เฉินตันจูนั่งอยู่ในคุก มองหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่าย แสงและเงาประสานกัน นางมองดูจนกระทั่งลายตา
องค์หญิงจินเหยาไปถึงไหนแล้ว
เฉินตันจูก้มหน้า บนพื้นมีแผนที่อย่างง่ายที่ใช้ตะเกียบวาดขึ้น แผนที่นี้จู๋หลินเคยวาดให้นางเพื่อรู้เส้นทางของครอบครัว เมื่อพวกเขาเดินทางไปซีจิงในเวลานั้น
ตอนนั้นนางดูเป็นประจำจึงจำได้ แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้ในการส่งคนที่ระลึกถึงจากไปอีกในสักวัน
นางถือตะเกียบจิ้มแผนที่บนพื้น องค์หญิงจินเหยาคงจะได้พบฉู่อวี๋หยงระหว่างทางใช่หรือไม่ ถึงแม้ฉู่อวี๋หยงจะหนีไป แต่เขาไม่มีทางทิ้งองค์หญิงจินเหยาโดยไม่สนใจ องค์รัชทายาทคงมีการเตรียมการแอบซุ่มรอฉู่อวี๋หยงมา…
เวลานี้นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย
นับแต่ฉู่ซิวหยงจากไปวันนั้น นางก็ตัดขาดจากโลก ถึงแม้จะยังมีอาหารวันละสามมื้อ อีกทั้งยังมีตำราส่งมาให้นาง แต่เมื่อไม่มีองค์หญิงจินเหยา ไม่มีอาจี๋ โลกที่เงียบสงบก็เหมือนกับมีนางแค่คนเดียว
เมื่อฟ้าเริ่มสว่างขึ้น อาเถียนเดินวนรอบวังหลวงหลายรอบ ยิ่งมองกำแพงวังยิ่งสูงขึ้น ราวกับแปลงร่างเป็นนกก็บินออกไปไม่ได้
ตอนที่เฉินตันจูถูกจับไป อาเถียนก็ถูกจับเข้าห้องขังในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด แต่นางไม่ได้ถูกขังไว้ร่วมกับเฉินตันจู อีกทั้งยังถูกปล่อยออกมาจากวังหลวงเมื่อไม่นานมานี้
ไม่มีผู้ใดบอกเหตุผลนาง ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
“อาเถียน เจ้าอย่าวู่วาม” เสียงของจู๋หลินดังขึ้นจากระยะไกล คนที่เดินเข้ามาจากระยะไกล “หากเจ้าบุกเข้าไป เจ้าจะไม่ได้พบคุณหนูตันจูอีก”
อาเถียนที่มักจะเถียงหรือไม่สนใจคำพูดของเขาไม่พูดสิ่งใด นางก้มหน้าจับผ้าคาดเอวของตนเอง
จู๋หลินก็อดก้มหน้าลงไม่ได้ เสียงของเขาอ่อนโยนลง “คุณหนูต้องไม่เป็นอันใด มิฉะนั้นไม่มีทางไม่มีข่าว”
อาเถียนตอบรับ “เจ้าอย่ากังวล ข้าไม่มีทางหาที่ตาย ถึงแม้จะต้องตาย ข้าก็จะรอคุณหนูตาย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ครุ่นคิด พลันส่ายหน้า “คุณหนูตายแล้ว ข้าก็ตายทันทีไม่ได้ ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก”
เก็บร่างของคุณหนู ฝังหรือส่งร่างของคุณหนูไปให้คุณหนูใหญ่ในซีจิง หากนายท่านไม่ยอมให้คุณหนูเข้าประตูก็ฝังอยู่บนภูเขาดอกท้อ
จู๋หลินถอนหายใจ “เรื่องยังไม่เกิดขึ้น เจ้าก็อย่าคิดเลย ข้ารู้สึกว่าคุณหนูตันจูจะไม่เป็นอันใด”
อาเถียนเงยหน้ามองเขา “จริงหรือ”
จู๋หลินพยักหน้า “ใช่ คุณหนูตันจูก่อเรื่องมากมายเพียงนั้น สุดท้ายเรื่องร้ายก็กลายเป็นดี คราวนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น”
อาเถียนหัวเราะออกมา “จู๋หลินพูดถูก” พลันยื่นมือจับแขนเสื้อของเขา “พวกเรากลับกันเถิด”
เมื่อรู้สึกว่าแขนเสื้อของตนเองเป็นที่พึ่งทั้งหมดของหญิงสาว ภายในใจของจู๋หลินทั้งหนักอึ้งทั้งเศร้าโศก ในขณะที่กำลังจะพานางจากไป ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลงมองไปทางขวา ทางนั้นเป็นทิศทางของประตูวังหลวง
แสงแดดยามเข้าสาดส่อง มีขุนนางจำนวนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง พวกเขาเดินอย่างเร่งรีบ มีขุนนางที่อายุมากบางคนกำลังวิ่งจนเหนื่อยหอบก็ไม่ยอมหยุดลง…
เหล่าขุนนางไม่ได้วิ่งเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว จู๋หลินกำมือแน่น ในวังหลวงเกิดเรื่องแล้ว สายตาของเขามองตามขุนนางเหล่านั้นเข้าไปในส่วนลึกของเมืองหลวง
ในที่สุดฮ่องเต้จะสวรรคตแล้วหรือ
…
องค์รัชทายาทถูกปลุกในตำหนักทรงงาน เวลานี้มีงานมากมาย องค์รัชทายาทจึงประทับอยู่ในตำหนักทรงงานบ่อยมากขึ้น
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาพลางเดินพลางถามขันทีข้างกาย
ขันทีตัวน้อยเหนื่อยหอบ “ฝูชิงกงกงไม่ได้บอกละเอียด เหมือนจะเป็นเรื่องยาพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูชิงเฝ้าอยู่ทางฮ่องเต้ตลอดเวลา เวลานี้ขันทีจิ้นจงทำหน้าที่เพียงแค่เฝ้าดูฮ่องเต้ เรื่องส่วนใหญ่ในทางตำหนักของฮ่องเต้ล้วนต้องให้เขาตัดสินใจ รวมทั้งจับตาดูบรรดาท่านอ๋องและพระสนม
องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ฝูชิงวิ่งออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาตะโกน
ถึงแม้ปากของเขาจะตะโกนว่าข่าวดี แต่ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ส่วนองค์รัชทายาทที่ได้ยินเขาตะโกนว่าข่าวดีก็ชะงักไป
“…สมุนไพร สมุนไพรที่เก็บจากบ้านเกิดของหูไต้ฟู หมอหลวงจางพวกเขาปรุงยาออกมาได้แล้ว” ฝูชิงพูดต่อ “ให้ฝ่าบาทเสวยแล้ว…ได้ผลแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สำเร็จแล้วหรือ ชีวิตของฮ่องเต้ช่าง…มือที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อขององค์รัชทายาทกำแน่น เขาเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างรีบร้อน
บรรดาท่านอ๋องและพระสนมยังคงอยู่ในตำหนักเหมือนเคย แต่ว่าล้วนอยู่ในห้องด้านนอก ห้องด้านในมีเพียงขันทีจิ้นจงและหมอหลวงจาง
ไม่เลว ถึงแม้เขาไม่อยู่ ทางนี้ก็ไม่ได้ละเมิดกฎที่เขากำหนดเอาไว้ องค์รัชทายาทไม่สนใจผู้คนในห้องด้านนอก เขาเดินตรงเข้าไป ก่อนจะเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงนอนอยู่บนเตียง ไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้น
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาถามอย่างรีบร้อน “บอกว่าฝ่าบาททรงเกิดเรื่อง ข้าเรียกบรรดาขุนนางมาแล้ว…ทรงดีขึ้นจริงหรือ ปรุงยาได้แล้วจริงหรือ”
พูดถึงตรงนี้ก็ร้อนใจ
“ยานี้ใช้ได้จริงหรือไม่ ใช้เช่นนี้จะอันตรายหรือไม่”
หมอหลวงจางกล่าวทูล “องค์รัชทายาท หมดหนทางแล้ว หากฝ่าบาทไม่ทรงใช้ยาก็…”
ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ ไม่ใช้ยาคือตาย หากใช้ยาแล้วไม่ได้ผลก็คือตาย ไม่ทันได้พิสูจน์ถึงฤทธิ์ยาอย่างละเอียด
องค์รัชทายาทย่อมเข้าใจ เขาพยักหน้าให้หมอหลวงจางด้วยความรู้สึกผิด “ข้าร้อนใจเอง…บอกว่าเห็นผลแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเสด็จพ่อยังทรงไม่ได้สติ”
หมอหลวงจางทำหน้าฉงน “หลังจากใช้ยาแล้ว ชีพจรของฝ่าบาทดีขึ้นจริง เสถียรและมีกำลัง ดังนั้นกระหม่อมจึงให้คนไปทูลรายงานด้วยความตื่นเต้น…แต่ฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย”
เวลานี้ขุนนางที่รู้ข่าวก็เดินเข้ามา พวกเขาที่วิ่งจนแทบจะเป็นลมหายใจเกือบไม่ทัน “หมอหลวงจาง ท่านประมาทเกินไปแล้ว!”
ในฐานะที่หมอหลวงจางเป็นหมอหลวงมานาน เขาไม่มีความกลัวเมื่อเผชิญหน้าต่อขุนนางชราเหล่านี้ “ข้ารักษาอย่างประมาทหรือไม่ ใต้เท้าทั้งหลายเกรงว่าจะไม่มีสิทธิ์ตัดสิน”
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายกำลังจะเถียงกัน องค์รัชทายาทรีบเกลี้ยกล่อม “ล้วนทำเพื่อฝ่าบาท เวลานี้ยังไม่รีบ ในเมื่อชีพจรดีขึ้นแล้วก็รอก่อน ยาเพิ่งให้ไปครั้งเดียว”
บอกว่ารอ ทุกคนก็เริ่มรอ ตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน จนกระทั่งแสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฮ่องเต้ยังคงไม่ฟื้น
“ยาไม่มีปัญหา” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของทุกคน หมอหลวงจางยังคงยืนกราน อีกทั้งยังให้บรรดาหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาตรวจชีพจร “ชีพจรของฝ่าบาทดีขึ้นแล้ว”
มีหมอหลวงจำนวนไม่น้อยเดินขึ้นหน้ามาตรวจชีพจร นอกจากนี้ยังมีขุนนางที่รู้วิชาแพทย์ต่างมาลอง เหมือนดั่งที่หมอหลวงจางพูด ชีพจรของฮ่องเต้มีแรงขึ้นแล้ว
“พรุ่งนี้” มีขุนนางคาดเดา “พรุ่งนี้ฝ่าบาทต้องทรงฟื้นแน่นอน”
ในที่สุดภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ก็อบอวลไปด้วยความดีใจ ในเมื่อมั่นใจในข่าวดีแล้ว องค์รัชทายาทก็เกลี้ยกล่อมให้ทุกคนไปพักผ่อน
แต่บรรดาขุนนางไม่ยอมจากไป บรรดาพระสนมและท่านอ๋องต่างแสดงออกว่าอยากเฝ้าฮ่องเต้จนกว่าจะทรงฟื้นขึ้นมา
เพียงแค่บอกว่าฝ่าบาททรงดีขึ้น ท่าทีของทุกคนก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว ไม่สนใจคำพูดขององค์รัชทายาทอย่างเขาแล้ว ภายในใจขององค์รัชทายาทยิ้มเย็น
องค์รัชทายาทไม่ได้ไล่ทุกคนไป หากแต่จัดเตรียมสถานที่พักผ่อนในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้
“อยู่มาทั้งวันทั้งคืนแล้ว หากเสด็จพ่อทรงฟื้นขึ้นมา พระองค์คงไม่อยากเห็นทุกคนเหน็ดเหนื่อย” องค์รัชทายาทเกลี้ยกล่อมด้วยความจริงใจ
ทุกคนซาบซึ้งน้ำใจขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังสามารถพักผ่อนอยู่รอบด้านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ทุกคนจึงกระจายตัวไป
หลังจากผ่านการรอคอยอีกหนึ่งวัน ฮ่องเต้ยังคงไม่มีแนวโน้มจะฟื้นขึ้นมา ค่ำคืนที่มืดสนิท ตำหนักบรรทมเงียบสงัดกว่าตอนกลางวันเสียอีก
องค์รัชทายาทนั่งอยู่บนเก้าอี้ห้องด้านนอก มือลูบไล้อยู่บนพนักเก้าอี้แผ่วเบา
เมื่อหมอหลวงที่เข้าเวรเดินออกมาจากห้องด้านในถวายบังคมให้เขา
“เป็นอย่างไร” องค์รัชทายาทถาม
หมอหลวงพยักหน้า “ชีพจรของฝ่าบาทดีขึ้นต่อเนื่อง พรุ่งนี้คงเห็นผลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” องค์รัชทายาทพยักหน้าด้วยความดีใจ แต่ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
องค์รัชทายาทลุกขึ้นเดินเข้าห้องด้านในหลังจากให้หมอหลวงถอยออกไป ภายในห้องมีขุนนางชราที่เข้าเวรนั่งงีบอยู่ข้างเตียง
“องค์รัชทายาททรงพักผ่อนเถิด” ขันทีจิ้นจงเกลี้ยกล่อมองค์รัชทายาทเสียงเบา “หมอหลวงจางบอกว่า อย่างเร็วสุดก็ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้า ไม่จำเป็นต้องอดนอนอยู่ทางนี้ ฝ่าบาททรงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทพูด “ข้านอนอยู่ห้องด้านนอก ข้าไปส่งใต้เท้าซ่งก่อน” พูดพลางพยุงขุนนางชรา “ใต้เท้าซ่ง ไปพักผ่อนเถิด”
ขุนนางชราผู้นั้นยังคงยืนกราน แต่ก็ถูกขันทีจิ้นจงไล่ออกไปด้วยความรำคาญ เมื่อเห็นทั้งสองจากไป ขันทีจิ้นจงแอบถอนหายใจเบาๆ พลันนั่งลงข้างเตียง นำผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำจนเปียก
“เฝ้าอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ ความเจ็บป่วยไม่มีผู้ใดเป็นแทนได้” เขาพึมพำ “ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใจแทนผู้อื่นได้”
เขาพับผ้าเช็ดหน้าที่บิดเสร็จแล้ว ก่อนจะหันมาเพื่อเช็ดหน้าให้ฮ่องเต้ แต่เมื่อเพิ่งหันมา เขาก็เห็นฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียงลืมตามองเขา
ภายในม่านที่มืดสลัว ใบหน้าที่ขาวซีด ดวงตาทั้งคู่ดำเงา
ขันทีจิ้นจงผงะ ผ้าในมือหล่นลง เขาอ้าปาก ในขณะที่เสียงแหบพร่าจะดังขึ้น…
ฮ่องเต้ยกมือวางไว้ที่ริมปาก “ชู่ว์…”
ผ้าที่หล่นลงไปกลับมาอยู่ในมือของขันทีจิ้นจงอีกครั้ง ปากที่เขาอ้าออกก็ปิดลงอย่างสนิท
…
แต่เวลานี้ องค์รัชทายาทยืนอยู่บริเวณที่มืดที่สุดด้านนอกตำหนัก ด้านข้างไม่มีใต้เท้าซ่ง มีเพียงเงาหนึ่งที่ยืนโค้งตัวอยู่
“ยาของพรุ่งนี้เช้า เจ้าจัดการให้ดี” เขาพูดเสียงเรียบ
เงานั้นก้มต่ำลงกว่าเดิม
องค์รัชทายาทเดินออกมาจากความมืด เดินผ่านโคมไฟใต้ทางเดินพร้อมกับเงาที่ลากยาว เงาของเขาสั่นไหวแตกสลายอยู่บนพื้น
…
ยืนมองจากระยะไกล กำแพงวังหลวงที่สูงตระหง่าน หลังคาที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นกลืนกินแสงไฟ เมืองหลวงเหมือนถูกแช่อยู่ในน้ำหมึกสีดำ ลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ชุดของฉู่อวี๋หยงที่ยืนอยู่บนหลังคาสำนักราชการแห่งหนึ่งพลิ้วไหวราวกับจะลอยขึ้น
“องค์ชาย” เฟิงหลินเข้ามาจากทางด้านหลัง “หูไต้ฟูและคนอื่นเข้าวังหลวงไปแล้ว พวกเราจะตามเข้าไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเรียบ “ละครบทใหญ่ยังไม่เริ่ม เสือสองตัวยังไม่ปะทะกัน ไม่รีบ”