ตอนที่ 457 โจวฉายอวิ๋นกลับมาแล้ว
หลังจากกินข้าวที่วิลล่าเสร็จสรรพ หลินม่ายก็กลับมาที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ
เธอเปิดประตู ตอนที่หยิบรองเท้าแตะออกมาจากตู้เก็บรองเท้า เสียงอันคุ้นเคยก็ดังมาจากในครัว “ม่ายจื่อ เธอกลับมาแล้ว!”
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “พี่ฉายอวิ๋น กลับมาแล้วเหรอ?” ขณะที่พูดก็วิ่งเข้าไปในครัวอย่างไม่รอช้า
โจวฉายอวิ๋นเพิ่งทำบะหมี่ให้ตัวเองเสร็จหมาด ๆ จากนั้นก็หันมองไปทางหลินม่าย “เสี่ยวหม่านบอกว่าเดี๋ยวนี้เธอไม่กลับมากินข้าวมื้อกลางวันที่บ้านแล้ว ฉันก็เลยทำบะหมี่แค่ในส่วนของตัวเอง”
หลินม่ายตอบกลับ “ฉันกินมาแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงเลย”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น เธอก็ได้กลิ่นผักดองตลบอบอวลอยู่ในจมูก จึงถามว่า “พี่เอาผักดองฝีมือตัวเองมาด้วยใช่ไหม อยู่ไหนล่ะ? ฉันขอชิมหน่อยสิ”
“อยู่บนโต๊ะอาหารน่ะ ไม่ได้มีแค่ผักดองนะ ยังมีซอสพริกด้วย”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็คว้าตะเกียบติดมือไปด้วยคู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปที่ห้องรับประทานอาหาร เห็นว่าบนโต๊ะมีพริกสดดองกับถั่วฝักยาวดองรสเปรี้ยววางอยู่ รวมถึงซอสพริกอีกหนึ่งชาม
ซอสพริกเป็นสีแดงเข้ม แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเผ็ดถึงใจ
หลินม่ายนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร คีบตะเกียบไปข้างหน้า แล้วตักซอสพริกในชามเข้าปากคำเล็ก ๆ
โจวฉายอวิ๋นตามออกมาพร้อมกับบะหมี่ชามใหญ่ในมือ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
ถามอย่างรอคอยคำตอบ “เทียบกับซอสพริกฝีมือคุณยายเถียนแล้ว ซอสพริกฝีมือฉันยังมีรสชาติห่างไกลจากต้นฉบับอยู่หรือเปล่า?”
หลังจากหลินม่ายชิมซอสพริกเข้าไปแล้ว ก็รีบรินน้ำต้มสุกใส่แก้ว แล้วยกดื่มเพื่อแก้เผ็ด
พอดื่มน้ำแล้ว เธอก็แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซอสพริกฝีมือโจวฉายอวิ๋น “สดใหม่ เผ็ดกำลังดี รสชาติไม่เลวเลยล่ะ ความเค็มก็อยู่ในระดับปานกลาง โดยรวมแล้วอร่อยมาก”
โจวฉายอวิ๋นยิ้มหน้าบานทันทีเมื่อได้รับคำชม
หล่อนกลัวว่าการที่ตัวเองปลีกตัวไปเรียนรู้กรรมวิธีกับคุณยายเถียนตั้งนานแล้ว ถ้าฝีมือไม่พัฒนาขึ้นเลย หลินม่ายคงเสียดายเวลาแย่
หล่อนเอื้อมหยิบซอสพริกชามนั้นขึ้นมา แล้วใช้ตะเกียบตักซอสผสมลงในชามบะหมี่ พร้อมกับคะยั้นคะยอหลินม่าย “เธอลองชิมพริกสดดองกับถั่วฝักยาวดองของฉันดูด้วยสิ”
หลินม่ายจึงเลื่อนตะเกียบไปคีบพริกสดดองมาชิม
รสเผ็ดเปรี้ยวกลมกล่อม อร่อยมากเลยล่ะ
จากนั้นก็เลื่อนตะเกียบไปคีบถั่วฝักยาวดองมาชิมบ้าง พบว่ารสชาติเผ็ดเปรี้ยวกำลังดี อร่อยไม่แพ้กัน
หลินม่ายพยักหน้า “อร่อยทุกอย่างเลย”
ทันใดนั้นโจวฉายอวิ๋นก็ยิ้มแฉ่งเหมือนดอกไม้ผลิบาน คีบบะหมี่เข้าปากคำใหญ่ ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้นเธอก็รีบรับสมัครคนงานได้เลย เราจะได้ทำซอสพริกกับผักดองขายกันซะที”
หลินม่ายส่ายหน้า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันต้องลองชิมกะปิฝีมือพี่ก่อน”
กะปิคือกุญแจสำคัญของงานนี้ นอกจากจะขายผักดองแล้ว หลินม่ายยังตั้งใจว่าจะทำเครื่องปรุงสักอย่างที่สามารถผสมรวมกับไส้เกี๊ยวและไส้ซาลาเปาได้
ถ้าขาดกะปิไปอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผักดองหรือไส้ติ่มซำ ก็อาจถูกลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ เธอต้องการสร้างเอกลักษณ์ในตัวสินค้าให้ต่างจากที่อื่น จะได้ไม่ซ้ำใครอีกต่อไป
กะปิจึงถือเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด
โจวฉายอวิ๋นวางตะเกียบลงทันที แล้วตักกะปิออกมาจากขวดโหลเล็ก ๆ ที่หล่อนพกกลับมาจากชนบทด้วย แล้ววางไว้ตรงหน้าหลินม่าย
หลินม่ายลิ้มรสชาติอย่างพิถีพิถัน ได้ข้อสรุปว่ามันมีรสชาติดีกว่าของคุณยายเถียนเสียอีก อย่างน้อยก็ไม่เค็มเท่า
เธอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อร่อยมาก! พี่เป็นสีครามแต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงินซะอีก”
โจวฉายอวิ๋นถามกลับ “สีครามเด่นกว่าสีน้ำเงิน(1)? ประโยคนี้หมายความว่ายังไงกัน?”
หลินม่ายจึงอธิบายความหมายให้ฟัง
โจวฉายอวิ๋นมีความสุขยิ่งกว่าเดิม “คุณยายเถียนก็ชมเหมือนกันว่ากะปิของฉันอร่อยกว่ากะปิฝีมือท่าน ฉันยังคิดอยู่เลยว่าท่านพูดเกินจริงหรือเปล่า ที่แท้คุณยายก็พูดความจริงนี่เอง”
หลินม่ายกระตุ้นหล่อนทันที “พี่ต้องมั่นใจในตัวเองเข้าไว้สิ”
ข้อเสียเปรียบที่ใหญ่ที่สุดของโจวฉายอวิ๋น คือหล่อนมักจะคิดเสมอว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
โจวฉายอวิ๋นยิ้มตอบด้วยท่าทางเขินอาย ก้มหน้าลงกินบะหมี่ต่อไป
ก่อนจะแต่งงาน เมื่อใดก็ตามที่หล่อนอยากทำอะไรสักอย่าง พ่อแม่มักจะปรามาสเสมอว่าผู้หญิงอย่างหล่อนจะไปทำอะไรได้?
หลังจากแต่งงาน สามีและครอบครัวฝั่งสามีต่างก็เอือมระอากับหล่อนกันทั้งนั้น บ้างก็ว่าหล่อนทำกับข้าวไม่อร่อย ซักเสื้อผ้าไม่สะอาด ทั้งหมดนี้ทำให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
ด้วยปมด้อยที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนาน หล่อนจะมีความมั่นใจในตัวเองได้อย่างไร
หลินม่าย “นอกเหนือจากซอสพริกสูตรดั้งเดิมแล้ว ฉันยังอยากให้พี่ลองทำซอสพริกแบบอื่น ๆ ดู อย่างเช่นซอสพริกเต้าซี่(2) ซอสพริกคั่วเซียงล่า ซอสพริกเห็ดหอม”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หยุดชะงักไป
สมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าซอสพริกชนิดไหนบ้างที่เป็นที่นิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย
ซอสรสชาติอร่อยที่ว่าก็อย่างเช่น ซอสพริกมันไก่ ซอสเผ็ดเนื้อวัว หมูผัดน้ำมันพริกเผา… หลินม่ายอยากให้โจวฉายอวิ๋นลองทำดูทุกแบบด้วยซ้ำ
แต่พอคิดทบทวนดูแล้ว ต่อให้เธอประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากแค่ไหน ยุคสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะหาซื้อมันไก่จำนวนมากขนาดนั้นได้ โดยเฉพาะเนื้อวัวที่หาซื้อได้ยากเย็น
ถึงหมูจะเป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ง่ายที่สุด แต่เธอยังคิดวิธีการถนอมอาหารไม่ออก เมื่อทำหมูผัดน้ำมันพริกเผาแล้วต้องขายให้หมดภายในวันเดียว ไม่สามารถข้ามคืนแล้วขายในวันถัดไปได้
ถึงแม้ยุคนี้จะยังไม่มีกฎเกณฑ์การผลิตอาหารที่เข้มงวด และยังไม่มีกรมคุ้มครองผู้บริโภคคอยตรวจสอบคุณภาพและระยะเวลาการผลิตก็ตาม
แต่หลินม่ายก็เคยเป็นคนยุคใหม่ ต่อให้รัฐยังไม่จัดตั้งหน่วยงานพวกนี้ขึ้นมาเฝ้าระวังความปลอดภัยของอาหาร เธอก็มีจิตสำนึกมากพอที่จะคำนึงถึงมัน
สุภาพชนควรได้รับโชคลาภมาในทางที่ถูกที่ควร
เธอต้องการหารายได้ก็จริง แต่เงินที่ได้รับควรมาจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสุขภาพของลูกค้า
หลินม่ายพูดต่อ “ลองทำแค่นี้ดูแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะรับสมัครคนงานสักห้าคนมาเรียนรู้การทำผักดอง คงต้องตั้งโรงงานชั่วคราวไว้ในห้องใต้ดินไปก่อน อีกหน่อยถ้ากิจการไปได้สวย ค่อยสร้างโรงงานเป็นกิจจะลักษณะ”
โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว “ฉันจะลองทำซอสพริกแบบอื่นตามที่เธอบอกดู”
หลินม่าย “ทำไม่ยาก แค่เพิ่มส่วนผสมบางอย่างลงไปผสมเคล้ากับซอสพริกแบบดั้งเดิมที่พี่ทำก็ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะทำออกมาได้ไม่ดี เดี๋ยวฉันจะคอยช่วยพี่อีกแรงหนึ่ง”
ถึงเธอไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการผักดองกับซอสพริกขนาดนั้น แต่เธอรู้กรรมวิธีในการทำอย่างชัดเจนเชียวล่ะ
เพราะชาติที่แล้วเธอศึกษามาเป็นอย่างดี คงพอช่วยแนะนำและช่วยชิมรสได้บ้าง
มีโจวฉายอวิ๋นอยู่ทั้งคน เธอมั่นใจว่าตัวเองสามารถทำซอสพริกออกมาได้ดีไม่แพ้ซอสพริกเหล่ามาม่าในชาติที่แล้วแน่ ๆ
หลังจากสองสาวหารือกันเรื่องงานจบแล้ว หลินม่ายก็ถามถึงครอบครัวของคุณยายเถียน อยากรู้ว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดแล้วหรือยัง
โจวฉายอวิ๋นสูดเส้นบะหมี่เข้าปาก ตอบกลับ “สิ้นสุดแล้ว ฉันไม่กล้ากลับมาหรอกถ้างานเก็บเกี่ยวยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี คุณยายเถียนแก่มากแล้ว กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยจะดี รอบนี้ถ้าฉันไม่ไปช่วยเขาคงลำบาก”
จากนั้นหล่อนก็พูดต่อ “แต่พอฉันกลับมาอยู่ในเมืองก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หลานก็ยังเด็กมาก แล้วจากนี้ใครจะดูแลคุณยายกัน”
โจวฉายอวิ๋นไปอาศัยอยู่กับคุณยายเถียนช่วงหนึ่งเพื่อเรียนรู้การทำซอสพริกและกลเม็ดสูตรเด็ดต่าง ๆ ระหว่างนั้นก็คอยช่วยหยิบจับงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ
ตอนที่โจวฉายอวิ๋นกลับมา คุณยายเถียนยังใช้ชีวิตสุขสบายดี แต่เกิดวันไหนฝนตกขึ้นมา แล้วคุณยายเถียนต้องเดินไปตักน้ำที่บ่อ โจวฉายอวิ๋นก็อดกลัวไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจลื่นล้มเข้า
หลินม่ายคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นก็บอกว่า “รอให้ฉันสร้างอาคารชุดเสร็จก่อน ฉันจะขายห้องชุดแบบสองห้องนอนกับห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอนให้ในราคาทุน จากนั้นก็พาสองยายหลานย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองซะ ห้องหนึ่งเอาไว้อยู่เอง ส่วนอีกห้องเอาไว้ปล่อยเช่า จากนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็จะไม่ขัดสนอีก เราเองก็จะได้ช่วยดูแลหลานของคุณยายเถียนอย่างใกล้ชิด”
โจวฉายอวิ๋นถึงกับยืดหลังตรงเมื่อได้ยินคำพูดของหลินม่าย เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ “เดี๋ยวนี้เธอมีโครงการจะขายห้องชุดด้วยเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า
ดวงตาของโจวฉายอวิ๋นเต็มไปด้วยความชื่นชม “เธอนี่เก่งจริง ๆ เลย ภายในเวลาไม่กี่เดือนก็วางแผนสร้างห้องชุดขายแล้ว!”
หลินม่ายตอบกลับอย่างถ่อมตัว “โอกาสวางอยู่ตรงหน้า พอคิดว่าตัวเองน่าจะมีความสามารถ ก็เลยลองดู”
โจวฉายอวิ๋นขมวดคิ้ว “ถึงเธอจะใจกว้างขายห้องชุดสองห้องให้คุณยายเถียนในราคาทุน แต่คุณยายคงไม่มีเงินพอซื้อหรอกมั้ง”
หลินม่ายตอบ “ต้องมีสิ ฉันเคยขอซื้อสูตรจากคุณยายเถียน และยังบอกด้วยว่าจะจ่ายค่าสูตรให้เป็นเงินสี่พันหยวน แต่ลองมาคิดอีกที คุณยายเถียนเองก็อายุมากแล้ว ถ้าต้องเก็บรักษาเงินจำนวนมากขนาดนั้นเอาไว้กับตัว กลัวจะเป็นการนำภัยมาสู่คนแก่เสียมากกว่า ดังนั้นฉันเลยเก็บเงินส่วนนั้นเอาไว้เอง นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายสำหรับสร้างบ้านใหม่ให้สองยายหลานแล้ว ยังเหลือเงินอีกตั้งหลายพัน ฉันจะใช้เงินหลายพันที่ว่านี่แหละซื้อห้องชุดแบบสองห้องนอนกับห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอนให้ในราคาทุน”
คิ้วของโจวฉายอวิ๋นยังไม่คลายออกจากกัน “ค่าเช่าห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน จะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตของสองยายหลานไหม?”
“ถ้าไม่เพียงพอฉันจะช่วยสมทบในส่วนที่ขาดเอง”
สำนวนไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกงไม่ใช่พ่อค้า คือหลักการที่หลินม่ายยึดถือมาโดยตลอด
ในห้างสรรพสินค้า เธอทำธุรกิจโดยไม่มีช่องโหว่ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย
สำหรับผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ เธอย่อมเต็มใจที่จะมอบความช่วยเหลือให้
หลังจากโจวฉายอวิ๋นกินบะหมี่จนหมดแล้ว ก็ถือชามเข้าไปในครัวเพื่อจัดการล้าง
หลินม่ายปลีกตัวเข้าห้องไปเพื่ออ่านหนังสือ ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น
หลินม่ายเดินไปที่โซฟาแล้วนั่งลง ยกหูขึ้นเพื่อรับสาย
สายนี้โทรมาจากเหรินเป่าจู แจ้งว่าหลังเสร็จการประชุมตอนเช้า หล่อนก็ไปที่ถนนฮั่นเจิ้งโดยทันทีเพื่อตามหาเถ้าแก่เกา แต่กลับคว้าน้ำเหลว
หล่อนตัดสินใจรอจนเถ้าแก่เกากลับมา เขากลับบอกหล่อนแค่ว่าตัวเองให้ความร่วมมือทางการค้ากับซีม่านไปแล้วเรียบร้อย
เหรินเป่าจูพูดมาตามสายด้วยอารมณ์เดือดพล่าน “เถ้าแก่เกานี่ก็ช่างไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย รู้ทั้งรู้ว่าซีม่านลอกเลียนแบบเรา แต่ก็ยังไปร่วมมือกับพวกเขาอีก!”
หลินม่ายตอบกลับ “แน่อยู่แล้วล่ะ ตราบใดที่มีช่องทางทำเงิน คุณธรรมก็ไม่สำคัญ! โกรธไปก็เสียเวลาเปล่า คุณคงยังไม่ได้กินข้าวกลางวันสินะ รีบกลับมาที่โรงงานเราเถอะ อย่าปล่อยให้ท้องหิว คุณกับฉันต้องทำงานหนักด้วยกันไปอีกนาน”
เหรินเป่าจู “ฉันจะไปซื้ออาหารเดี๋ยวนี้ค่ะ น่าจะกลับถึงโรงงานประมาณบ่ายสองโมง”
หลินม่ายส่งเสียงตอบรับ
หลังจากอ่านหนังสือเรียนไปได้ระยะหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าจวนจะบ่ายสองแล้ว
หลินม่ายรีบเขียนสูตรและขั้นตอนการปรุงซอสพริกเต้าซี่ ซอสพริกคั่วเซียงล่า และซอสพริกเห็ดหอม
จากนั้นก็ส่งต่อให้กับโจวฉายอวิ๋น เพื่อให้หล่อนลองทำซอสพริกพวกนี้ที่บ้านไปพลาง ๆ ก่อน เสร็จแล้วก็ตรงดิ่งไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique เพื่อพบกับเหรินเป่าจู จะได้หารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้กันต่อไป
…………………………………………………………………………………………………………..
สีครามเด่นกว่าสีน้ำเงิน หมายถึง ศิษย์ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครู กลับเก่งกาจกว่าครูซะอีก (สีครามก็เกิดมาจากสีน้ำเงิน)
ซอสพริกเต้าซี่ ซอสเผ็ดสไตล์กุ้ยโจว มีส่วนผสมของถั่วดำหมัก รสชาติเผ็ดเค็ม
สารจากผู้แปล
เย้ กำลังสำคัญของม่ายจื่อกลับมาแล้ว
จะตอบโต้ทางซีม่านยังไงดีนะ
ไหหม่า(海馬)