ตอนที่ 455 แม่ลูกพบหน้าอีกครั้ง
ในห้องทำงานหัวหน้าโรงงาน เหรินเป่าจูถามอย่างไม่พอใจนัก “ประธานหลิน คุณจะปล่อยทังชุ่นอิงไปง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ?”
หลินม่ายยิ้มอย่างดูแคลน “หล่อนเธอเคยทุจริตมาก่อน ไม่รู้จักสำนึกผิด ทั้งยังกล้าเป็นหนอนบ่อนไส้ สมรู้ร่วมคิดกับซีม่านอยู่เบื้องหลังอีก หากไม่ใช่เพราะส่วนรักษาความปลอดภัยพบได้ทันเวลา หากไม่ใช่เพราะฉันกับหัวหน้าเถาแสดงละครได้อย่างแนบเนียน ฝ่ายที่ชนะในการฟ้องร้องเมื่อวานก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเราได้หรอก ทังชุ่นอิงทำร้ายฉันขนาดนี้ แทบจะฆ่าฉันให้ตายเสียให้ได้ แล้วฉันจะปล่อยหล่อนไปง่ายๆ ได้ยังไงกัน?”
เหรินเป่าจูดวงตาเป็นประกาย “ประธานหลินยังมีแผนอื่นอีกเหรอคะ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่า”
เหรินเป่าจูสับสนงุนงงโดยสมบูรณ์ “งั้นทำไมคุณถึงบอกว่าจะไม่ปล่อยหล่อนไปง่ายๆ ล่ะคะ!”
หลินม่ายยิ้มบาง “การจัดการหล่อน ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองหรอก ทำให้หล่อนกับซีม่านกัดกันเองก็ได้นี่!”
เหรินเป่าจูไตร่ตรองอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เข้าใจ พลันมองไปยังหลินม่ายอย่างสับสนงุนงง “จะทำให้พวกเขากัดกันเองยังไงเหรอคะ?”
หลินม่ายพูดเตือนสติ “คนที่หัวหน้าฝ่ายติงส่งไปตามประกบทังชุ่นอิงบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เมื่อวานหล่อนไปที่โรงงานเสื้อผ้าซีม่านรอบหนึ่ง ตอนที่หล่อนขอร้องไม่ให้ฉันไล่หล่อนออก บอกว่าหล่อนสามารถคืนเงินที่ยักยอกไปทั้งหมดให้ได้ในทันที แต่ในเมื่อลูกชายของหล่อนป่วยหนัก แล้วหล่อนจะไปเอาเงินจากไหนมาชดใช้เงินที่ยักยอกมากันล่ะ!”
เหรินเป่าจูพูดพลางครุ่นคิด “คุณหมายความว่า ที่ทังชุ่นอิงสามารถหาเงินมาชดใช้ที่ยักยอกไปได้ เพราะซีม่านให้เงินหล่อนอย่างนั้นเหรอคะ?”
หลินม่ายพยักหน้า ค่อยๆ จูงใจไปทีละขั้น “ทังชุ่นอิงทำเสียเรื่องหมดแล้ว แต่ซีม่านกลับยังให้เงินตอบแทนกับหล่อน นั่นหมายความว่าอะไรกันล่ะ?”
“หมายความว่ายังมีหน้าที่ที่มอบหมายให้กับหล่อนอยู่เหรอคะ?”
หลินม่ายเม้มปากพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็น่าจะเก็บหล่อนเอาไว้ รอให้ถึงตอนที่หล่อนลงมือ แล้วจับให้คาหนังคาเขาเลยสิคะ”
หลินม่ายส่ายหน้า “หล่อนกลายเป็นระเบิดเวลาไปแล้ว ทั้งยังคุ้นชินกับโรงงานอีกด้วย การเก็บหล่อนเอาไว้ในโรงงานมันอันตรายเกินไป ดังนั้นฉันจึงรีบจัดการกับหล่อน”
เหรินเป่าจูพูดอย่างสงสัย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ จะเราจะไม่เสียเปรียบหล่อนเหรอคะ!”
หลินม่ายขยิบตาให้ “ทังชุ่นอิงเอาเงินให้ฉันแล้ว แต่ก็ยังถูกฉันไล่ออกอีก ซีม่านจะไม่ได้ข่าวคราวเลยเหรอ? เอาเงินเขามา แต่กลับไม่ได้ทำงานให้เขา คุณคิดว่าซีม่านจะยอมวางมือเหรอคะ?”
เหรินเป่าจูฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เข้าใจอย่างสมบูรณ์ “คุณจะยืมมือซีม่านจัดการกับทังชุ่นอิงเหรอคะ?”
หลินม่ายพยักหน้า “ประธานกวนของซีม่านไม่ใช่คนใจดีนัก เมื่อให้เงินทังชุ่นอิงไปแล้ว แต่กลับทำไม่สำเร็จถึงสองเรื่องติดๆ แล้วเขาจะยกโทษให้หล่อนง่ายๆ เหรอ?”
เหรินเป่าจูหัวเราะ “ถึงตอนนั้น ไม่เพียงพวกเราไม่ต้องลงมือเอง ทิ้งจุดอ่อนในการกล่าวโทษพวกเราอย่างโหดเหี้ยมและไม่น่าให้อภัยให้กับคนใจทรามนั่น ยังสามารถทำให้ทังชุ่นอิงได้รับบทเรียน หากลองเปรียบกันดู ถึงจะเข้าใจว่าคุณดีต่อหล่อนเท่าไร ทำให้หล่อนนึกเสียใจไปถึงก้นบึ้งเลย!”
หลินม่ายพูดอย่างหยามเหยียด “ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่เคยหวังความซาบซึ้งของใครหรอกค่ะ ส่วนทังชุ่นอิงจะนึกเสียใจหรือไม่ฉันก็ยิ่งไม่สนใจเลย”
รอทังชุ่นอิงถูกกวนหย่งหัวสั่งสอนแล้ว เธอก็จะดำเนินการขั้นถัดไป
ในเมื่อทังชุ่นอิงกล้าทรยศเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเองก็จะใช้ประโยชน์จากตัวหมากอย่างหล่อนจนถึงที่สุด จัดการกวนหย่งหัวให้เละไปเลย
และจะทำให้ทังชุ่นอิงไม่สามารถทำงานบัญชีได้ไปตลอดกาล
หลังจากเหรินเป่าจูออกไปแล้ว หลินม่ายก็ไปที่ห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น
ทั้งสองคนพิจารณาสไตล์ที่เถาจืออวิ๋นออกแบบพวกนั้นด้วยกันว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนบ้าง
หลินม่ายมีประสบการณ์จากชาติที่แล้ว จึงค่อนข้างมีสูตรโกงอยู่บ้าง เธอให้คำแนะนำที่ดีกับเสื้อผ้าของเถาจืออวิ๋นไปไม่น้อย
เถาจืออวิ๋นชื่นชมไม่หยุดว่าเธอมีไหวพริบด้านการออกแบบเสื้อผ้า และยังเหมาะสมจะเป็นนักออกแบบเสื้อผ้ามากกว่าหล่อนเสียอีก
หลินม่ายรู้จักประมาณตนเองดี เธอหัวเราะเอ่ยอย่างถ่อมตัวเล็กน้อย แล้วจึงไปที่ไซต์ก่อสร้าง
ที่ดินถูกปรับเรียบร้อยแล้ว โรงงานและบ้านเรือนก็ต้องปลูกสร้างขึ้นมาเสียที
เฉินเฟิงรับผิดชอบในด้านอสังหาริมทรัพย์ การสร้างโรงงาน สำนักงานใหญ่และอาคารบ้านเรือนสองกระบวนการนี้จึงต้องมอบหมายให้เขารับหน้าที่
……..
เฉินเฟิงอยู่ในห้องทำงานชั่วคราวของพื้นที่ก่อสร้าง และตอนนี้ก็นั่งอยู่กับแม่เฉิน
แม่เฉินไม่ต่างจากครั้งที่แล้ว ร้องไห้ดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ยังคงมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียว คือต้องการเอาเฉินเฟิงกลับมาหาตน
เฉินเฟิงดื่มเหล้านอกที่หลินม่ายนำกลับมาจากศุลกากรก่อนหน้านี้อย่างเงียบๆ ไม่สะทกสะท้านกับน้ำตาของผู้เป็นแม่
แม่เฉินร้องไห้จนเหนื่อย กลัวว่าเครื่องสำอางจะหลุด จึงใช้กระดาษเช็ดหน้าซับดวงตาอย่างระมัดระวัง ถามด้วยเสียงสะอื้นไห้ “อาเฟิง ลูกยังไม่เต็มใจจะรู้จักมักคุ้นแม่อีกเหรอ?”
เมื่อนั้นเฉินเฟิงถึงมองหล่อนอย่างเฉยเมย “ผมรู้จักกับคุณได้ แต่ผมไม่อยู่ด้วยกันกับคุณหรอก”
แม่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าผิดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “อย่างนั้น… ลูกของลูกในอนาคตจะใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงลูกได้ไหม?”
ที่หล่อนและสามีในปัจจุบันของหล่อนต้องการนำเฉินเฟิงกลับไปอย่างมากนั้น เหตุผลสำคัญก็คือต้องการให้เขาเป็นผู้สืบสันดานของตน
แม้ว่าเฉินเฟิงเองจะไม่ได้มีสายเลือดของสามีคนปัจจุบันของหล่อนไหลเวียน แต่ก็มีสายเลือดของหล่อนอยู่
ให้ลูกชายแท้ๆ ของหล่อนเป็นผู้สืบสันดานของเขา อย่างไรก็ดีกว่าเด็กผู้ชายที่รับเป็นลูกบุญธรรมมาจากตระกูลเดียวกัน
ทั้งลำบากเลี้ยงลูกคนอื่นจนโต ทั้งยังอบรมเลี้ยงดูจนประสบความสำเร็จ จากนั้นก็ยกมรดกให้เขา แต่เขาก็มีพ่อมีแม่ ไม่แน่ว่าพอได้ทรัพย์สินไปแล้ว อาจจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตัวเอง พ่อแม่บุญธรรมอย่างพวกเขาก็คงได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ
ไม่เหมือนเฉินเฟิง พ่อ ย่า และป้าแท้ๆ ต่างก็ตายหมดแล้ว นอกจากแม่แท้ๆ ก็ไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่อีกแม้แต่คนเดียว
พาลูกเลี้ยงแบบนี้กลับมา ก็เป็นการเอาของของตนกลับคืนมาทั้งหมด และยังไม่ต้องกลัวจะถูกใครแย่งกลับไปด้วย
อีกทั้งยังดีกว่ารับเลี้ยงเด็กที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด
อีกอย่าง พวกเขาสามีภรรยาก็อายุมากแล้ว จะให้เลี้ยงดูเด็กอีกคน ก็คงไม่มีกำลังขนาดนั้น
เฉินเฟิงพยักหน้า “งั้นผมจะมีลูกชายสักหลายคน แล้วให้เด็กผู้ชายสักคนสืบทอดนามสกุลของสามีคุณ”
เมื่อนั้นแม่เฉินจึงเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นแย้มยิ้ม “ในเมื่อลูกไม่อยากอยู่กับเรา งั้นก็ตามใจลูกเถอะ แม่จะให้พ่อเลี้ยงของลูกซื้อวิลล่าให้อยู่ตามลำพัง”
เฉินเฟิงพยักหน้า
ในเมื่อแม่เฉินต้องการจะเอาเขากลับไป หล่อนจะให้ของตอบแทนกับเขาก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ
ถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่ได้อยากรับเขากลับด้วยใจบริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างทำธุรกิจร่วมกันเท่านั้น
แม้มันจะเป็นธุรกิจ แต่เฉินเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น
ความคะนึงหาที่มีต่อแม่นั้น ได้เลือนหายไปในคืนฤดูหนาวที่พายุหิมะโหมกระหน่ำนั้นแล้ว
แม่เฉินไม่รู้ถึงกลไกความคิดของลูกชาย
เมื่อเห็นว่าเขายอมตกลงให้พ่อเลี้ยงมอบวิลล่าเป็นของขวัญ ก็ดีอกดีใจสุดชีวิต
หล่อนเองก็รู้ว่าตนติดค้างลูกชายคนนี้มากมายนัก อยากจะชดเชยให้เขาเหมือนกัน
แม่เฉินพูดอย่างชื่นมื่น “ที่จริงแล้วคราวนี้พ่อเลี้ยงของลูกเองก็มาด้วย เพียงแต่ไม่กล้ามาพบหน้าลูกเท่านั้น แม่จะกลับโรงแรมไปบอกข่าวดีนี้กับพ่อเลี้ยงของลูกเดี๋ยวนี้ ให้เขาจัดเตรียมโรงแรมไว้ เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้กินข้าวพร้อมหน้ากันสักมื้อ” พูดจบหล่อนก็เดินจากไป
ครั้งนี้ก็บังเอิญชนกับหลินม่ายที่กำลังจอดจักรยานอยู่หน้าประตูห้องทำงานอีกครั้ง
แม่เฉินพิจารณาหลินม่ายอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปพลางหันกลับมามองเป็นพักๆ
หลินม่ายหันไปชำเลืองมองหล่อนอย่างแปลกประหลาดใจอยู่สองสามครั้ง
ทำไมสายตาที่คุณน้าคนสวยคนนี้มองเธอมันทำให้รู้สึกแปลกประหลาดนักนะ?
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานด้วยความสงสัยที่อัดแน่น
เมื่อเห็นเฉินเฟิงกำลังดื่มเหล้าแต่หัววัน เธอก็ทำท่าพุ่งเข้าไปหยิบขวดเหล้าออกมาทันที พลางพูดอย่างฉุนเฉียว “ดื่มเหล้าแต่หัววันได้ยังไงกัน ไม่รู้เหรอว่าสุราเป็นโทษต่อร่างกาย? แถมยังไม่มีกับแกล้มอีกต่างหาก!”
เฉินเฟิงหัวเราะ ดื่มเหล้าในแก้วรวดเดียวหมด แล้วพูดติดตลก “ประธานหลินยินดีต้อนรับ มีอะไรจะชี้แนะหรือครับ?”
หลินม่ายบอกจุดมุ่งหมายในการมาเยือนอย่างชัดเจน อีกทั้งมอบโฉนดที่ดินของมูลนิธิทั้งสามแห่งให้แก่เขา
เฉินเฟิงค่อนข้างตะลึง “เธอเอาที่ดินมาได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
หลินม่านพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ
เฉินเฟิงเอ่ยชมอยู่หลายครั้งไม่ขาดปาก “สุดยอดเลย สุดยอด!”
สิ่งที่คิดในใจคือ ได้ที่ดินทั้งสามแห่งมาอยู่ในมืออย่างง่ายดายขนาดนี้ คงจะเป็นเพราะศาสตราจารย์ของเธอให้ความช่วยเหลือแน่
หลินม่ายหยิบภาพแบบแปลนของสำนักงานใหญ่และโรงงานที่ผู้อาวุโสเจิ้งออกแบบออกมาให้เฉินเฟิง “แบบแปลนนี้เป็นแบบที่ผู้อาวุโสเจิ้งออกแบบไว้ตอนที่ยังไม่ได้ที่ดินมา ถ้าให้ดีนายเชิญเขามาดูพื้นที่จริงเถอะ แล้วดูว่าต้องปรับเปลี่ยนไหม ยังมีเขตบ้านเรือนอยู่อาศัยนี้ด้วย นายเองก็ให้เขาช่วยออกแบบให้สักหน่อยบอกกับผู้อาวุโสเจิ้งว่า ต้องการแค่บ้านแบบ1ห้องนอน1ห้องรับแขกและ2ห้องนอน1ห้องรับแขกเท่านั้นนะ”
ในยุคนี้ยังไม่มีการเริ่มต้นสร้างอาคารพาณิชย์ คนทั่วไปก็ไม่ได้มีเงินในกระเป๋ามากมายยัก ธนาคารก็ไม่มีธุรกิจเงินกู้สำหรับซื้อบ้านเช่นนี้ด้วย
หลินม่ายจำได้ว่าสินเชื่อจำนองเพื่อซื้อบ้านเพิ่งจะเริ่มขึ้นในแผ่นดินใหญ่ช่วงยุค90 ศตวรรษที่20 และเพิ่งจะเริ่มเป็นที่นิยมภายหลังจากปี2000
เธอไม่กล้าขายอสังหาขนาดใหญ่ตั้งแต่เริ่ม กลัวว่าต่อให้คนทั่วไปควักเงินเก็บเงินออมในบ้านออกมาจนหมดก็ยังขายไม่ไหว จึงต้องวางอาคารพาณิชย์ที่สร้างขึ้นมาทิ้งไว้ก่อน
ดังนั้นจึงต้องออกแบบสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเป็นอาคารขนาดเล็ก คนทั่วไปถึงพอจะซื้อไหว เพื่อสนองต่ออุปสงค์ที่ไม่ยืดหยุ่นของพวกเขา
เฉินเฟิงพยักหน้า แล้วเก็บโฉนดที่ดินทั้งหมดที่หลินม่ายให้เขาเอาไว้
หลินม่ายค่อนข้างเป็นกังวลว่าการสร้างหลายโครงการพร้อมๆ กัน จะทำให้ขาดกำลังคน
ให้เฉินเฟิงสร้างโรงงานให้เสร็จก่อน ส่วนโครงการอื่นๆ ล้วนสามารถเลื่อนออกไปได้
เฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ สองสามครั้ง “มันจะไม่เกิดปัญหาเรื่องกำลังคนไม่พอหรอก โครงการของโรงพยาบาลผู้จี้ถึงช่วงท้ายแล้ว ฉันให้นายช่างจางไปเรียกแรงงานชาวไร่ชาวนาพวกนั้นมา แค่นี้แรงงานคนก็เกือบจะเพียงพอแล้ว ถ้าแบบนี้ยังไม่พอ ก็ให้แรงงานชาวไร่ชาวนาพวกนั้นเรียกพวกพ้องเพื่อนฝูงมา ก็หาคนมาได้ไม่น้อยแล้ว”
หลินม่ายพยักหน้า “นายมีอำนาจรับผิดชอบในด้านอสังหาริมทรัพย์นี้ทั้งหมด ฉันจะพยายามไม่ยื่นมือมายุ่งแล้วกัน”
เฉินเฟิงเอ่ยแทงใจดำเธอ “อย่ามาทำเป็นฟอกขาวให้ตัวเองเลย เธอแค่บอกว่าจะถีบส่งมาให้ฉันตรงๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดว่าตัวเองจะไม่ยื่นมือมายุ่งหรอก”
หลินม่ายยิ้มอย่างเก้อเขิน “ฉันจะแบ่งหุ้นของสำนักงานใหญ่ให้นาย30เปอร์เซ็นต์ นายพอใจไหม?”
ต่อไปอำนาจในด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเฉินเฟิง
หนึ่งคืออสังหาริมทรัพย์มีความซับซ้อนมากที่สุด ซึ่งเทียบกับโรงงานเสื้อผ้าและโรงงานอาหารไม่ได้เลย
สองคือต่อไปคุณประโยชน์ที่สร้างขึ้นจะมากที่สุด กล่าวคือเฉินเฟิงจะสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับบริษัท
การแบ่งหุ้นให้เขา30เปอร์เซ็นต์ หลินม่ายรู้ว่าเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง
เฉินเฟิงโบกมือ “อย่าพูดเรื่องหุ้นกับฉันเลย ฉันไม่อยากได้หรอก”
หลินม่ายถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่าฉันกลับไปหาแม่ของฉันแล้ว และกำลังจะสืบทอดมรดกมากมายมหาศาลของพ่อเลี้ยง หุ้น30เปอร์เซ็นต์นั่นของเธอไม่อยู่ในสายตาฉันหรอกน่า” เฉินเฟิงทำหน้าตารังเกียจ
หลินม่ายรู้ดี เขาจะไม่เห็นหุ้น30เปอร์เซ็นต์อยู่ในสายตาได้ยังไง แต่เขาต้องการให้เธอได้กำไรมากขึ้นต่างหาก
หลินม่ายรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ
ทว่าเธอต้องให้เฉินเฟิงยอมรับหุ้น30เปอร์เซ็นต์นี้ไปให้ได้ เธอถึงจะสบายใจ
เธอไม่อยากให้เขาเอาแต่คำนึงถึงเธอ เอาแต่เป็นห่วงเธออยู่ตลอดแบบนี้
เธอไม่ใช่หลินเพ่ยที่อยากจะเป็นหญิงสาวที่ใครๆ ก็หลงใหล และไม่เคยคิดอยากจะหาเงินจากตัวผู้ชายเลยสักครั้ง
ตัวเธอเองสามารถหาเงินเองได้ ไม่จำเป็นต้องเอาเงินจากผู้ชาย
เธอเพียงต้องการจะรักษาคนๆ หนึ่งเอาไว้ จนแก่เฒ่าหัวหงอก จนสิ้นชีพอายุขัย สองคนครองรักกันอย่างมีความสุข
หลินม่ายเกลี้ยกล่อมเขาอยู่นาน แต่เฉินเผิงก็ไม่ยอมรับไว้ เธอจึงได้แต่ยอมแพ้แล้วถามขึ้น “นายได้รู้จักแม่ของนายแล้วเหรอ? ทั้งสองคนหยินหยางแยกจากแล้วทำความรู้จักกันได้ยังไงน่ะ?”
เธอจำได้ว่าตอนที่เจอกับเฉินเฟิงครั้งแรก เฉินเฟิงจับตัวเธอไว้เป็นตัวประกันในบ้านชั้นเดียวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป
เธอเห็นภาพเหมือนของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนโต๊ะบูชาของบ้านเดี่ยวหลังนั้น
ในตอนนั้นเฉินเฟิงยังบอกว่าผู้หญิงในภาพเหมือนนั้นคือแม่ของเขา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอหน้าแม่เฉินแล้ว แม่เฉินจะเล็งม่ายจื่อไว้เป็นสะใภ้หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)