ตอนที่ 460 ทังชุ่นอิงมาจ่ายค่าเสียหาย
พอออกมาจากร้านเครื่องเขียนลี่หวา เหรินเป่าจูก็ซ้อนจักรยานหลินม่ายกลับไปที่โรงงาน
หล่อนถามหลินม่ายจากด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจ “คุณหลิน ฉันไม่เข้าใจเลย เถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวาคิดราคาค่าเช่าแพงขนาดนั้น ทำไมคุณถึงยอมตกลงง่าย ๆ โดยที่ไม่ต่อรองราคาด้วยซ้ำ แถมหล่อนยังฉวยโอกาสบังคับให้เราซื้อสินค้าในราคาลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์อีก ทำอย่างกับเราเป็นคนโง่ที่พอจะมีเงินอย่างนั้นแหละค่ะ”
พอคิดถึงเรื่องค่าเช่าหน้าร้านของเถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวาที่แพงอย่างไม่สมเหตุสมผล หล่อนก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดไม่ควรลงเอยแบบนี้เลย
หลินม่ายถามกลับ “งั้นฉันถามอะไรคุณหน่อย ถ้าฉันไม่ยอมรับราคาเช่าหน้าร้านของหล่อนที่แพงขนาดนั้น และไม่ยอมเหมาสินค้าของหล่อนในราคาลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์ คุณคิดว่าหล่อนจะยอมปล่อยเช่าให้เราง่าย ๆ ไหม?”
“ไม่อย่างแน่นอน!” เหรินเป่าจูตอบแบบแทบไม่ต้องคิด
“คุณไม่เห็นเหรอว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวากลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีกตอนเจรจากับเรา ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าร้านของหล่อนไม่มีใครเช่ามานานหลายเดือน หล่อนคงไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวแน่”
“ด้วยเหตุนี้ฉันถึงต้องยอมจ่ายในราคาแพงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น”
เหรินเป่าจูพึมพำ “แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนขาดทุนอยู่ดี”
“ขาดทุนจริงหรือเปล่า” หลินม่ายพูดต่อ “ฉันจะลองเปรียบเทียบให้ดู คุณสามารถใช้เงื่อนไขเดียวกันกับฉัน หาหน้าร้านที่ใหญ่พอ ๆ กับร้านเครื่องเขียนลี่หวา แถมยังหันหน้าชนกับร้านของเถ้าแก่เกาได้ไหมล่ะ?”
เหรินเป่าจูส่ายหน้า “ไม่ได้…”
ไม่ต้องพูดถึงการหาเช่าหน้าร้านที่มีเงื่อนไขตรงตามความต้องการอย่างร้านเครื่องเขียนลี่หวา ต่อให้หักเงื่อนไขออกไปสองข้อก็ไม่สามารถหาเช่าหน้าร้านอื่นได้อยู่ดี เพราะไม่มีตึกอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงปล่อยเช่าแล้ว
หลินม่ายถามอีกครั้ง “แล้วถ้าเราเช่าต่อร้านเครื่องเขียนลี่หวา คุณคิดว่าเราสามารถขายส่งเสื้อผ้าได้วันละเท่าไหร่ และจะได้กำไรเท่าไหร่หลังจากนั้น?”
เหรินเป่าจูเข้าใจอย่างรวดเร็ว “ฉันเข้าใจแล้ว ถึงเราจะเสียค่าเช่าเดือนละสามร้อยหยวน แถมยังยอมเหมาเครื่องเขียนจากเถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวาในราคาลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็จริง แต่เราอาจจะได้ต้นทุนเหล่านี้คืนในสักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นการยอมขาดทุนในครั้งนี้ ถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรพูดถึง”
“ถูกต้อง” หลินม่ายยืนยัน “เราไม่ควรมองปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจงจนเกินไป แต่ควรมองอย่างรอบด้าน”
เหรินเป่าจูพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ”
แต่แล้วหล่อนก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “คุณว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวาโง่หรือเปล่า? หล่อนตั้งค่าเช่าหน้าร้านแพงหูฉี่ขนาดนั้น ทำให้ไม่มีใครสนใจเช่าเลย แค่ไม่กี่เดือน หล่อนกลับชวดค่าเช่าไปเกือบพันหยวนโดยเปล่าประโยชน์!”
หลินม่ายไม่เห็นด้วย “คุณอาจจะคิดว่าหล่อนโง่ แต่สำหรับหล่อนแล้ว ไม่มีใครในโลกฉลาดไปกว่าตัวหล่อนเอง ในขณะที่อาคารข้างเคียงปล่อยเช่ากันในราคาแค่สองร้อยหยวน แต่หล่อนได้รับค่าเช่าตั้งสามร้อยหยวนเลยนะ”
เหรินเป่าจูพูดอย่างเหยียดหยาม “นั่นไม่เรียกฉลาดซะหน่อย เรียกว่าหน้าเลือดต่างหาก ทำธุรกิจขูดรีดคนด้วยกัน อีกไม่นานเดี๋ยวก็เจ๊ง”
“นั่นแหละคือสาเหตุที่เครื่องเขียนของหล่อนขายไม่ออก ถึงทำธุรกิจขูดรีดคนด้วยกัน ถ้าทำเพื่อความอยู่รอดชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ตัวเองเป็นแค่กิจการเล็ก ๆ กลับขูดรีดคนอื่นระยะยาวแบบนี้ นับว่าโง่ของจริง!”
สองสาวพูดคุยกันเพลิน ๆ ไม่นานก็กลับมาถึงโรงงานแล้ว
เถาจืออวิ๋นรีบมาบอกหลินม่าย ว่าทังชุ่นอิงมาจ่ายเงินที่ตัวเองยักยอกไปแล้ว
แต่หล่อนไม่ได้มาแค่คนเดียว ยังพ่วงเอาสามี แม่สามี และลูก ๆ มาที่นี่ด้วย
หลินม่ายพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของทังชุ่นอิงที่ตั้งใจพาครอบครัวมาที่นี่อยู่บ้าง จึงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “คิดจะหาเรื่องมากดดันทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำผิดสินะ?”
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองอย่างใจเย็น และเห็นสมาชิกในครอบครัวของทังชุ่นอิงต่างนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว นั่งอยู่บนโซฟาไม้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ทันทีที่ทังชุ่นอิงเห็นหลินม่าย หล่อนก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที
จากนั้นก็ร้องไห้อย่างน่าสังเวช “คุณหลิน ได้โปรดอย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ ถ้าคุณไล่ฉันออก ครอบครัวเราคงไม่มีอันจะกินกันแล้ว”
หลินม่ายยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ลุกขึ้นมาคุยกันดี ๆ เถอะ”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางต่อต้านอะไร ทังชุ่นอิงก็ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความลังเล แล้วค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา
หลินม่ายยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “เอาเงินติดมาด้วยหรือเปล่าคะ?”
ทังชุ่นอิงเลิ่กลั่กทันที “คุณหลิน… สภาพครอบครัวของฉันไม่ค่อยดี”
แม่สามีของหล่อนโพล่งขึ้นบ้างด้วยสีหน้าขมขื่นไม่ต่างกัน “ครอบครัวฉันมีเด็กป่วยอยู่ตั้งหลายคน… ดูสิ… คุณผู้หญิง… ยังคิดจะไล่ลูกสะใภ้ฉันออกอีกเหรอ?”
ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็แอบหยิกเนื้อเด็ก ๆ อย่างลับ ๆ ทำให้เด็ก ๆ แผดเสียงร้องไห้จ้าออกมาทันที
เป็นภาพที่น่าสังเวชไม่น้อย
เหรินเป่าจูกับเถาจืออวิ๋นที่นั่งอยู่ในห้องทำงานข้าง ๆ ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า ก็รีบวิ่งเข้ามาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลินม่ายกวาดสายตามองสมาชิกครอบครัวทังชุ่นอิงเหมือนกับเป็นตัวตลก จากนั้นก็เยาะเย้ย “ครอบครัวนี้หาข้ออ้างไม่ยอมคืนเงินที่ตัวเองยักยอกไป แถมยังอยากให้ฉันเก็บทังชุ่นอิงไว้ทำงานในโรงงานต่อด้วย!”
เถาจืออวิ๋นโกรธมากจนควันออกหู “ทำไมพวกคุณถึงได้ทำตัวไร้ยางอายแบบนี้กันนะ! อย่ามัวเสียเวลาพูดจาไร้สาระอีกเลย รีบส่งตัวพวกเขาไปที่สถานีตำรวจเถอะ!”
เหรินเป่าจูพยักหน้าแรง ๆ อย่างเห็นด้วย
หล่อนทนอยู่ร่วมโลกกับคนไร้ยางอายแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ
หลินม่ายหันไปพูดกับเสี่ยวผิง “ไปเรียกหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยติงมาหน่อย บอกให้เขาพาลูกน้องมาจับตัวทังชุ่นอิงส่งตำรวจซะ! ก่อนหน้านี้ฉันคงใจดีเกินไป คิดว่าตราบใดที่เธอเอาเงินที่ตัวเองยักยอกไปมาคืนครบก็จะจบเรื่องนี้เสีย แต่ในเมื่อทำตัวได้คืบจะเอาศอกดีนัก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้เกรงใจกันอีกต่อไปเลย!”
เสี่ยวผิงหันหลังกลับเดินออกจากห้องทำงานไปทันที
แม่สามีของทังชุ่นอิงที่ก่อนหน้านี้ตีหน้าเศร้าชวนให้รู้สึกสงสาร ตอนนี้กลับแสดงความชั่วร้ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่างิ้วเสฉวน
หล่อนด่ากราดหูดับตับไหม้ “ถ้าเธอกล้าเรียกเงินจากพวกเราและไล่ลูกสะใภ้ฉันออก ฉันจะออกไปประจานให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนรวยอย่างเธอมันใจทรามขนาดไหน ถึงกับฆ่าพวกเราทั้งเป็น ตอนนั้นทุกคนต้องรุมประณามการกระทำของเธอจนจมน้ำลายแน่!”
ตอนนี้เองคนที่มีนิสัยนุ่มนิ่มอย่างเถาจืออวิ๋นก็โกรธจนตัวสั่น นึกอยากพุ่งตัวไปฉีกปากแม่สามีของทังชุ่นอิงออกเป็นชิ้น ๆ
หล่อนเบิกตากว้างด้วยความโกรธแล้วถามกลับ “หัวหน้าหลินของเราใจทรามยังไงกัน? กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าหล่อนทำให้พวกคุณตายทั้งเป็น? พูดจาพ่นเลือด(1)ให้มันน้อย ๆ หน่อย!”
แม่สามีของทังชุ่นอิงถลึงมองหล่อนด้วยความเหยียดหยาม “เพราะเธอรู้ทั้งรู้ว่าสถานะครอบครัวของเรายากจนแค่ไหน แถมยังมีเด็กป่วยรอการรักษาทั้งคน แต่หัวหน้าหลินของเธอก็ยังเรียกร้องเงินค่าเสียหาย แถมยังจะไล่ลูกสะใภ้ฉันออกด้วย นี่ไม่ใช่คนเลวใจทรามที่พยายามทำให้พวกเราตายทั้งเป็นตรงไหน? ประโยคไหนของฉันที่เป็นการพ่นเลือด?”
เถาจืออวิ๋นยังตั้งท่าจะทะเลาะกับหล่อนต่อ
แต่หลินม่ายทำท่าทางเป็นเชิงบอกให้ ‘หยุด’ เสียก่อน
เถาจืออวิ๋นจึงได้แต่หุบปากฉับด้วยความไม่พอใจ
หลินม่ายยิ้มเยาะที่มุมปาก จากนั้นก็หันไปพูดกับแม่สามีของทังชุ่นอิง
“ลูกสะใภ้คุณยักยอกเงินส่วนกลางของโรงงาน นอกจากคุณจะไม่ยอมให้ฉันเรียกร้องเงินที่หล่อนยักยอกไปคืนแล้ว ยังไม่ยอมให้ฉันไล่หล่อนออกด้วย คุณยังมีหน้ามาด่าว่าฉันเป็นคนรวยใจทราม ฆ่าพวกคุณให้ตายทั้งเป็นอีกเนี่ยนะ?”
แม่สามีของทังชุ่นอิงกลอกตา พยายามโต้เถียง “นั่นไม่ใช่เรื่องจริง!”
หลินม่ายพยักหน้า “ไม่เป็นไร ฉันไม่ทวงเงินคืนแล้วก็ได้ และฉันจะไม่ไล่ลูกสะใภ้คุณออกด้วย แต่ฉันจะส่งตัวหล่อนไปที่สถานีตำรวจเลย คราวนี้มาดูกันว่ากระบวนการยุติธรรมจะจัดการกับลูกสะใภ้คุณยังไงบ้าง หรือจะยอมปล่อยหล่อนไปแค่เพราะเหตุผลว่าครอบครัวของคุณยากจน ไม่มีรายได้ แถมยังมีเด็กป่วยหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันก็จะบอกกับทางตำรวจด้วยว่านอกจากฉันจะไม่เรียกเงินที่ลูกสะใภ้คุณยักยอกไปแล้ว ยังไม่ไล่หล่อนออก แถมยังมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวพวกคุณตั้งหนึ่งหมื่นหยวนด้วย คุณป้าคะ ทีนี้คุณพอใจแล้วหรือยัง?”
หญิงชราที่เกรี้ยวกราดและไม่มีเหตุผลถึงกับตกตะลึง เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าหลินม่ายจะเล่นงานตัวเองด้วยวิธีนี้
หลินม่ายยังพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันต่อไป “คุณอยากประกาศให้โลกรู้นักใช่ไหมว่าฉันเป็นคนรวยใจทราม ฆ่าครอบครัวของพวกคุณให้ตายทั้งเป็น? ได้สิ ถ้างั้นฉันจะสนองความต้องการคุณเอง ฉันจะเรียกนักข่าวมาเดี๋ยวนี้ คุณจะได้ร้องเรียนกับพวกเขาอย่างเต็มที่ ในขณะที่คุณบ่นเรื่องความอยุติธรรมที่ตัวเองได้รับ ฉันจะช่วยเหลือเด็กที่ป่วยหนักสิบคนจากครอบครัวยากจน และให้ค่ารักษาพยาบาลแก่พวกเขาคนละห้าพันหยวน ดูซิว่าใครยังกล้ากล่าวหาว่าฉันเป็นคนรวยใจทรามอีก?”
ไม่ใช่แค่แม่สามีของทังชุ่นอิงเท่านั้น แม้แต่ทังชุ่นอิงกับสามีของหล่อนต่างก็ตกตะลึง
ถ้าหลินม่ายทำแบบนั้นจริง ๆ คนส่วนใหญ่จะมองว่าหลินม่ายยินดีช่วยเหลือคนอื่นที่ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตัวเอง มากกว่ายื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขา
นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่าครอบครัวของเขาไม่ดีพอ และไม่ควรค่าแก่การให้ความช่วยเหลือ
ท้ายที่สุด ใครจะยังยืนหยัดเคียงข้างและเป็นกระบอกเสียงแทนพวกเขากัน?
ซ้ำร้ายกระแสโจมตีจะวกกลับมาหาพวกเขาเสียเอง
หลินม่ายหยิบรูปถ่ายปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋า แล้วโยนไปที่เท้าของทังชุ่นอิง
ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “ความจริงแล้ว ต่อให้ฉันไม่ใช้วิธีพวกนั้น ฉันก็ยังมีหลักฐานป้องกันไม่ให้คุณมาแว้งกัดฉันได้อยู่ดี คิดเหรอว่าตัวเองคบค้าสมาคมกับซีม่านเพื่อฆ่าฉันทางอ้อม แล้วคนอย่างฉันจะไม่รู้อะไรเลย!”
ทังชุ่นอิง สามี และแม่สามีของหล่อนก้มลงดูรูปถ่ายที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้น ทันใดนั้นใบหน้าของทุกคนก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ
พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดของพวกผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไร แถมยังหวาดกลัวเกินกว่าจะร้องไห้
ในรูปถ่ายพวกนั้น เป็นภาพของทังชุ่นอิงที่นัดเจอกับผู้ช่วยส่วนตัวของกวนหย่งหัว และยังมีภาพที่หล่อนเดินเข้าและออกจากโรงงานตัดเสื้อซีม่านอีกด้วย
หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ทังชุ่นอิง คุณเป็นฝ่ายยักยอกเงินกองกลางก่อน ฉันรู้แล้วแต่ก็ยังไม่ได้จัดการลงโทษคุณ แต่คุณกลับสมรู้ร่วมคิดกับซีม่านเพื่อทำลายธุรกิจฉันลับหลัง แม่สามีของคุณยังทำตัวประสาท กล่าวหาว่าฉันฆ่าครอบครัวของพวกคุณให้ตายทั้งเป็น เห็น ๆ กันอยู่ว่าคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายแทงฉันข้างหลัง แล้วแม่สามีคุณยังมีหน้าจะประจานฉันอีก! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าถ้านักข่าวรู้ว่าคุณกับแม่สามีทำอะไรลงไปบ้างจะเกิดอะไรขึ้น คงจะเหมือนกับที่แม่สามีคุณพูดล่ะมั้ง ครอบครัวคุณคงจมน้ำลายคนอื่นตายกันหมด”
แม่สามีของทังชุ่นอิงตกใจกลัวจนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า รีบตบหน้าตัวเองซ้ายทีขวาที “ยายแก่นี่ พูดจาไร้สาระอะไรออกไป หุบปากเน่า ๆ ของแกเดี๋ยวนี้นะ!”
หลาน ๆ ของหล่อนต่างตกใจกลัวการกระทำของย่าจนน้ำตาไหล
ทังชุ่นอิงร้องไห้โฮ “คุณหลิน เรื่องนี้คุณโทษฉันคนเดียวไม่ได้ พอคุณต้องการให้ฉันหาเงินที่ยักยอกไปมาคืนให้ครบ ฉันก็แทบจะหมดหนทาง บังเอิญเหลือเกินที่คุณกวนของโรงงานตัดเสื้อซีม่านรู้ว่าฉันกำลังจะโดนลงโทษฐานยักยอกเงินกองกลาง เขาเลยจ่ายเงินติดสินบนฉัน ให้ฉันคอยจับตามองหัวหน้าเถา จะได้เอาเงินส่วนนี้มาชดเชยเงินกองกลางที่ยักยอกไป ฉันเลยไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อตกลงของเขา…”
หลินม่ายพูดประชดประชัน “ฉันไม่ตำหนิคุณเรื่องนี้หรอก มันเป็นความผิดของฉันเอง!”
ทังชุ่นอิงพูดอะไรไม่ออกอีก
ขณะเดียวกัน เสี่ยวผิงก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับติงไห่เฟิงและลูกน้องอีกสองคนของเขา
ติงไห่เฟิงกวาดสายตามองสมาชิกครอบครัวของทังชุ่นอิงด้วยสายตาไร้ความปรานีทันทีที่เดินเข้าประตูมา ถามเสียงดังอย่างจงใจ “หัวหน้าหลิน อยากให้ผมจับตัวใครส่งสถานีตำรวจครับ?”
หลินม่ายเหยียดนิ้วชี้ออกไปทางทังชุ่นอิงพร้อมกับพูดชัดถ้อยชัดคำ “ต้องเป็นหล่อนแน่อยู่แล้ว!”
………………………………………………………………………………………………………………
พูดจาพ่นเลือด หรือ พ่นเลือดใส่คน มีความหมายว่าใส่ร้ายป้ายสี พูดจาให้คนอื่นดูแย่ โจมตีอย่างชั่วช้าสามานย์
สารจากผู้แปล
คิดจะแว้งกัดมือที่ให้ข้าวให้น้ำลับหลังก็เจอโต้กลับแบบจุกๆ อย่างนี้แหละ จะรอดไหมหนอชุ่นอิง
ไหหม่า(海馬)