จดหมายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ขันทีผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบจัดการเรื่องภายในราชสำนักมักจะเจอในชีวิตประจำวัน บนซองจดหมายมีตัวอักษรเขียนเอาไว้เพียงคำว่า ’เฮ่อเหลียนเวยเวย’ เท่านั้น
ขันทีคนนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับจดหมายฉบับนี้ดี เพราะเขาอ่านหนังสือไม่ออก ดังนั้นเขาจึงส่งมันให้กับขันทีซุน
ขันทีซุนอาจเป็นเพียงคนเดียวในหมู่ข้ารับใช้ในวังหลวงที่สามารถอ่านออกเขียนได้
เดิมทีนั้นเขาคิดที่จะนำมันไปส่งให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยตรง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้มีโอกาสทำเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ฉวยจดหมายไปจากมือของเขา
“พระ พระชายา?” ขันทีซุนพูดไม่ออกไปชั่วอึดใจ จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณบอกให้ขันทีคนอื่นๆ ออกไปก่อน
นิ้วมืออันว่องไวของเฮ่อเหลียนเวยเวยกรีดผ่านซองจดหมายพร้อมกับริมฝีปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ชำเลืองมองเขา นางเปิดจดหมายฉบับนั้นขึ้นอ่านต่อหน้าขันทีซุน
ในจดหมายฉบับนั้นไม่มีอะไรเขียนไว้มากนัก เนื้อหาของมันมีเพียงบทสนทนาระหว่างอดีตฮ่องเต้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเมื่อวันก่อนเท่านั้น
เริ่มจากคำถามที่อดีตฮ่องเต้ถามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่าเขาจะทำอย่างไรหากนางถูกสิง ไปจนถึงกระทั่งตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบคำถามนั้นด้วยการบอกว่าหากมันเป็นเรื่องจริง เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางรอดตัวไป และจะจัดการกับนางอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อยเพียงใด ทุกบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็ถูกบันทึกเอาไว้ในจดหมายฉบับนั้นทั้งสิ้น
เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดจดหมายฉบับนี้ต่อหน้าขันทีซุน ดังนั้นเขาจึงอดที่จะกวาดสายตาอ่านมันไม่ได้ เมื่อเขาอ่านจบ เขาก็ตกอยู่ในอาการวิตกกังวลในทันที ด้วยเหตุนี้เขาจึงโพล่งออกมาว่า ”ไอ้คนชั้นต่ำคนไหนมันทนเห็นคนอื่นมีชีวิตสงบสุขไม่ได้จนทำเช่นนี้เพื่อหาเรื่องกันด้วย ใครก็ได้รีบนำจดหมายฉบับนี้ไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่ขันทีซุนพูด เขาก็ไม่ลืมที่จะตรวจสอบใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปพร้อมกัน
แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องประหลาดใจ
เขาเดาไม่ออกเลยว่าพระชายากำลังคิดอะไรอยู่
วันนั้นตอนที่องค์ชายพูดถึงเรื่องนี้ เขาเองก็อยู่ที่นั่นด้วย
เขาได้ยินประโยคสองประโยคนั้นโดยบังเอิญ และตอนนี้เขาก็ลืมสิ่งที่องค์ชายได้พูดเอาไว้ในวันนั้นไปจนหมดแล้ว
คงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนจดคำพูดพวกนั้นเอาไว้ และนำมันมาเปิดเผยต่อหน้าพระชายา ช่างเป็นความคิดที่ชั่วร้ายเสียจริง!
เขาเห็นมากับตาตัวเองว่าทั้งสองคนผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันยากยิ่งนักกว่าที่องค์ชายจะได้พบคนที่เขาชอบ และรักใคร่เอ็นดูอย่างสุดหัวใจเช่นนี้
เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากองค์ชายเสียพระชายาไป ทั่วทั้งวังหลวงจะต้องชดใช้ให้กับเขาด้วยหรือไม่
สิ่งที่เขากับอดีตฮ่องเต้ไม่อยากเห็นที่สุดก็คือการได้เห็นองค์ชายร่วงหล่นสู่หนทางแห่งความชั่วร้ายในสักวันหนึ่งเพราะนิสัยเลือดเย็นอันเป็นธรรมชาติของเขา เขากลัวเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะมีปัญหาตามมา ดังนั้นเขาจึงรีบแนะนำอย่างรวดเร็วว่า ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านไม่ควรเชื่อคำพูดไร้สาระของคนพวกนี้นะพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่าคนที่เขียนจดหมายเช่นนี้ให้ท่านย่อมมีความคิดอื่น พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านควรยกเรื่องสกปรกพรรค์นี้ให้กระหม่อมจัดการแทนพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียท่านก็ไม่ควรต้องมาเห็นมันอยู่แล้ว ในส่วนขององค์ชายนั้น ต่อให้เขาจะพูดเช่นนั้นออกมา แต่เขาย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย เขา…”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับว่านางเห็นความกังวลที่อยู่ในกิริยาท่าทางของขันทีซุน จากนั้นนางจึงแกล้งพูดว่า ”ขันทีซุน ท่านดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าตัวข้าเองเสียอีก”
ขันทีซุนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่นี้ท่านนิ่งเงียบไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว กระหม่อมกลัวแทบตายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถึงกับคิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าหัวใจของท่านเริ่มนึกสงสัยเคลือบแคลงในตัวองค์ชาย”
“ทำไมข้าจะต้องสงสัยด้วยหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองจดหมายฉบับนั้นอย่างพิจารณาพร้อมกับหยิบมันขึ้นมา นางยกมันขึ้นมาใกล้จมูกก่อนจะดมกลิ่นของมัน เสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็งตอนที่กล่าวว่า ”ดูจากวิธีที่ใช้ส่งจดหมายฉบับนี้มา คนที่ส่งมันมาคงไม่ได้ตั้งใจทำด้วยเจตนาดีเป็นแน่ หากมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ข้าจะไปถามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตามตรง อีกทั้งขันทีซุนเองก็บอกแล้วนี่ว่าเรื่องที่ข้าสิงร่างคนอื่นอยู่นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระ”
ขันทีซุนนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง เมื่อครู่นี้เขาพูดเช่นนั้นออกไปหรือ
เขาพูดเช่นนั้นออกไปจริงๆ ใช่ไหม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ตราบใดที่พระชายาไม่สงสัยในตัวองค์ชาย มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด!
“แต่เราจะเผาจดหมายฉบับนี้ไม่ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ขณะที่มืออีกข้างยังถือจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ นางยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน
ขันทีซุนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงถามว่า ”เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระชายาเพียงพูดออกมาอย่างนั้นว่านางไม่คิดอะไร แต่อันที่จริงแล้วนางยังคงเป็นกังวลกับมันอยู่
“ลองสัมผัสความหนาของกระดาษแผ่นนี้ดูสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ”ตอนสัมผัสมันครั้งแรก มันให้ความรู้สึกสบายมือมากทีเดียว ไม่หยาบกระด้าง อีกทั้งยังมีกลิ่นไม้จันทน์ติดอยู่ด้วย กระดาษชนิดนี้ใช่ว่าใครก็จะสามารถใช้ได้ ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากฮ่องเต้และอดีตฮ่องเต้แล้ว ก็มีแค่เพียงองค์ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงกระดาษชนิดนี้ได้ เราต้องเก็บกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ หากองค์ชายกลับมาเมื่อใด แล้วท่านค่อยเอามันให้เขาดู หากมันเป็นฝีมือขององค์ชายพระองค์อื่นจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ควรต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่างไรเสียบทสนทนาระหว่างอดีตฮ่องเต้กับองค์ชายก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะรับรู้ได้ง่ายๆ คนคนนี้จะต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นซ่อนตัวอยู่ภายในวังหลวงอย่างแน่นอน”
เมื่อขันทีซุนได้ฟังการวิเคราะห์ของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ตกใจจนพูดไม่ออก ตอนนี้เมื่อเขาลองมองดูจดหมายฉบับนี้อีกที สิ่งเดียวที่เขาสามารถสัมผัสได้ก็คือความโกรธที่ปะทุขึ้นมาเท่านั้น เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นคุณภาพของกระดาษแผ่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อเขาได้สัมผัสกับมันในเวลานี้ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสเช่นนี้ยิ่งนัก โดยปกติแล้ววังหลวงค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้กระดาษเซวียน และผู้ที่สามารถเข้าถึงการใช้กระดาษชนิดต่างๆ ได้ กรมขุนนางจะต้องมีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเอาไว้
อดีตฮ่องเต้ ฮ่องเต้ และบรรดาองค์ชายล้วนแต่เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ได้ใช้กระดาษคุณภาพดีที่สุดนั้น
ตามมาด้วยองค์หญิงและนางสนมคนอื่นๆ
เขาอยู่ข้างกายฝ่าบาทมานานจนมีความสามารถในการแยกแยะได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าโดยปกติแล้วจดหมายประเภทนี้ย่อมไม่ได้ถูกส่งมาโดยมีจุดประสงค์ดี
แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่จะมีท่าทางเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านเท่าพระชายามาก่อน
ขันทีซุนถามอย่างอดไม่ไหวว่า ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านเห็นข้อความพวกนี้แล้วไม่รู้สึกกังวลสักนิดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าข้าไม่สามารถบอกได้ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะสร้างความขัดแย้ง เช่นนั้นข้าก็คงไม่สมควรที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงกล่องขนมเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม นางพูดต่อ ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ”ส่วนเรื่องความคิดฟุ้งซ่านอะไรนั่น หากคนพวกนั้นบอกว่าองค์ชายเห็นข้าเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกเขาเลี้ยง ข้ายังจะรู้สึกเชื่อมากกว่านี้เสียอีก องค์ชายคงจำเป็นต้องตอบอดีตฮ่องเต้ไปเช่นนั้น หากเขาตอบแตกต่างไปจากนี้ เขาจะปกป้องข้าไม่ได้ แต่กลับจะทำให้ข้าตกอยู่ในอันตรายแทน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ยิ่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่แยแสเท่าใด นางก็จะยิ่งปลอดภัยขึ้นเท่านั้น มันคงไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยหากเขากำลังปกป้องนาง แต่นางกลับยังนึกสงสัยในตัวเขา
ไม่ว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะฟังดูดีหรือไม่ มันก็ไม่อาจตัดสินได้ด้วยการใช้หูฟังเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้ใจฟังให้ดีเสียมากกว่า คิดอะไรให้เรียบง่าย มองให้เห็นถึงผลลัพธ์ จากนั้นเราก็จะสามารถตัดสินได้ว่าใครกันแน่ที่ดีกับเราจริงๆ
เขาสามารถทิ้งความกังวลนั้นไปได้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังข่มความโกรธเอาไว้เพื่อนาง
นางไม่แยแสต่อการปฏิบัติเช่นนั้น
นางกับเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน ไม่ชอบพูดจาพร่ำเพรื่อ และบางครั้งก็มักจะเลือกใช้วิธีการที่ดูไร้มนุษยธรรมในสายตาของคนอื่นด้วยซ้ำ
แต่นี่เป็นเพียงวิธีการที่พวกนางใช้แสดงความรักและความสนใจให้กันและกัน ตราบใดที่สุดท้ายผลลัพธ์ของมันคือการที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตลอดไป เช่นนั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอ่านจดหมายฉบับนั้น นางไม่ได้คิดว่ามันไร้สาระเลยแม้แต่นิดเดียว อาจมีผู้คนมากมายที่เมื่อถึงเวลาเผชิญหน้ากับข่าวลือเช่นนี้แล้วคงไม่อาจมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของมันได้ แต่คนเหล่านั้นคิดว่านางโง่หรือ
นางรู้จักการวิเคราะห์ รู้จักวิธีมองให้เห็นถึงผลลัพธ์ และรู้ว่าเรื่องพวกนี้มีแนวโน้มจะมุ่งไปทางใด ความรู้สึกใดๆ ที่ก่อตัวขึ้นอย่างหน้ามืดตาบอดนั้นย่อมไม่ยั่งยืน
ทุกความสงสัยเคลือบแคลงที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับเขาปรากฏออกมาให้เห็นตั้งแต่แรก คนอื่นๆ พยายามใช้ประโยคเพียงหนึ่งหรือสองประโยคเพื่อทำให้ความรู้สึกที่นางมีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพังทลายลง พวกเขาไม่อยากให้นางเชื่อในความอ่อนโยนที่เขามีให้นาง แต่เชื่อในประโยคที่บิดเบือนความจริงเพียงไม่กี่ประโยคนี่น่ะหรือ
ทำไมนางถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าสติปัญญาของนางกำลังถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกอยากหัวเราะใส่หน้าคนพวกนั้นจริงๆ
พวกเขาไม่ได้เข้าใจนิสัยของนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับคิดที่จะส่งจดหมายประเภทนี้มาให้ประธานจอมเผด็จการอย่างนางน่ะหรือ…