ตอนที่สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนสองพี่น้องเดินทางไปถึงลั่วเย่ว์ สวีซื่ออวี้กำลังอ่านหนังสืออยู่
เมื่อเห็นหน้าพวกเขาทั้งสอง สวีซื่ออวี้ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีอกดีใจ
พอสวีซื่อฉินมองเห็นหนังสือที่กองพะเนินบนโต๊ะของเขา พู่กันที่วางอยู่บนแท่นหิน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ
ตั้งแต่ที่สวีซื่ออวี้มาที่ลั่วเย่ว์ เขาเองก็ได้มาเยี่ยมอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่มา หากสวีซื่ออวี้ไม่ได้กำลังอ่านหนังสือก็จะกำลังเขียนหนังสืออยู่แทน เทียบกับตนที่เรียนห้าวันพักผ่อนหนึ่งวันและเรียนสิบวันก็จะได้หยุดพักผ่อนใหญ่แล้ว ถือว่าเขาลำบากกว่ามาก แต่เขากลับทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกได้ว่าเขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตนและน้องชายที่เติบโตมาด้วยกันนับวันกลับยิ่งเหินห่างจากเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ!
เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “น้องสอง อาจารย์เจียงมีเงื่อนไขในการรับลูกศิษย์อย่างไรหรือ”
สวีซื่ออวี้ชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปว่า “รู้สึกว่าไม่ได้มีเงื่อนไขพิเศษอะไรมากมาย ขอเพียงแค่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนไหวและทำตามกฎระเบียบของสำนักศึกษาก็พอ” พอพูดจบก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูก จึงได้พูดต่อไปว่า “แต่ก็มีบางคนที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ ท่านอาจารย์เจียงก็เลยให้พวกเขาค้างชำระไว้ก่อน” ครั้นจะพูดเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยถูกอยู่ดี “และก็มีบางคนที่ไม่สามารถจ่ายได้ แต่สุดท้ายท่านอาจารย์เจียงก็ได้สั่งให้นำหนังสือบัญชีที่บันทึกข้อมูลไว้ไปเผาทิ้ง” สวีซื่ออวี้ก็นึกถึงจุดประสงค์คำถามของเขาขึ้นมา จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่เองก็อยากไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาหรือ”
สวีซื่อฉินพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้าเองก้าวหน้าได้ถึงขนาดนี้ หากว่าข้ายังจะใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป ก็ดูไม่คู่ควรกับการเป็นพี่ใหญ่เกินไปแล้ว”
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ดีกับพวกข้าเป็นอย่างมากแล้ว พี่ใหญ่มักคอยดูแลพวกข้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เหตุใดถึงพูดว่าไม่คู่ควรกับการเป็นพี่ใหญ่ด้วยเล่า” จากนั้นก็หันไปพูดกับสวีซื่ออวี้ว่า “พี่สอง พวกข้าไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาด้วยดีหรือไม่ ไม่แน่บางทีพวกเราอาจจะสอบบัณฑิตซิ่วไฉผ่าน หรือได้เป็นบัณฑิตจู่เหรินก็ได้!”
“ผู้นำวงศ์ตระกูลที่ทรงเกียรติและภูมิฐานนั้นถือความกตัญญูมาเป็นอันดับแรก” สวีซื่ออวี้พยักหน้าเบาๆ “หากพี่ใหญ่และน้องสามยินดีที่จะไป ข้าเองก็จะได้มีเพื่อนเล่าเรียนด้วย ดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ทว่าเรื่องนี้ควรจะไปปรึกษาหารือกับท่านลุงสามเป็นการส่วนตัวก่อนจะดีกว่า!”
สวีซื่อฉินพยักหน้าเบาๆ เขารู้สึกว่าการที่นั่งเฉยๆ เช่นนี้จะเป็นการเสียเวลาอันมีค่าโดยเปล่าประโยชน์ จึงขอยืมพู่กันและหมึกของสวีซื่ออวี้มาเขียนจดหมายให้กับคุณชายสาม
ทางฝั่งสืออีเหนียงก็กำลังต้อนรับโจวฮูหยิน
“หากข้าจำไม่ผิด เดือนหน้าก็จะจัดพิธีเซ่นไหว้วันครบรอบการเสียชีวิตของมารดาเจ้าแล้วใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงหันไปสั่งให้สาวใช้น้อยไปนำลูกพลับที่ในราชวังประทานให้เมื่อหลายวันก่อนมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “จัดพิธีเซ่นไหว้กลางเดือนหน้า”
โจวฮูหยินยิ้มเจื่อน นางยกถ้วยน้ำชาพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าเองก็รู้ว่าข้ามาเร็วเกินไปหน่อย แต่มารดาของหวังเจ๋อที่ป่วยเป็นโรคลมหนาวเมื่อปีก่อนก็เอาแต่ป่วยออดๆ แอดๆ มาจนถึงตอนนี้ เดิมทีก็ได้คุยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะรอหลังพิธีขึ้นปิ่นปักผม…”
สืออีเหนียงก็เข้าใจได้ในทันที
ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะออกทุกข์ในเดือนหน้า แต่อวี๋หังห่างจากเมืองเยี่ยนจิงนับพันลี้ การส่งตัวเจ้าสาวก็ต้องใช้เวลานับเดือน หากไม่ได้ปรึกษาหารือกันตั้งแต่เนิ่นๆ เรื่องงานแต่งด่วนที่สุดก็คงจะต้องเป็นฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้า
“มารดาของคุณชายป่วยหนักมากหรือไม่”
หวังเจ๋ออายุมากกว่าสือเอ้อร์เหนียงห้าปี ปีนี้ก็อายุสิบแปดแล้ว สำหรับผู้ชายถือว่าโตมากแล้ว หากเจอกับการไว้ทุกข์ก็ต้องเลื่อนไปอีกสองปี…พอถึงเวลายังต้องจัดพิธีปลอบขวัญดวงวิญญาณและพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ คนในตระกูลต้องมาจุดธูปทุกคน สกุลหวังเป็นตระกูลที่ค่อนข้างใหญ่ แต่หากในตระกูลไม่มีแม้แต่ผู้ดูแลหลัก ก็คงจะยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นอย่างมาก
“ก็เพราะช่วงนี้ข้าไม่สะดวกมาหาเจ้าเลย” โจวฮูหยินสีหน้าเคร่งเครียด “หลายปีมานี้พี่สะใภ้ข้าทำงานหนักเป็นอย่างมาก”
ตอนนี้จวนสกุลหวังต้องการคนช่วยที่สุด หากยังเอาแต่ยึดถือข้อตกลงเดิมก็ถือว่าค่อนข้างไร้มนุษยธรรมและแล้งน้ำใจจนเกินไป
“พี่หญิงโจววางใจเถิด ข้าจะสั่งคนไปแจ้งข่าวที่อวี๋หังประเดี๋ยวนี้เลย”
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ถือว่าค่อนข้างเสียมารยาท
โจวฮูหยินได้ยินแล้วจึงค่อยๆ ถอนลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้ไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือน คุยกันเพียงไม่นานนางก็ขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงให้ป้าซ่งนำสมุนไพรบำรุงร่างกายจำนวนหนึ่งไปเยี่ยมมารดาของหวังเจ๋อ จากนั้นก็เขียนจดหมายสองฉบับส่งไปยังเมืองอวี๋หัง ฉบับที่หนึ่งส่งให้หลัวเจิ้นซิ่ง บอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องของสือเอ้อร์เหนียง ส่วนอีกฉบับส่งไปให้คุณนายใหญ่สกุลหลัว เพื่อให้นางหาวิธีสอนงานเกี่ยวกับการดูแลจัดการธุระต่างๆ ภายในจวนให้กับสือเอ้อร์เหนียงให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ได้ให้จู๋เซียงไปเตรียมตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง “ถึงเวลานั้นก็นำเงินจำนวนนี้มอบให้กับสือเอ้อร์เหนียงไว้เป็นสมบัติก้นหีบ เงินจำนวนนี้หากใช้อย่างมีสติ ก็ยังสามารถใช้ได้อีกหลายปี”
จู๋เซียงยิ้มพร้อมกับขานรับ ขณะที่นางกำลังจะไปเตรียมตั๋วเงินนั้น หยางอี๋เหนียงก็มาหาพอดี
“วันนี้ข้าไปที่เรือนหน่วนฝังมา เห็นว่าดอกจินหรูอี้บานได้งดงาม ก็เลยตัดมาสองกิ่ง” ในมือของนางกำลังถือดอกกล้วยไม้ตระกูลหวายสีแดงสด บนศีรษะของนางประดับด้วยดอกเบญจมาศสีเหลืองหนึ่งดอก สีสันสดใสและเข้ากันเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับประโยคที่ว่า ‘ตกแต่งเพียงเล็กน้อยแต่พิถีพิถันและเน้นความสวยงาม’ ดูออกว่านางทุ่มเทและตั้งใจไม่น้อย “ก็เลยนำมาประดับบนโต๊ะเตียงเตาให้ฮูหยินเชยชมด้วย”
สืออีเหนียงก็ได้ให้ชิวอวี่นำดอกไม้ไปไว้ที่ห้องปีกทิศตะวันออกที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง “โต๊ะริมหน้าต่างบนเตียงเตาของข้ายังมีดอกอวี้เหลียนหวนอยู่สองกิ่ง” จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้น้อยไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง
หยางอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องร้านผ้าปักของสืออีเหนียง “ช่วงก่อนข้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเย็บผ้าห่อตัวให้คุณชายน้อยทั้งวันทั้งคืน ก็เลยไม่ได้ถามไถ่เลย พ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว ไม่ทราบว่างานที่ร้านทำทันกันหรือไม่”
ตอนนี้ร้านผ้าปักของสืออีเหนียงได้เป็นร้านที่ดูแลผ้าปักลายทั้งหมดของกรมพระราชวังแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ชื่อเสียงเรียงนามยังเลื่องลือไปทั่วอีกด้วย ทุกคนต่างก็พากันบอกว่าผ้าปักลายที่ร้านของนางงดงามเป็นอย่างมาก คนที่เข้ามาในเมืองล้วนต้องมาเลือกซื้อผ้าปักที่ร้านของนางทั้งนั้น หลังฤดูใบไม้ผลิก็ได้เพิ่มช่างปักเย็บอีกสิบคน พอถึงฤดูร้อนก็ได้เพิ่มอีกสิบสองคน สองวันก่อนอาจารย์เจี่ยนก็ได้มาปรึกษาหารือกับนางว่าอยากจะเพิ่มช่างปักเย็บอีกสิบห้าคน เช่นนี้ เมื่อลองคำนวณดูแล้ว หากไม่นับเหล่าบรรดาสาวใช้และหญิงวัยกลางคนในจวนหย่งผิงโหวที่รับผ้าปักไปปักหรือนำผ้าปักของตนออกมาขาย ก็เท่ากับว่าร้านขายของมงคลสมรสของพวกนางมีช่างปักเย็บรวมห้าสิบคนแล้ว ตอนที่คำนวณบัญชีช่วงกลางปี ได้กำไรทั้งหมดราวสองพันตำลึงเงิน พลอยทำให้กานไท่ฮูหยินตกใจเป็นอย่างมาก โวยวายจะเอาร้านที่อยู่ใกล้ๆ มาทำเป็นร้านขายผ้าปักด้วย แต่อาจารย์เจี่ยนกลับอยากจะซื้อเรือนที่ไม่ไกลจากร้านมากเท่าไรนัก เพื่อที่จะใช้เป็นที่พักให้กับช่างปักเย็บที่เดินทางมาจากเจียงหนาน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องเอาเงินออกมาจำนวนหนึ่ง สืออีเหนียงและกานไท่ฮูหยินต่างก็ไว้ใจอาจารย์เจี่ยนอยู่แล้ว ทั้งสองจึงออกเงินคนละห้าสิบตำลึงเงิน อาจารย์เจี่ยนก็ได้นำเงินจำนวนนี้รีบไปดูเรือนกับพ่อค้านายหน้าทันที
“ข้าเองก็ไม่ได้ไปที่ร้านมาพักหนึ่งแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับตอบกลับนาง “อาจารย์เจี่ยนเป็นคนดูแลและจัดการที่ร้าน ฟังจากน้ำเสียงแล้ว การค้าขายของที่ร้านถือว่าดีไม่น้อย”
หยางอี๋เหนียงหยิบภาพแบบอย่างผ้าปักออกมาจำนวนหนึ่ง “ข้าใช้เวลาช่วงที่ว่างลองวาดแบบดู ฮูหยินลองดูว่าพอจะใช้ได้หรือไม่”
มีภาพวาดสระน้ำอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดพบปะสังสรรค์และภาพวาดสิบผสมผสาน ล้วนแล้วแต่ภาพวาดที่เป็นสิริมงคลทั้งสิ้น
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับรับมา จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึงพอดี
หยางอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ เมื่อเขาหันไปเห็นแบบของผ้าปักที่วางอยู่บนโต๊ะก็พูดขึ้นว่า “ไหนบอกว่าช่วงนี้จะไม่ปักผ้า แล้วนี่จะเริ่มเย็บปักถักร้อยอีกแล้วหรือ”
“เป็นแบบของผ้าปักเท่านั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปรับชุดเครื่องแบบขุนนางจากสวีลิ่งอี๋แล้วยื่นให้กับสาวใช้น้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ให้สาวใช้น้อยไปยกถั่วเขียวต้มที่แช่เย็นแล้วเข้ามา นางอยากจะถามว่าฮองเฮาเรียกเขาเข้าวังไปคุยธุระอะไร แต่ก็เห็นว่าหยางอี๋เหนียงกำลังช่วยสาวใช้น้อยยกน้ำอยู่ จึงกลืนคำพูดลงคอไป
สวีลิ่งอี๋ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ เปลี่ยนไปสวมชุดเต้าเผาผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดเรียบๆ จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่างที่ถูกปูด้วยเสื่อไม้ไผ่ หันไปรับถั่วเขียวต้มจากสาวใช้น้อยมาทาน แล้วจึงค่อยพูดถึงเรื่องในวังขึ้นมา “เจ้าลองทายดูว่าวันนี้ฮองเฮาเรียกข้าเข้าวังไปคุยเรื่องอะไร”
สืออีเหนียงหันไปมองหยางอี๋เหนียงและไม่ได้พูดอะไรออกมา
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ก็เลยมองตามสายตาของนาง เขาจึงได้สั่งกับคนที่อยู่ในห้องว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน!”
เมื่อสาวใช้ได้ยินว่าท่านโหวเอ่ยถึงฮองเฮา ก็เข้าใจว่าคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงรีบย่อตัวทำความเคารพ ขานรับว่า “เจ้าค่ะ” พากันเรียงแถวถอยออกจากห้องชั้นในไป หยางอี๋เหนียงเองก็เม้มปากแน่น ทำได้เพียงแค่เดินตามหางแถวถอยออกจากห้องไป
สืออีเหนียงจึงค่อยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮองเฮาทรงรับสั่งอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หันไปมองนางพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “ทรงรับสั่งให้ข้าเข้าวังไปรับตัวหมอตำแยสองคนและหมอหญิงหนึ่งคนกลับมา”
หมอหญิงเผิงที่พูดถึงเมื่อคราวก่อนน่ะหรือ
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “เข้าจวนมาแล้วหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับไปว่า “นางจะต้องกลับไปรับป้ายคู่ที่กรมราชกิจภายในก่อน อีกประเดี๋ยวก็คงจะมาถึง”
สืออีเหนียงเรียกป้าซ่งเข้ามา สั่งให้จัดแจงให้พวกนางไปพักที่ห้องปีกทิศตะวันออก “…ให้เงินตอบแทนเท่ากับที่ไท่ฮูหยินให้ป้าตู้ก็แล้วกัน”
เมื่อป้าซ่งได้ยินว่าฮองเฮาทรงประทานคนมาให้ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อเดินออกจากประตูไปก็เห็นหยางอี๋เหนียงกำลังยืนคุยกับซิ่วเหลียนและอวี้เหมยอยู่ จึงได้กล่าวทักทายไปว่า “ฮองเฮาทรงประทานหมอตำแยมาให้สองคนและหมอหญิงอีกหนึ่งคนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินเจ้าค่ะ บ่าวกำลังขาดคนมาช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเรือน…”
หยางอี๋เหนียงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากท่านป้าไม่รังเกียจว่าข้าทำงานช้า ข้าจะไปช่วยด้วยอีกแรง!”
ป้าซ่งยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “กำลังคิดจะมาขอแรงหยางอี๋เหนียงอยู่เลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปสั่งกับซิ่วเหลียนว่า “เจ้าไปเรียกตงหงที่เรือนของเหวินอี๋เหนียงแล้วก็ซิ่วหยวนที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงมาหน่อย คนที่มาจากวังจะต้อนรับแบบปกติทั่วไปไม่ได้ ให้สาวใช้น้อยที่ซุ่มซ่ามและมือไม้เก้งก้างไปทำไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก จึงจำเป็นต้องไปขอแรงจากสาวใช้ที่ค่อนข้างเป็นงานในเรือนของอี๋เหนียงมาพาพวกเจ้าไปทำความสะอาด”
ซิ่วเหลียนนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นสาวใช้น้อยที่เพิ่งเข้าจวนมาใหม่ ก็ย่อตัวขานรับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จากนั้นก็รีบไปยังเรือนเล็กทางทิศตะวันออกทันที
ป้าซ่งหันไปยิ้มให้กับหยางอี๋เหนียง “หยางอี๋เหนียง พวกเราไปที่เรือนปีกทิศตะวันออกของลานหน้ากันเถิดเจ้าค่ะ!”
หยางอี๋เหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “อืม”
ให้สาวใช้น้อยทำงานแล้วไม่ค่อยไว้วางใจอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าที่ต้องการจะใช้สาวใช้คนสนิทของเหล่าบรรดาอี๋เหนียงก็เพื่อต้องการจะโอ้อวดว่าฮองเฮาทรงรักและเอ็นดูฮูหยินแค่ไหนต่างหาก
บนใบหน้าของนางไม่มีความไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว นางยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปประคองแขนป้าซ่ง “ฮูหยินของเราช่างเป็นที่รักและโปรดปรานของฮองเฮาโดยแท้ ไม่เพียงแต่ทรงประทานคนมาปรนนิบัติรับใช้เท่านั้น แต่ยังทรงประทานหมอตำแยมาให้ถึงสองคนและหมอหญิงอีกตั้งหนึ่งคน ทรงคิดเผื่อฮูหยินเสียรอบด้าน”
ตอนไหนควรเบาเสียงก็ต้องเบาเสียง ตอนไหนควรเสียงดังก็ต้องเสียงดัง “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ฮองเฮายังทรงตรัสอีกว่าหลังจากที่คลอดเสร็จแล้ว ยังทรงให้ฮูหยินไปเลือกแม่นมจากจวนแม่นมอีกด้วย จวนแม่นมเป็นถึงสถานที่ที่เตรียมพระนมไว้สำหรับเหล่าบรรดาองค์ชายในราชสำนักชั้นในทีเดียวเชียวเจ้าค่ะ…”
หยางอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับฟังไปด้วย ในหัวของนางคิดไปถึงเรื่องต่างๆ นานา
หลังจากทางฝั่งไท่ฮูหยินได้ยินข่าวแล้ว ก็ได้มาเจอหน้าทั้งสามคนที่มาจากวังด้วยตัวเอง
หมอตำแยทั้งสองร่างกายค่อนข้างอ้วนกลม ดูเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ ส่วนหมอหญิงเผิงมีรูปหน้าทรงจันทร์เสี้ยวเพราะนางมีคางที่ยื่นออกมาเล็กน้อย ร่างกายผอมและมีสีผิวที่ค่อนข้างดำคล้ำ สวมชุดเป้ยจื่อสีม่วงเข้ม
ไท่ฮูหยินก็ได้กำชับสืออีเหนียงเป็นการส่วนตัวว่า “หมอหญิงแซ่เผิงคนนั้นหากไม่ใช่เพราะโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮา ก็คงจะฝีมือเก่งกาจไม่เบา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การที่ได้มาที่จวนของเราก็ถือว่ามีบุญวาสนาต่อกัน เจ้าเองก็จะต้องให้เกียรติพวกนางด้วย” ไท่ฮูหยินกลัวว่าสืออีเหนียงจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก
จริงๆ ไท่ฮูหยินเองก็ได้หาหมอตำแยสองคนเตรียมไว้ให้สืออีเหนียงตั้งแต่แรกแล้ว
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่วางใจเถิด ในเมื่อเป็นคนที่ฮองเฮาทรงประทานมาให้ ข้าจะกำชับเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ให้ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “ข้าว่าใช้ห้องเอ่อร์ฝังเป็นห้องคลอดก็แล้วกัน”
การคลอดบุตรในสมัยโบราณถือเป็นเรื่องที่ไม่สะอาด ตระกูลที่มีฐานะหน่อยก็จะมีห้องคลอดแยกออกมาต่างหาก
สวีลิ่งอี๋นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบละเอียดอ่อน เขาจึงถามนางว่า “เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าห้องเอ่อร์ฝังไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรนัก แต่หากซ่อมแซมเสียหน่อยก็ถือว่าพอใช้ได้เหมือนกัน “ท่านแม่เป็นคนที่มีประสบการณ์ เชื่อฟังท่านแม่ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
สวีลิ่งอี๋จึงพยักหน้าเบาๆ วันถัดมากลับเห็นสืออีเหนียงเริ่มซ่อมแซมและตกแต่งห้องเอ่อร์ฝัง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา