต้ที่หลับตาอยู่ บางทีเสด็จพ่ออาจได้ยินคำพูดจากห้องด้านนอกจึงร้อนใจ…
ดวงตาของนางแดงก่ำ โน้มตัวพูดด้วยเสียงร่าเริงที่ข้างหูฮ่องเต้ “เสด็จพ่ออย่าทรงกังวล ไม่เป็นอันใด มีเสด็จพี่องค์รัชทายาทอยู่ มีทุกคนอยู่ พระองค์ทรงพักรักษาให้ดีก็พอ”
ฮ่องเต้ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
องค์หญิงจินเหยาใช้ผ้าซับมุมปากของฮ่องเต้เบาๆ ก่อนจะตั้งใจมองฮ่องเต้อีกครั้ง นางลุกขึ้นแต่ไม่ได้เดินออกไป หากแต่ถามขันทีผู้หนึ่ง “องค์รัชทายาทประทับอยู่ที่ใด”
ขันทีผู้นั้นทูลตอบ “องค์รัชทายาททรงงานอยู่ที่ตำหนักหน้า ทางนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยองค์หญิง…”
องค์หญิงจินเหยาพูดขัดเขา “ข้าจะเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”
…
เนื่องจากเรื่องของทูตซีเหลียงและการหนีไปของท่านอ๋องฉี ทำให้วังหน้าต่างวุ่นวาย แต่เวลานี้องค์รัชทายาทกำลังคิ้วขมวดอยู่ในห้องตำราเพียงลำพัง ถามถึงอีกเรื่องที่กังวลใจ
“ยังหาศพของหูไต้ฟูไม่เจอหรือ”
ฝูชิงพูด “ไม่เพียงหูไต้ฟู แม้แต่ม้าตัวนั้นก็ไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเขากระวนกระวายใจ หลังจากที่เขาลงมือกับม้าตัวนั้น เขายังตั้งใจเลือกหน้าผา เพื่อให้ม้าและคนตกลงไปแหลกจนหาต้นตอไม่พบ แต่ศพของคนกับม้ากลับหายไป น่าแปลกเสียจริง เห็นได้ชัดว่ามีคนชิงลงมือก่อนเพื่อสืบหาหลักฐาน
“นอกจากองครักษ์ลับ การเดินทางในคราวนี้มีแต่คนของพวกเรา ดำเนินการอย่างเป็นความลับมาก” ฝูชิงพูดเสียงเบา “อีกทั้งหน้าผานั้นยังสูงมาก แต่ไม่มีร่องรอยเหลือไว้แม้แต่น้อย นอกจากหูไต้ฟูจะเป็นผู้มีฝีมือ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นแค่ไต้ฟู”
“ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ศพก็หายไปแล้ว” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงเย็น
ดวงตาของฝูชิงลุกวาว “ฝ่าบาท หรือจะเป็นองค์ชายหก ไม่ แม่ทัพหน้ากากเหล็ก…”
มีเพียงแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่มีวิทยายุทธสูงที่ทำได้!
องค์รัชทายาทย่อมเดาได้ คิ้วที่ขมวดของเขาคลายลง พลันยิ้มเย้ยหยัน “เขาคิดจะใช้เรื่องนี้ชี้ผิดข้าหรือ ช่างน่าขันสิ้นดี เวลานี้เขาอยู่นอกวังหลวงในฐานะกบฏ ผู้ใดจะฟังเขา ข้าอยากให้เขาออกมาเสียจริง เพียงแค่เขาออกมา ข้าก็สามารถทำให้เขาตายโดยไม่มีที่ฝังศพ”
ฝูชิงกล่าว “กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องฉีที่ถูกปลดเป็นสามัญชนก็ถูกองค์ชายหกช่วยออกไปเช่นเดียวกัน เขาต้องการใช้ท่านอ๋องฉีก่อเรื่อง”
องค์รัชทายาทยิ้ม “ดีขึ้นไปเสียอีก อย่างนั้นเขาก็ยิ่งกลายเป็นกบฏที่แท้จริง”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูด ด้านนอกมีเสียงกล้าๆ กลัวๆ ของขันทีดังขึ้น “องค์หญิงจินเหยาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว ฝูชิงรีบพูดเสียงเบา “กระหม่อมออกไปไล่นาง”
องค์รัชทายาทยกมือห้ามเอาไว้ “ไม่ต้อง ให้นางเข้ามาเถิด ข้าอยากเห็นว่านางจะทำอันใดอีก” สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความรำคาญ “เสด็จพ่อทรงเป็นเช่นนี้แล้ว หากนางยังกล้าก่อเรื่อง ข้าจะขังนางเอาไว้กับเสด็จแม่”
ช่าง…ฝูชิงยิ้ม พลันตอบรับ จากนั้นเขาพูดกับคนที่อยู่ด้านนอกเสียงดัง “องค์หญิงโปรดทรงเข้ามาเถิด”
ไม่นานนัก องค์หญิงจินเหยาก็เดินเข้ามา
“จินเหยา” องค์รัชทายาทนวดระหว่างคิ้ว “เกิดเรื่องใดขึ้น ข้าทำงานเสร็จก็จะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ…”
องค์หญิงจินเหยาพูดขัดเขา “หม่อมฉันยอมอภิเษกไปซีเหลียง อภิเษกกับองค์รัชทายาทแห่งซีเหลียงเพคะ”