“ให้โรงเย็บปักถักร้อยช่วยปักนกกระสาสีขาวลงบนม่านผ้าไหมทอสีน้ำเงินหินหรือ” หยางอี๋เหนียงหยุดฝีเข็มในมือลง จ้องมองไปยังป้าหยางด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“เจ้าค่ะ!” ป้าหยางพยักหน้าเบาๆ “โรงเย็บปักถักร้อยหยุดงานในมือทุกงาน แม้แต่ชุดอ่าวเล็กที่กำลังทำให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ของฮูหยินห้าก็ถูกหยุดปักไปด้วย ช่างปักเย็บต่างก็พากันรีบปักม่านให้กับฮูหยิน ได้ยินมาว่าฮูหยินเป็นคนออกแบบและวาดลายของผ้าม่านเองกับมือเลยเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงมักจะเย็บปักถักร้อยอยู่เสมอ เวลาที่อุปกรณ์ขาดไป ป้าหยางก็จะไปยืมด้าย ยืมเข็ม ปลอกนิ้วเย็บผ้าหรืออื่นๆ ที่โรงเย็บปักถักร้อยเสมอ จนคุ้นเคยกับคนในโรงเย็บปักถักร้อยไม่น้อย
“คนในโรงเย็บปักถักร้อยเล่าว่าฮูหยินย้ายเตียงสีดำเงาฝังด้วยแร่หินกลีบขาวที่ช่วยในเรื่องสมดังปรารถนาไปไว้ที่ห้องคลอด” ป้าหยางเล่าต่อไปว่า “ฮูหยินก็เลยใช้ม่านสีน้ำเงินหินเพื่อให้เข้ากัน แต่มันดูโล่งๆ ไม่ค่อยมีลวดลาย จึงได้ให้ช่างปักช่วยปักลายนกกระสาสีขาวลงไปหนึ่งแถวเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงอดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น “ท่านโหวรู้เรื่องแล้วหรือยัง”
“รู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ” ป้าหยางตอบกลับเสียงเบา “ได้ยินมาว่าท่านโหวยังให้จี้ถิงย้ายกระถางดอกเบญจมาศที่มีชื่อเสียงไปเรียงไว้บนขอบหน้าต่างด้วยเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงก้มหน้าลงไปมองลายปักรูปเด็กน้อยที่กำลังปักถึงช่วงท้องที่กลมโต ไม่ได้พูดอะไรต่อ
อีกไม่กี่วันสืออีเหนียงก็จะเป็นแม่คนแล้ว และบางทีอาจจะให้กำเนิดบุตรเอกเสียด้วยซ้ำ…หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงว่าไท่ฮูหยินและท่านโหวจะยินดีปรีดาแค่ไหน และถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรสาว สำหรับท่านโหวที่ค่อนข้างขาดแคลนทายาทแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่แพ้กันเลย ถึงเวลานั้น เกรงว่าท่านโหวจะยิ่งโปรดปรานและเอาใจสืออีเหนียงเข้าไปใหญ่ ดูจากฝีไม้ลายมือของสืออีเหนียงแล้ว ผ่านไปอีกสักสามถึงห้าปีก็คงจะไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้อีก
ทั้งๆ ที่ตนอายุน้อยกว่าสืออีเหนียงเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในหัวของหยางอี๋เหนียงก็ปรากฏใบหน้าที่งดงามและดวงตาที่กลมโตสุกใสของซิ่วเหลียนขึ้นมา
ผ่านไปอีกสักสามถึงห้าปี ตนก็จะกลายเป็นสาวแก่แล้ว
ถึงตอนนั้นหากสืออีเหนียงยังทิ้งตนให้เหี่ยวเฉาเช่นนี้ต่อไป อายุของนางก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนางจะทำอย่างไรดี ถึงแม้ว่าเวลานั้นนางจะสามารถทำให้สืออีเหนียงใจอ่อนลงได้ ยอมให้นางปรนนิบัติรับใช้ท่านโหว แต่นางก็ไม่มีความดีความชอบในการเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองของท่านโหว อีกทั้งยังไม่มีสายสัมพันธ์ของการให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวที่แน่นแฟ้น ต้องอาศัยเพียงแค่ความเสน่หาเท่านั้น นางจะสามารถมัดใจท่านโหวได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ ก็อย่าไปพูดถึงเรื่องที่จะมีบุตรชายและบุตรสาวเลย
หยางอี๋เหนียงพลันนึกถึงฉินอี๋เหนียงที่เสียไปขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะนางวาสนาดีคลอดบุตรชายคนโตได้ นางจะมีสิทธิ์ขึ้นมานั่งเสมอกับเหวินอี๋เหนียงที่ทั้งฉลาดหลักแหลมและมากความสามารถได้อย่างไรกัน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา จึงวางผ้าปักในมือลง
ตนอายุยังน้อย หน้าตาสะสวย ร้องรำทำเพลงก็ได้ อีกทั้งยังถูกพระราชทานจากไทเฮา หากเปลี่ยนให้นางไปนั่งอยู่บนตำแหน่งของสืออีเหนียงแทน เกรงว่าก็คงจะต้องคิดหาวิธีทิ้งอี๋เหนียงเหล่านั้นให้เหี่ยวเฉาก่อน รอให้ดอกมันเฉาแล้วค่อยเอาไปแช่น้ำ ถึงเวลานั้น ดอกมันก็จะไม่สามารถออกดอกออกผลได้อีก ยิงทีเดียวได้นกสองตัว ผลพลอยได้ดีถึงขนาดนี้แล้วเหตุใดจะไม่ไปลงมือทำเล่า
ป้าหยางที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นสีหน้าของหยางอี๋เหนียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงเรียกนางเสียงเบาด้วยความระมัดระวังว่า “อี๋เหนียง!” แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ตั้งแต่อี๋เหนียงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาปักผ้าห่อตัวให้กับฮูหยินทั้งวันทั้งคืนด้วยความแน่วแน่ อารมณ์จิตใจของอี๋เหนียงก็ยิ่งอยู่ยิ่งเปราะบางและใจร้อนเป็นอย่างมาก ไม่สุขุมและหนักแน่นเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“เรื่องบางเรื่องก็รีบไม่ได้เจ้าค่ะ” ป้าหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองหยางอี๋เหนียงด้วยความงุ่มง่าม “ตอนนั้นไทเฮาทรงมอบอี๋เหนียงให้กับท่านโหวโดยที่ไม่ทรงตรัสกับฮูหยินสักคำ นางเป็นถึงภรรยาเอก ก็ย่อมไม่ชอบใจเป็นธรรมดา แถมท่านโหวและตระกูลของเราก็เคยมีความบาดหมางอยู่ด้วย ก็ย่อมไม่ช่วยท่านพูดเข้าไปใหญ่ คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่ท่านเคยพูดกับบ่าวเมื่อตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในจวน ท่านยังจำมันได้หรือไม่”
หยางอี๋เหนียงชะงักไปชั่วขณะ
ป้าหยางพูดต่อไปว่า “หากจะให้พูดเป็นหลักเป็นการบ่าวก็พูดไม่เป็น แต่บ่าวรู้สึกว่าหัวใจของคนเรามันทำมาจากเลือดเนื้อเชื้อไข ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในจวนสกุลสวี ท่านก็ควรทำตามกฎเกณฑ์ของที่นี่ ให้เกียรติและอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ฮูหยินก็จะค่อยๆ สนิทสนมกับท่านขึ้นมา ท่านดูอย่างเหวินอี๋เหนียง! ฮูหยินมอบหมายบัญชีทั้งหมดของเรือนชั้นในให้นางเป็นคนดูแล อีกทั้งยังปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่ราวกับว่าเป็นลูกแท้ๆ ของนางเอง หาคู่ครองที่ดีให้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ยังช่วยคุณหนูใหญ่ไปขอค่าสินเดิมจากท่านโหวอีกด้วย บอกว่าบุตรสาวแต่งงานออกเรือนนั้นไม่เหมือนกับบุตรชาย บุตรชายให้ความสำคัญกับการสร้างฐานะและอาชีพการงาน ดูแลและปกป้องวงศ์ตระกูล มีศักดิ์ศรี มีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานไม่ขอเงินทองจากบิดามารดา บุตรสาวแต่งงานออกเรือนไปอยู่บ้านของคนอื่น ไม่สามารถออกไปพบปะผู้คนหรือออกมาจัดการเรื่องทั่วไปได้อย่างอิสระ หากในมือไม่มีเงินส่วนตัวสักก้อน ล้วนต้องอาศัยสามีทั้งสิ้น ก็จะต้องคอยรับสีหน้าและอารมณ์ของผู้อื่น แล้วจะเดินเชิดหน้าชูตาอย่างสง่าผ่าเผยได้อย่างไรกัน ท่านโหวฟังแล้วก็ตัดสินใจเพิ่มสินเดิมให้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์อีกหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ทุกอย่างล้วนเกิดจากการที่เหวินอี๋เหนียงปฏิบัติต่อฮูหยินด้วยความระมัดระวังและถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสมอมา รวมไปถึงไมตรีที่ฮูหยินมอบให้กับเหวินอี๋เหนียง อี๋เหนียงควรทำใจให้กว้าง รอให้ฮูหยินรู้ตัวตนที่แท้จริงว่าท่านเป็นคนอย่างไรแล้ว ฮูหยินก็จะปฏิบัติต่ออี๋เหนียงดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงรู้ดีว่าป้าหยางของตนเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ เรื่องบางเรื่องถึงแม้จะอธิบายให้นางฟังนางก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้เบาๆ จากนั้นก็ให้นางไปช่วยรินน้ำชามาให้ตัวเอง แล้วหันไปมองต้นไม้ใบหญ้าในลานสวนที่ยังคงเขียวชอุ่มเหมือนเช่นเคยด้วยอาการเหม่อลอย
ผ่านไปเพียงไม่นาน ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นก็ค่อยๆ เริ่มเหลือง แห้งเหี่ยวและร่วงโรย…จากนั้นก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า หลังจากที่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูฝนผ่านไป ในที่สุดก็จะค่อยๆ ย่อยสลายไปกับดินธุลี
*****
บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างถูกปูทับด้วยเบาะรองนั่งสีน้ำเงิน ขอบหน้าต่างประดับด้วยกระถางดอกเบญจมาศสีแดงหนึ่งกระถางและสีเหลือหนึ่งกระถาง หลังคาเตียงหกเสาที่ตั้งชิดกับผนังห้อง ปกคลุมด้วยม่านเตียงสีน้ำเงิน บนผ้าม่านปักด้วยลายนกกระสา ตะขอรูปดอกไห่ถังสีเงินเกี่ยวกับม่านของแต่ละเอาฝั่งไว้ ตรงข้ามกับเตียงมีเก้าอี้ไท่ซือวางไว้สองตัว ส่วนด้านข้างเป็นฉากบานพับ ด้านหลังของฉากบานพับคือห้องชำระขนาดเล็ก
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังผนังกำแพงปูนขาวที่อยู่ระหว่างเตียงและเตียงเตา “แขวนฉากภาพวาดสี่ฉากไว้ตรงผนังห้อง เอาโต๊ะวางแจกันมาวางต้นหมี่หลานหนึ่งตัว แล้วก็เอาโต๊ะวางแจกันมาอีกจำนวนหนึ่งไว้วางต้นตงชิง เพิ่มเก้าอี้จิ่นอู้อีกจำนวนหนึ่งด้วย ถึงเวลานั้นพอมีคนมาเยี่ยม ก็จะได้มีที่ทางให้นั่ง”
สะใภ้จี้ถิงยิ้มพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พาเหล่าบรรดาป้ารับใช้ไปขนต้นหมี่หลานและต้นตงชิง
จู๋เซียงพาเหล่าบรรดาสาวใช้น้อยไปเปิดโรงเก็บของเพื่อขนฉากภาพวาดแขวนผนัง โต๊ะวางแจกันและเก้าอี้จิ่นอู้
ส่วนสืออีเหนียงและป้าซ่งก็ไปยังเรือนหลัก
หมอตำแยทั้งสองที่มาจากวังก็ได้พูดกับหมอตำแยที่ไท่ฮูหยินว่าจ้างมาว่าท้องของสืออีเหนียงลงต่ำแล้ว เกรงว่าคงจะคลอดเร็วๆ นี้ สืออีเหนียงก็เอาแต่จ้องมองหน้ากระจกอยู่นานสองนาน แต่ก็มองไม่ออกว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
ป้าซ่งประคองสืออีเหนียงขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้ถามไถ่ถึงเรื่องงานแต่งของลี่ว์อวิ๋นขึ้นมา
“ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว ถือว่าเป็นตระกูลที่ค่อนข้างมีฐานะ”
ป้าซ่งชงน้ำชามาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากว่าไม่ดี บ่าวก็ไม่กล้าเอ่ยกับฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็เรียกมารดาของลี่ว์อวิ๋นมาปรึกษาหารือก็แล้วกัน”
ป้าซ่งจึงขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน หยางอี๋เหนียงมาขอพบเจ้าค่ะ!”
ช่วงนี้หยางอี๋เหนียงขยันไปมาหาสู่ที่เรือนของสืออีเหนียงค่อนข้างบ่อย นางมักจะมาชวนคุยเรื่องทั่วไป ช่วงแรกๆ นางก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปของครอบครัวนางเท่านั้น หลายวันมานี้ หยางอี๋เหนียงกลับเอาแต่พูดถึงเรื่องยากจนสมัยตอนที่นางยังเป็นเด็กหรือเรื่องที่มารดารักและเอาใจน้องชายของนางมากขนาดไหน
ช่วงนี้ธุระในจวนก็มากมายก่ายกองอยู่แล้ว สืออีเหนียงจึงไม่สามารถจะไปร่วมรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ ‘เรื่องเศร้าสลด’ ของนาง สืออีเหนียงฟังนางเล่าเพียงไม่กี่คำก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเพื่อให้นางกลับเรือนไป
อาจารย์เจี่ยนและชิวจวี๋ก็เข้ามาหาพอดี
ทั้งสองถือถุงผ้าใบใหญ่มาด้วยสองห่อ
“ร้านค้าของเรามีช่างปักผ้าตั้งห้าสิบคน จะให้หญิงท้องแก่อย่างเจ้าลงมือตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเองกระนั้นหรือ” อาจารย์เจี่ยนพูดขึ้นพลางให้ชิวจวี๋เปิดถุงผ้าออก ทั้งเตียงเตาพลันเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเด็ก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝีไม้ลายมือที่ละเอียดอ่อน แค่สีสันที่แพรวพราว ทั้งโดดเด่นและตระการตา เมื่อมองดูแล้วก็พลอยทำให้ตาลายไปหมด
“ใช้จนถึงห้าขวบเลยกระมัง” ชิวจวี๋ได้ยินแล้วก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
ชิวจวี๋ตัวสูงขึ้นไม่น้อย ใบหน้าและแววตาของนางไร้ซึ่งความหวาดกลัวเหมือนตอนที่เป็นสาวใช้ สีหน้าของนางแลดูผ่องใสเป็นอย่างมาก
นางกำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาการหมั้นและการสู่ขอ ฝ่ายชายเป็นสหายคนสนิทของอาจารย์เจี่ยน อาศัยอยู่ที่เจียงหนาน ที่บ้านเปิดร้านผ้าปักเล็กๆ อยู่ที่หูโจว ทั้งสองถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเป็นอย่างมาก อาจารย์เจี่ยนยื่นข้อเสนอให้ทางฝ่ายชายแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ทางครอบครัวฝ่ายชายค่อนข้างลังเลใจเล็กน้อย เรื่องนี้จึงส่งผลให้งานแต่งล่าช้าไป
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ตกตะลึง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คงจะไม่ได้ทิ้งการทิ้งงานแล้วหันมาตั้งหน้าตั้งตาเสียเวลาทำของเหล่านี้หรอกกระมัง”
อาจารย์เจี่ยนจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ชิวจวี๋เป็นคนช่วยทำทั้งหมด” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่แน่บางทีอนาคตเราอาจจะทำเสื้อผ้าเด็กออกมาขายโดยเฉพาะก็เป็นได้”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา
คำพูดของอาจารย์เจี่ยนสามารถเป็นจริงได้ในอีกไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า แต่ตอนนี้กลับยังทำไม่ได้
คนที่มีกำลังซื้อมากพอก็ล้วนมีโรงเย็บปักถักร้อยเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่มีกำลังซื้อก็จะนำเอาเสื้อผ้าที่คนโตเคยใส่มาให้คนเล็กใส่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคำพูดที่ว่า ‘เด็กเล็กยังไม่รู้ความสวมใส่อะไรก็ย่อมได้ พอโตแล้วรักสวยรักงามเป็นก็ค่อยมาแต่งเนื้อแต่งตัว’
จู๋เซียงให้ชิวอวี่ไปยกหีบมาสองใบ เพื่อจัดเก็บเสื้อผ้าทารกเหล่านี้
อาจารย์เจี่ยนถามไถ่ถึงสถานการณ์ของสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับทางร้าน เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมาสักพักแล้ว จึงบอกว่าที่ร้านยังมีงานที่ต้องจัดการ ก็เลยขอตัวกลับไปพร้อมกับชิวจวี๋
เดี๋ยวนี้อาจารย์เจี่ยนไม่ค่อยปักผ้าแล้ว แต่งานปักทุกผืนจะต้องผ่านการตรวจสอบจากนางก่อนที่จะออกขาย เวลานี้เป็นเวลาตรวจสอบงานปักพอดี สืออีเหนียงจึงไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ ให้จู๋เซียงออกไปส่งนางที่ประตูฉุยฮวา แล้วหันไปเรียกชิวอวี่ ซิ่วเหลียน อวี้เหมยและคนอื่นๆ มาช่วยกันเก็บเสื้อผ้า
ไม่นาน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาคารวะสืออีเหนียงพอดี
เป็นเด็กผู้หญิง ไหนเลยจะไม่ชอบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้กัน
นางค่อนข้างประหลาดใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยชิวอวี่พับผ้าไปหลายตัว
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเลิกเรียนกลับมาพอดี ทั้งสองดูตื่นเต้นและสนอกสนใจเป็นอย่างมาก สวีซื่อเจี้ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “น้องชายยังไม่คลอดเลย หากเสื้อผ้าตัวเล็กเกินไปจะทำอย่างไรหรือขอรับ”
สืออีเหนียงเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สวีซื่อจุนก็ได้พูดขึ้นว่า “ดังนั้นจึงทำทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่มามากมายขนาดนี้ ถึงได้เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้อย่างไรเล่า”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง “พี่สี่ฉลาดจังเลย”
ทำเอาสืออีเหนียงขำจนตัวโยน น้ำตาเล็ดไปหมด
เมื่อถึงเวลาไปทานอาหารที่เรือนของไท่ฮูหยิน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ไท่ฮูหยินฟัง พลอยทำให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าหัวเราะจนหยุดไม่ได้ แม้แต่ฮูหยินสองเองก็ยังแอบเผยรอยยิ้มออกมาด้วย
ชั่วประเดี๋ยวเดียวเวลาก็ผ่านพ้นมาจนถึงต้นเดือนสิบ คนในจวนก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นไปตามๆ กัน ไท่ฮูหยินเองก็ได้ไปจุดธูปแรกในเช้าของวันหนึ่งค่ำที่วัดฉือหยวน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในช่วงใกล้คลอดหรือว่าเป็นเพราะการกระทำของคนรอบข้าง ส่งผลให้สืออีเหนียงเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา
กลางดึก สวีลิ่งอี๋ก็ถูกสืออีเหนียงที่พลิกตัวไปมาไม่หยุดจนทำให้ตื่น สวีลิ่งอี๋เลยกอดนางไว้ในอ้อมแขน “เป็นอะไรไป”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
การที่จะพูดออกมาว่ากลัวลูกคลอดออกมาไม่มีแขนไม่มีขา หรือกลัวว่าลูกของตัวเองจะเกิดภาวะปัญญาอ่อนเพราะขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด…ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นสิริมงคลทั้งนั้น แต่กลับไม่สามารถเอาความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัวได้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นหมอตำแยที่มาจากวังให้ป้าซ่งเตรียมกรรไกรเล่มใหม่ นางเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง สมัยโบราณมีเด็กทารกเสียชีวิตจากการใช้กรรไกรไปตัดสายสะดือแล้วเกิดการติดเชื้อจำนวนมาก
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางเงียบไป เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ เขากอดนางอย่างเงียบๆ หอมหน้าผากของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยนนาง
ด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่น สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป