เวลานี้การไปตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องยาก
องค์รัชทายาทไม่ได้ห้ามผู้อื่นไม่ให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีกต่อไป บรรดาพระสนมและท่านอ๋องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เวลานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เวลาที่องค์รัชทายาทเฝ้าอยู่ในตำหนักบรรทมนับวันยิ่งน้อยลง
ฉู่ซิวหยงมาประจำการในคืนนี้
แน่นอนว่ามันคือการเตรียมการของเขา รวมทั้งการให้เฉินตันจูไปพบองค์หญิงจินเหยาด้วย
เฉินตันจูให้ขันทีที่ติดตามมาส่งข่าวให้ฉู่ซิวหยงว่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
“คุณหนูตันจูกับองค์หญิงบอกว่าจะมาเยี่ยมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชวีพูดเสียงเบา “องค์ชาย…”
คุณหนูตันจูบอกว่าอยากพบองค์หญิง องค์ชายทรงจัดการให้แล้ว เวลานี้คุณหนูตันจูต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีก ได้คืบจะเอาศอกเกินไปแล้ว อีกทั้งยังเสี่ยงอย่างมาก
แม้ว่าภายในวังหลวงจะมีกำลังคนของพวกเขาจำนวนมาก แต่ทางตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ยังมีปัญหาอยู่บ้าง คุณหนูตันจูเดินทางมาอย่างไร้เหตุผล หากต้องการปิดบังคนขององค์รัชทายาทยังต้องสิ้นเปลืองแรง สิ่งสำคัญคือไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังคนข้างกายฮ่องเต้ได้…ขันทีจิ้นจงนิ่งดุจพระสงฆ์นั่งสมาธิ เขาเฝ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
อย่างไรแล้วคุณหนูตันจูก็ยังแบกรับความผิดลอบทำร้ายฮ่องเต้ จึงถูกองค์รัชทายาทขังไว้ในวังหลวง
ได้รับการปฏิบัติอย่างดีในคุกก็แล้วไป เวลานี้ยังเดินมาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้อย่างเปิดเผย ขันทีจิ้นจงจะคิดอย่างไร ฮ่องเต้จะทรงคิดอย่างไร…
ฉู่ซิวหยงไม่ได้คิด เพียงแค่พูด “ให้พวกนางเข้ามาเถิด” พูดพลางลุกขึ้นจุดเทียนให้สว่าง
เสี่ยวชวีทำได้เพียงตอบรับแล้วถอยออกไป ฉู่ซิวหยงเดินเข้าไปในห้องด้านใน
ขันทีจิ้นจงงีบอยู่บนเตียงเล็ก เมื่อได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น สายตาขุ่นมัวราวกับยังงัวเงียอยู่ “ท่านอ๋องฉีหรือ” ก่อนจะพูด “พระองค์ทรงพักผ่อนเถิด ฝ่าบาททรงไม่เป็นอันใด”
ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “กงกง คุณหนูตันจูกับจินเหยามาเยี่ยมฝ่าบาท”
ขันทีจิ้นจงเหลือบมองเขา “เฮ้อ อยากดูก็ดูเถิด” พูดพลางหลุบสายตาลงราวกับหลับใหลไปอีกครั้ง
ฉู่ซิวหยงไม่พูดอีก ก่อนจะจุดไฟทางนี้ให้สว่างขึ้น เมื่อเสร็จสิ้น ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เขาหันหน้าไปเห็นหญิงสาวสองคนสวมผ้าคลุมเดินเข้ามา
“เสด็จพี่สาม” องค์หญิงจินเหยาเรียกขานเสียงเบา
ฉู่ซิวหยงยิ้มพลันพยักหน้าให้นาง
องค์หญิงจินเหยาเดินเข้าใกล้ มองฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงก่อน ฮ่องเต้ยังคงหลับใหลเหมือนเคย เฉินตันจูก็อยากเดินขึ้นหน้า
“ค่ำอีกนิด องค์รัชทายาทจะเสด็จมา” ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา
หมายความว่าพวกนางจะอยู่ตรงนี้ได้ไม่นาน ฝีเท้าของเฉินตันจูชะงัก องค์หญิงจินเหยารีบมองไปทางขันทีจิ้นจง “ข้าจะประลองชนมุมกับคุณหนูตันจูให้เสด็จพ่อดู”
องค์หญิงยังทรงจำเรื่องนี้ได้หรือ สีหน้าของขันทีจิ้นจงเศร้าโศกเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้องค์หญิงต้องชนะนะพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นฝ่าบาทจะทรงโกรธ”
…
บรรดาขันทีในห้องที่เดิมทีมีไม่มากต่างถอยออกไป ฉู่ซิวหยงและขันทีจิ้นจงหลีกไปอยู่ด้านข้าง มองหญิงสาวทั้งสองถอดผ้าคลุม ภายในสวมชุดคล่องตัวที่มัดแขนเอาไว้ พวกนางต่างลองเชิงอีกฝ่ายก่อน ครู่ถัดมาองค์หญิงจินเหยาก็ถูกเฉินตันจูอุ้มและโยนลงบนพื้น
ขันทีจิ้นจงหัวเราะ “คุณหนูตันจูลงมือโหดเหี้ยมเสียจริง”
แต่องค์หญิงจินเหยาเวลานี้ก็ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ขาของนางประคองร่างกายไว้ ก่อนจะจับหัวไหล่ของเฉินตันจูเอาไว้แทน
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ขันทีจิ้นจงจึงตะโกนขึ้น “เสมอ”
หญิงสาวทั้งสองแยกออกจากกัน ยิ้มพลันขยับแขนขา ก่อนจะปะทะเข้าด้วยกันอีก คราวนี้จินเหยาเริ่มลงมือก่อน แต่เฉินตันจูไม่เพียงหลบพ้น อีกทั้งยังทับนางไว้บนพื้นด้วย
คราวนี้ไม่ว่าองค์หญิงจินเหยาจะดิ้นรนจนดวงตาแดงก่ำอย่างไร เฉินตันจูก็ไม่ยอมปล่อยมือ จนกระทั่งเสียงของขันทีจิ้นจงดังขึ้น “คุณหนูตันจูชนะ” ก่อนจะเดินเข้ามาพยุง “คุณหนูตันจู ท่านอย่าลงมือแรง มือขององค์หญิงถูกทับจนหักแล้ว”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “การประลองย่อมไม่สนใจเรื่องนี้ เพียงแค่ชนะก็พอ” พูดพลางมององค์หญิงจินเหยา “องค์หญิง ท่านคงไม่ได้จะร้องไห้เพราะแพ้ใช่หรือไม่”
ดวงตาขององค์หญิงจินเหยาแดงก่ำ แต่ยังคงสูดลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ร้องไห้…เอาใหม่!”
หญิงสาวพุ่งชนเข้ามา แต่นาทีถัดมาก็ถูกเฉินตันจูทุ่มลงพื้นอย่างแรงอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของนางเสียดสีไปกับพื้น หากบนพื้นไม่ได้ปูด้วยพรม เกรงว่าคงจะถลอกเสียแล้ว
“คุณหนูตันจู…ท่านชนะแล้ว” ขันทีจิ้นจงตะโกน “รีบปล่อยองค์หญิงออก”
เฉินตันจูปล่อยองค์หญิงจินเหยาออก องค์หญิงจินเหยากระโดดขึ้นมาจากพื้น กระโจนใส่เฉินตันจู คราวนี้นางไม่สนใจกฎเกณฑ์ ปะทะอย่างประชิดตัวกับเฉินตันจู…
ขันทีจิ้นจงทั้งระอาทั้งร้อนใจ “อย่าตีกันสิ”
แต่ไม่ว่าจะเป็นการชนมุมที่มีกฎเกณฑ์หรือการตีกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ องค์หญิงจินเหยาล้วนถูกเฉินตันจูทับอยู่บนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“องค์หญิงทรงแพ้แล้ว ยังไม่ยอมรับอีก” เฉินตันจูยังตะโกนด้วยความท้าทาย
เมื่อถูกทุ่มลงบนพื้นอีกครั้งจนขยับตัวไม่ได้นั้น ในที่สุดองค์หญิงจินเหยาก็หลั่งน้ำตาออกมา
“คุณหนูตันจู!” ขันทีจิ้นจงตะโกนด้วยความไม่พอใจ ไร้กาลเทศะอย่างไรก็ต้องดูเวลา ฮ่องเต้ประชวรหนัก องหญิงก็ต้องอภิเษกออกไปไกล
เฉินตันจูปล่อยองค์หญิงจินเหยา คราวนี้องค์หญิงจินเหยาไม่ได้กระโจนเข้ามาอีก หากแต่ฟุบตัวร้องไห้อยู่บนพื้น
“แพ้จึงอยากร้องไห้” เฉินตันจูพูดอย่างช้าๆ “ถูกรังแกก็ร้องไห้ได้เหมือนกัน”
ได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ แต่ยังต้องทำเป็นเหมือนมีความสุข ที่บอกว่าทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อเสด็จพ่อ รวมถึงความปรารถนามุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่เหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งที่หญิงสาวพูดให้ตัวเองฟัง สร้างความกล้าหาญให้ตัวเอง จะไม่เสียใจ ไม่หวาดกลัว ไม่อยากร้องไห้ได้อย่างไร…แต่นางไม่มีเหตุผลและโอกาสที่จะร้องไห้ต่างหาก
องค์หญิงจินเหยายิ่งร้องไห้หนัก นางคลานไปนั่งคุกเข่าข้างเตียง ฟุบหน้าลงบนมือของฮ่องเต้
เริ่มแรกขันทีจิ้นจงคิดจะเกลี้ยกล่อม แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด เขาก็ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ซ่อนตัวเองไว้ในเงาของแสงไฟ เกรงว่าจะรบกวนน้ำตาของหญิงสาว
ฉู่ซิวหยงนิ่งเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ
เฉินตันจูกอดแขนนั่งอยู่บนพื้น มององค์หญิงจินเหยาที่คุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียง ตั้งแต่ปล่อยโฮจนกลายเป็นเสียงสะอื้นจนกระทั่งไร้เสียง
“องค์หญิง” เฉินตันจูก็คลานเข่าเข้าใกล้เตียงของฮ่องเต้ นางจับมือขององค์หญิง “องค์หญิงทรงแพ้หม่อมฉันแล้ว ทรงจำเอาไว้ ท่านต้องทรงมาประลองกับหม่อมฉันอีกครั้ง ต้องทรงชนะหม่อมฉันสักครั้ง”
องค์หญิงจินเหยาเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ข้ารู้ เจ้าวางใจ ประลองครั้งหน้าข้าจะชนะเจ้าให้ได้” พูดพลางออกแรงจับมือของฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงรอก่อน รอหม่อมฉันชนะนางในครั้งหน้า”
เฉินตันจูจับมือของจินเหยา จากนั้นเลื่อนลงไปยังข้อมือของฮ่องเต้…
หญิงสาวทั้งสองคุกเข่าอยู่ข้างเตียง บดบังแสงไฟรวมทั้งสายตาของผู้อื่น
องค์หญิงจินเหยาเห็นการกระทำของนาง ดวงตาฉายแววตกตะลึงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน…ตันจูยังอยากลองดูอาการให้ฮ่องเต้หรือ
นางต้องการพูดบางสิ่ง แต่เสียงของเสี่ยวชวีดังขึ้นจากด้านนอก “องค์รัชทายาทกำลังเสด็จมาทางนี้”
องค์หญิงจินเหยารีบจับมือของเฉินตันจูเอาไว้ “เอาเถิด ตันจู เจ้ารีบไปเถิด” นางเองก็ลุกขึ้นยืน “ข้าก็จะกลับไปแล้ว” พลันชี้ไปที่ใบหน้าของตนเอง น้ำตาไม่ไหลแล้ว แต่ใบหน้านั้นเหมือนกับกำลังแช่อยู่ท่ามกลางน้ำตา “ข้าไม่อยากให้เขาเห็นสภาพข้าเช่นนี้”
เฉินตันจูพยักหน้าตอบรับ
“ข้าให้คนส่งนางกลับไป” ฉู่ซิวหยงพูด
องค์หญิงจินเหยาสวมผ้าคลุมเอาไว้ นางมองไปทางเฉินตันจู ก่อนจะมองไปยังฉู่ซิวหยง แต่ก่อนนางรู้สึกว่าฉู่ซิวหยงกับเฉินตันจูจะอยู่ด้วยกัน แต่ดูจากเวลานี้ ระหว่างคนทั้งสองไร้ซึ่งอารมณ์อื่น เหมือนน้ำที่แข็งตัว แต่ก็เหมือนมีกำแพงกั้นเอาไว้ตรงกลาง…
“ฝากเสด็จพี่สามด้วย” นางโบกมือให้เฉินตันจู ก่อนจะโบกมือให้ฮ่องเต้บนเตียง “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไปแล้วนะเพคะ”
พูดจบนางก็สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าของตนเองเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่อยากให้สายตาของตนเองหลงเหลือความอาวรณ์แม้แต่น้อย
ฉู่ซิวหยงมองเฉินตันจู เฉินตันจูก็มองเขา ดวงตาคู่นั้นดุจบ่อน้ำลึก…
“เสี่ยวชวี” ฉู่ซิวหยงหลุบตาต่ำลง “ส่งคุณหนูตันจูกลับไปเถิด”
เสี่ยวชวีตอบรับ เฉินตันจูมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะสวมผ้าคลุมและจากไป
ภายในห้องเงียบสงบ ขันทีจิ้นจงให้คนมาจัดวางภายในห้องใหม่
ฉู่ซิวหยงยืนอยู่ข้างเตียง ยกมือพยุงม่านเตียงทางนี้ขึ้น แสงไฟสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นใบหน้าของฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยน้ำตา
เขามองอย่างเงียบสงบ พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้ฮ่องเต้
…
เสี่ยวชวีส่งเฉินตันจูเสร็จ ยังไม่ทันเดินถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ เขาก็เห็นฉู่ซิวหยงเดินมา
“องค์รัชทายาทไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชวีถามอย่างตะลึง
ฉู่ซิวหยงพยักหน้า “มาดูเสร็จก็ไปแล้ว บอกว่ายุ่ง”
เสี่ยวชวียิ้มเย็น “แม้แต่ความกตัญญูก็ไม่อยากเสแสร้งแล้ว”
ในขณะที่พึมพำ เขาก็พบว่าทิศทางที่ฉู่ซิวหยงเดินไปไม่ใช่กลับที่ประทับ
“องค์ชาย” เขาถาม “เสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่ซิวหยงพูด “ไปพบคุณหนูตันจู”
เอ๊ะ? เพิ่งเจอไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไปอีก เสี่ยวชวีระอาเล็กน้อย เขารู้ว่าองค์ชายไม่อาจปล่อยคุณหนูตันจูได้เสียที แต่เวลานี้เป็นเวลาสำคัญ เขาไม่อาจปล่อยคุณหนูตันจูไปก่อนหรือ
ฉู่ซิวหยงมาถึงห้องขัง ภายในห้องขังมืดสนิท
“คุณหนูตันจูหลับแล้วหรือ” เขาถาม
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางความมืด “ยัง”
เสี่ยวชวีรีบยื่นตะเกียงให้ฉู่ซิวหยง ฉู่ซิวหยงถือตะเกียงเดินเข้ามา เห็นเฉินตันจูที่หดตัวอยู่ที่มุมห้องขัง
เฉินตันจูยังคงสวมผ้าคลุม นางนั่งยองอยู่บนพื้น แสงสาดส่องเข้ามาทำให้นางเงยหน้า
“องค์ชายมาได้อย่างไรเพคะ” เสียงของนางแหบพร่า
ฉู่ซิวหยงพูด “ข้าคิดว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะถามข้า ก่อนหน้านี้ทางนั้นไม่สะดวก เจ้าจึงไม่ถาม”
เฉินตันจูอยากหัวเราะเล็กน้อย “องค์ชายทรงจริงใจจนหม่อมฉันไม่รู้ควรพูดอย่างไร”
เขาเคยบอกว่าจะไม่ปิดบังนาง ฉู่ซิวหยงจ้องมองนาง “เจ้าอยากพูดสิ่งใดก็พูด”
ดี เฉินตันจูลุกขึ้นยืน ก้าวเท้ามายังหน้าห้องขัง นางมองฉู่ซิวหยง “หม่อมฉันจะรักษาให้ฝ่าบาท”
ฉู่ซิวหยงส่ายหน้า
“ไม่ต้อง ฝ่าบาทไม่ได้ประชวร” เขาพูด “เพียงแค่เวลานี้มองไม่เห็น พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้เท่านั้น”