สวีซื่ออวี้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อย่างน้อย อี๋เหนียงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของชิวหลัว!
“พอถึงต้นยามโหย่ว ชิวหลัวก็ได้คลอดเด็กผู้ชายออกมา!” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นพึมพำ “สาวใช้น้อยก็ได้มาแจ้งข่าว ฮูหยินสองจะไปดูเด็กน้อย ข้าเองก็อยากไปด้วย ก็เลยติดตามฮูหยินสองเหมือนเช่นเคย ฮูหยินสองเห็นแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ข้าจึงติดตามฮูหยินสองไปยังเรือนของฮูหยิน
และก็เป็นเหมือนที่หมอตำแยพูดเอาไว้ไม่มีผิด ฮูหยินกำลังอุ้มเด็กอยู่ที่ห้องรับรองแขกของห้องปลายสุดทางทิศตะวันตก ไท่ฮูหยิน ท่านโหว คุณชายสาม คุณชายห้า ฮูหยินสามและเหล่าบรรดาสาวใช้รวมถึงป้ารับใช้ต่างก็อยู่ที่นั่นพร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นเพียงป้าเถาคนเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นพวกข้าเข้าไปแล้ว ฮูหยินดูดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด นางรีบอุ้มเด็กมาให้ฮูหยินสองดู ข้าเองก็ถือโอกาสเขย่งเท้าดูด้วย เด็กคนนั้นทั้งผอมทั้งตัวเล็ก ดูแล้วคงหนักไม่เกินสามสี่ชั่ง กำลังนอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของฮูหยิน ราวกับมะเขือที่ห่อเหี่ยว ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินสองมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้เชยชมเด็กคนนั้นว่า ‘เด็กคนนี้น่ารักน่าชังจริงเชียว’ ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา บอกว่าหลังจากที่ชิวหลัวคลอดเสร็จแล้วก็ตกเลือดไม่หยุด ป้าเถาที่อยู่ดูแลชิวหลัวหลังคลอดจึงได้ให้คนมาแจ้งข่าว เชิญหมอมารักษาให้เร็วที่สุด”
ถึงแม้จะรู้ว่าจุดจบเป็นเช่นไร แต่เวลาที่ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น สวีซื่ออวี้ก็ยังคงเงี่ยหูฟังทุกครั้ง
“ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก” ฉินอี๋เหนียงพูดต่อไปว่า “ฮูหยินสามอุทานออกมาด้วยความตกใจ บอกว่าเมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงตกเลือดไม่หยุดเช่นนี้ได้ เมื่อคนในเรือนได้ยินแล้วต่างก็พากันหันไปมองฮูหยิน มีเพียงฮูหยินสองเท่านั้นที่หันมามองข้า จากนั้นก็ก้มหน้าจิบชาต่อ
ฮูหยินสองฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด ข้ารู้ว่าเหตุใดนางถึงหันมามองข้า ในใจข้ากลัวเป็นอย่างมาก…ข้าเองไม่มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่ต้องการมาเยี่ยมชิวหลัวเท่านั้น…ตอนที่ฮูหยินพึ่งแต่งงานเข้าจวนมา ชิวหลัวยังเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุราวเจ็ดแปดขวบเท่านั้น แต่กลับดูมีน้ำมีนวลเป็นอย่างมาก งดงามกว่าปี้อวี้หลายเท่าตัว ตอนนี้นางได้รับเกียรติจากฮูหยิน และได้ให้กำเนิดบุตรชาย เก้าในสิบส่วนจะต้องถูกยกขึ้นมาเป็นอี๋เหนียง หากนางสามารถให้กำเนิดหนึ่งชายหนึ่งหญิงได้อีก…ข้าไม่กล้ามองหน้าฮูหยินสอง จึงก้มหน้าก้มตายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฮูหยินสั่งให้ไปเชิญหมอมา แล้วจึงหันไปพูดกับไท่ฮูหยินว่าจะไปดูที่ห้องคลอดสักหน่อย
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นมาพูดกับฮูหยินว่า ‘ในเมื่อเจ้ายุ่งอยู่ เช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันเถิด! รออีกสักสองวันพอถึงวันสรงสามของเด็กแล้วก็ค่อยมาร่วมพิธีอีกที’ จากนั้นก็หันไปพูดกับฮูหยินสองว่าช่วงนี้นางมักจะปวดหลังอยู่บ่อยๆ ครั้งที่แล้วฮูหยินสองช่วยทุบหลังให้ครั้งหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ครั้งนี้จึงอยากให้ฮูหยินสองช่วยทุบหลังอีกครั้ง ฮูหยินสามได้ยินแล้วก็รีบเข้าไปประคองแขนของไท่ฮูหยินพร้อมกับถามว่าไท่ฮูหยินปวดตรงไหนบ้าง อาการหนักหรือไม่ นางมีค้อนเหม่ยเหรินไม้หนานมู่ฝังหยกขาวอยู่หนึ่งอัน เป็นสินเดิมจากตระกูลเดิมของนาง ค่อนข้างเหมาะและดีกับคนเฒ่าคนแก่…กิริยาท่าทีของนางดูมีน้ำใจและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก คุณชายห้าเองก็ได้ถามพร้อมกับดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยินเบาๆ…เวลานั้นเอง ชิวหลัวก็ถูกลืมไปชั่วขณะ จากนั้นต่างก็พากันประคองไท่ฮูหยินเดินออกนอกประตูไป
ฮูหยินสองก็ได้สั่งกับเจี๋ยเซียงว่าให้พาข้ากลับเรือน ยังได้กำชับข้าอีกว่าให้กลับไปฝนหมึกที่เหลือให้หมด
คุณชายห้าก็ถามฮูหยินสองด้วยความแปลกใจ ว่าเหตุใดถึงได้ฝนหมึกในเวลานี้
ฮูหยินสองจึงตอบกลับไปว่าอยากจะเติมน้ำของดอกไม้ลงไปในน้ำหมึก ดูว่าสีของน้ำหมึกจะงามกว่าเดิมหรือไม่
คุณชายห้าจึงพูดขึ้นว่าหากผสมได้สำเร็จ ต้องแบ่งให้เขาสักแท่ง
ทุกคนต่างก็พากันคุยเล่นพลางเดินไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน ไม่มีใครหันมามองข้าแม้แต่คนเดียว…ข้าจึงตามเจี๋ยเซียงกลับเรือนไป
เมื่อกลับถึงเรือนแล้ว เจี๋ยเซียงก็ยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้ข้านั่ง ข้าจึงหย่อนตัวนั่งลงฝนหมึกหน้าโต๊ะตำราต่อ จวบจนกลางคืน หลังจากที่ได้ยินเสียงกลองบอกเวลาดังขึ้นสามครั้ง ฮูหยินสองจึงค่อยกลับมา เมื่อเห็นว่าข้ากำลังฝนหมึกอยู่ นางก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นเจี๋ยเซียงก็ได้ปรนนิบัติฮูหยินสองชำระล้างร่างกายที่ห้องชำระ
ข้าฝนหมึกติดต่อกันอยู่หลายวัน ดวงตาของข้าเริ่มจะไม่ไหวตั้งนานแล้ว ฮูหยินสองเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกต่อไป มือของข้าทั้งเมื่อยทั้งบวมและเจ็บระบมไปหมด หากไม่ฝนหมึกต่อ ก็กลัวว่าฮูหยินสองจะโมโหข้า ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายข้าก็ตัดสินใจวางแท่งหมึกลง แล้วจึงแอบไปที่ห้องชำระอย่างเบามือเบาเท้า
ฮูหยินสองกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเจี๋ยเซียงอยู่ เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก ก็รีบหยุดบทสนทนานั้นลง สีหน้าของฮูหยินสองย่ำแย่เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าข้ายืนอยู่ที่ประตู สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย จึงถามข้าว่ามีธุระอะไร ข้าก็ตอบกลับไปอย่างติดอ่าง ฮูหยินสองจึงสั่งให้เจี๋ยเซียงกลับไปพักผ่อนพร้อมกันกับข้า แล้วเรียกสาวใช้น้อยให้มาปรนนิบัตินางชำระล้างร่างกายก็พอ
เจี๋ยเซียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับเรือนไปพักผ่อนพร้อมกันกับข้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจขึ้นมา “ความจริงแล้ว ข้าได้ยินสิ่งที่ฮูหยินสองคุยกับเจี๋ยเซียงแล้ว”
ตั้งแต่เดินเข้าประตูเรือนมา ก็เหมือนกับว่าได้เปิดประตูที่ถูกปิดตายไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยหยากไย่แมงมุมที่หนาทึบเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสัตว์ปีกลึกลับที่บินปะทะเข้ามาอีกด้วย
ตอนนี้ ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงป้าสะใภ้สองอีก!
สวีซื่ออวี้กำมือแน่น “ท่านป้าสะใภ้สองและเจี๋ยเซียงกำลังคุยอะไรกันหรือ”
“พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น” สีหน้าของฉินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยความพึงพอใจมากขึ้นกว่าเดิม “ฮูหยินสองบอกว่าน้ำแกงที่ป้าเถายกไปให้ชิวหลัวดื่มนั้นมีต้าหวงอยู่ด้วย” พูดจบ จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้ารู้จักต้าหวงหรือไม่”
สวีซื่ออวี้ย่อมไม่รู้จักอยู่แล้ว
แต่เขารู้ว่าป้าสะใภ้สองมีความรู้เรื่องสมุนไพร หากว่าป้าสะใภ้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แสดงว่าสิ่งนั้นต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
เขาจึงส่ายหน้าเบาๆ
ฉินอี๋เหนียงมองไม่เห็นว่าเขากำลังส่ายหน้า แต่กลับคิดไปในทิศทางเดียวกันกับสวีซื่ออวี้ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าต้าหวงคืออะไร แต่เห็นสีหน้าของฮูหยินสองแย่ขนาดนั้น ก็รู้ได้เลยทันทีว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ข้านอนลงบนเตียง แต่กลับนอนไม่หลับเลย แต่ก็ไม่กล้าพลิกตัวไปมา เพราะกลัวว่าจะทำให้เจี๋ยเซียงที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่น นึกถึงเรื่องที่ในน้ำแกงมีต้าหวง นึกถึงชิวหลัวที่ตกเลือดหลังคลอดลูก ยังนึกถึงเด็กทารกที่ผอมและตัวเล็กกว่าทารกปกติทั่วไป ข้าจ้องมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นมาอย่างช้าๆ ในใจครุ่นคิด ว่าเหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย…ขณะที่ข้ากำลังกระวนกระวายด้วยความกังวลใจอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งมาพอดี บอกว่า ชิวหลัวตกเลือดจนเสียชีวิตแล้ว” นางพูดพลางยิ้มขึ้นมา “ไม่กี่วัน เด็กคนนั้นก็จากไปเพราะร่างกายอ่อนแอจนเกินไป”
สวีซื่ออวี้สีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึก
ฉินอี๋เหนียงมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาที่เวลาเจอกับไท่ฮูหยินและท่านพ่อก็มักจะกลัวจนเนื้อตัวสั่นไปหมด แต่ตอนถงอี๋เหนียงเสียชีวิตนางกลับไม่เพียงแต่ไม่ยื่นมือช่วยเท่านั้น ยังโยนหินลงไปซ้ำเติมอีก แล้วเหตุใดแม่ใหญ่ที่ทั้งหยิ่งยโสและมีอำนาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่โหดเหี้ยมบ้างไม่ได้เล่า
ตอนนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถทำให้เขารู้สึกแปลกใจได้อีกแล้ว
สวีซื่ออวี้ได้ยินเสียงของตัวเองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบและเย็นยะเยือกว่า “เพื่อที่จะให้เด็กรำลึกถึงแต่บุญคุณของผู้เลี้ยงดู ไม่ให้รำลึกถึงพระคุณของมารดาผู้บังเกิดเกล้า ดังนั้นป้าเถาจึงให้ชิวหลัวดื่มน้ำแกงไก่ที่ใส่ต้าหวงลงไปด้วย สุดท้ายมารดาของเด็กก็เสียชีวิตลง และเด็กก็เสียชีวิตตามเพราะร่างกายอ่อนแอจนเกินไป!”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “คุณชายน้อยสอง เจ้าว่านี่คือชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่” นางใช้มือสัมผัสไหล่ของสวีซื่ออวี้เบาๆ “ข้าเกิดจากครอบครัวที่ต้อยต่ำ หน้าตาธรรมดาทั่วไป เพียงเพราะมีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ จึงถูกไท่ฮูหยินย้ายไปที่เรือนของท่านโหว แล้วก็เรียกไปเป็นสาวใช้ห้องข้างของท่านโหวโดยบังเอิญ ตามหลักแล้ว หลังจากที่ท่านโหวสู่ขอและแต่งภรรยาเอก มีทายาทที่เป็นบุตรเอกแล้ว ถึงตอนนั้นข้าก็จะอายุมากและไม่มีบุตร ส่วนมากก็ต้องออกจากจวนไปแต่งงานกับคนอื่น แต่ไม่นึกว่าฮูหยินจะแท้งบุตรตอนที่คุณชายสองเสียชีวิตโดยที่ยังไม่มีทายาท ต่อมาท่านโหวคนก่อนก็ป่วยหนัก ข้าจึงถูกหยุดยาไป…” ฉินอี๋เหนียงหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ข้ามเหตุการณ์ช่วงตรงกลางไป แล้วก็พูดต่อไปว่า “ตอนที่ข้ากลัวว่าเด็กที่ข้าคลอดออกมานั้นไม่ใช่บุตรชายคนโต ต่อมาถงอี๋เหนียงก็เกิดเรื่องขึ้น ตอนที่ข้ากลัวว่าฮูหยินจะยกบุตรชายของชิวหลัวขึ้นมาข่มเจ้า ต่อมาเด็กคนนั้นก็เสียชีวิตไป ข้ากลัวว่านักพรตฉังชุนจะขอเด็กให้ฮูหยิน แต่หลังจากที่จุนเกอคลอดออกมาแล้วก็เป็นโรคขาดสารอาหาร จะเลี้ยงจนโตได้หรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง หลังจากที่มีจุนเกอแล้ว ร่างกายของฮูหยินก็ย่ำแย่ วันนั้นข้าเพียงแค่ฝังสิ่งของที่แม่เฒ่าจูให้มาใกล้ๆ กับเรือนที่จุนเกอพักอาศัยตามคำที่แม่เฒ่าจูบอก แต่ก็กลัวว่าผู้อื่นจะเห็นเข้า ก็เลยเอาหน้ากากที่เจ้าเคยเล่นตอนเด็กๆ ติดมือไปด้วย หากผู้อื่นมาเจอ ข้าก็จะได้นำหน้ากากมาใส่เพื่อหลอกให้คนที่เห็นตกใจกลัว ใครจะไปนึกว่าเพิ่งจะฝังเสร็จก็เจอเข้ากับจุนเกอที่กำลังพาสาวใช้แอบออกมาเดินเล่นข้างนอก…เจ้าว่านี่ก็คือชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่”
“ท่านพูดอะไร!” สีหน้าของสวีซื่ออวี้เปลี่ยนไปในทันที ความคิดมากมายผุดออกมาจากหัวของเขาไม่หยุด เขาพลิกมือคว้าไหล่ของฉินอี๋เหนียงเอาไว้ “แม่เฒ่าจูคือใคร ของที่ท่านฝังไว้คืออะไร แล้วเรื่องอาการป่วยของสวีซื่อจุนเกี่ยวข้องกับท่านอย่างไร”
เขาพูดออกมาทีละคำ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกดดัน ฉินอี๋เหนียงตกใจจนนิ่งไป พยายามสะบัดไหล่ที่สวีซื่ออวี้จับไว้ให้หลุด
เหลียนเจียวที่หลบอยู่หลังม่านเห็นเหตุการณ์แล้วก็จะพุ่งออกไปทันที แต่กลับถูกเสี่ยวลู่จื่อจับไว้ก่อน
“อย่า…อย่าเด็ดขาด!” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ศีรษะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ราวกับว่ากำลังป่วยหนักอย่างไรอย่างนั้น
เหลียนเจียวกำลังจะเอ่ยถามเขาว่าควรทำอย่างไรดี แต่กลับถูกเสี่ยวลู่จื่อใช้มือปิดปากนางไว้พร้อมกับกระซิบข้างหูนางว่า “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น…เราควรจะหาวิธีออกจากที่นี่ถึงจะถูก”
ในตอนแรกสวีซื่ออวี้ตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกไม่ถึงว่าฉินอี๋เหนียงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของเขาขนาดนี้ และก็กลัวว่าใครจะมาได้ยินคำพูดที่ไม่ควรได้ยินเข้า บรรยากาศในห้องก็เงียบสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ พลันนึกขึ้นได้ว่าบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็ถอยออกไปจนหมดแล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เอ่ยปลอบโยนฉินอี๋เหนียงไปครึ่งค่อนวัน จนสามารถกล่อมฉินอี๋เหนียงให้สงบลงได้ในที่สุด
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินอี๋เหนียงพูดออกมาเมื่อครู่นี้ ยังชัดเจนในความรู้สึกของเขา พลอยทำให้เขากระวนกระวายใจ จนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
คำว่า ‘เกิดเรื่องขึ้น’ ที่ท่านพ่อพูดถึง หมายถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากที่บางของเขาก็เม้มแน่นเป็นเส้นตรง
บุรุษควรทำในสิ่งที่พึงกระทำและละวางในสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
แทนที่จะหลบเลี่ยง สู้ทำความเข้าใจเสียยังดีกว่า
อย่างน้อยๆ ตอนที่ไปคุยกับท่านพ่อก็ยังสามารถเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวีซื่ออวี้จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “แม่เฒ่าจูให้อะไรกับท่านหรือ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินดังนั้นก็เลยพูดขึ้นว่า “ไม่…ไม่ได้ให้อะไรทั้งนั้น!”
มันคืออะไรกัน เหตุใดถึงทำให้อี๋เหนียงหวาดระแวงและระมัดระวังได้ถึงเพียงนี้
สวีซื่ออวี้ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แต่รู้ว่าหากดันทุรังต่อก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เช่นนี้ก็แสดงว่าท่านเป็นคนทำให้สวีซื่อจุนหวาดกลัวหรือ”
“เจ้าอย่าเสียงดังไป!” ฉินอี๋เหนียงกวาดตาไปมา พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เรื่องนี้…เจ้าอย่าได้บอกคนอื่นเชียว!”
สวีซื่ออวี้พยักหน้าเบาๆ “ข้าจะไม่บอกคนอื่น”
ฉินอี๋เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปกวักมือเรียกสวีซื่ออวี้ “เจ้ามานี่ ข้าจะบอกเจ้า!”
สวีซื่ออวี้จึงขยับตัวเข้าไปใกล้
อี๋เหนียงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “หากข้าทำให้จุนเกอตกใจกลัวจนตายไป ท่านโหวก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ครรภ์ของฮูหยินยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก ตำแหน่งของครรภ์ยังไม่เข้าที่เข้าทางดี ก็จะพลอยแท้งบุตรไปด้วย” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ใบหน้าของนางก็ปรากฏสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมา “คุณชายน้อยสอง ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงบุตรชายคนเดียวของท่านโหว ซื่อจื่อผู้สืบทอดของจวนหย่งผิงโหว เป็นหย่งผิงโหวในวันข้างหน้า!”
สวีซื่ออวี้ปากอ้าตาค้าง จ้องมองฉินอี๋เหนียงด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง