เมื่อฟ้าใกล้สว่าง จู่ๆ สืออีเหนียงก็ตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกปวดท้อง
นางรีบเขย่าตัวสวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ “ท่านโหวเจ้าคะ… “
ทันทีที่สืออีเหนียงขยับตัว สวีลิ่งอี๋ก็ตื่นพอดี ยามที่นางพึ่งจะเอ่ยเรียกเขา เขาก็รีบถามว่า “มีอะไรหรือ”
“ข้าปวดท้อง”
ลองนับวันดูก็ถึงเวลาคลอดแล้ว หากเป็นกรณีอื่นไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ลูกคนแรกนั้นจะตั้งครรภ์นานหน่อย แต่หมอตำเเยและหมอหญิงล้วนแต่เฝ้าอยู่ลานข้างหน้า
สวีลิ่งอี๋สวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น “ข้าไปเรียกคนเข้ามา!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมใจเย็น
สืออีเหนียงสงบสติอารมณ์ บอกให้สาวใช้เรียกหู่พั่วเข้ามา “ประเดี๋ยวเจ้าไปห้องคลอดกับข้า”
หู่พั่วตื่นเต้นตกใจ นางขานรับ “เจ้าค่ะ” ซ้ำไปซ้ำมา
ขณะที่กำลังพูดคุย ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ หายไป สืออีเหนียงแต่งหน้าแต่งตัว
หมอตำเเยสองคนที่มาจากพระราชวังรออยู่ข้างหน้า หมอหญิงเผิง รวมทั้งหมอตำแยที่ไท่ฮูหยินเชิญมา ป้าเถียนและป้าวั่นก็เดินตามมาติดๆ พากันเดินเข้าไปในห้องข้างใน
สืออีเหนียงเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาอีกครั้ง
หมอตำเเยคนหนึ่งจับท้องของนางเบาๆ แล้วพูดว่า “ไปห้องคลอดเถิดเจ้าค่ะ! น่าจะใกล้คลอดแล้วเจ้าค่ะ”
หมอหญิงเผิงได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไปจับชีพจรของสืออีเหนียง นางพยักหน้า “ใกล้คลอดแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า พักผ่อนบนเตียงเตาครู่หนึ่ง หลังจากหายปวดท้องแล้ว ป้าเถียนและป้าวั่นก็ประคองนางไปที่ห้องคลอด
ตอนนี้ไท่ฮูหยินรู้ข่าวแล้ว ป้าตู้ประคองนาง มีสาวใช้ล้อมรอบเดินไปที่เรือนหลัก ทันทีที่เห็นสวีลิ่งอี๋ยืนอยู่ใต้ชายคา นางก็รีบเอ่ยถาม “เป็นเช่นไรแล้ว”
“บอกว่าใกล้คลอดแล้วขอรับ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พูดปลอบใจสวีลิ่งอี๋ “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้คงจะยังไม่คลอด” นางครุ่นคิดแล้วพูดอีกว่า “เราไปนั่งรอข้างในกันเถิด!”
“ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”
ไท่ฮูหยินส่ายหน้า “ข้าอยู่ที่เรือนก็ไม่สบายใจ ไม่สู้เฝ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า” นางหันไปบอกป้าตู้ “เจ้าไปถามที่ห้องคลอด ไปดูว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว”
ป้าตู้ยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ห้องคลอด
สวีลิ่งอี๋ประคองไท่ฮูหยินไปนั่งที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกของเรือนหลัก สาวใช้ยกของว่างเข้ามา เขาบอกให้ผู้ดูแลไปนำเทียบเชิญไปเชิญหมอหลวงที่สำนักหมอหลวงมาสองคน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ป้าตู้ก็กลับมา “พึ่งจะเริ่มเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพนมมือไหว้ไปทางทิศตะวันตก “ขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครอง ให้นางปลอดภัยและราบรื่นด้วยเถิด”
หลังจากนั้นฮูหยินสองและฮูหยินห้าก็รู้ข่าว แต่เพราะว่าฮูหยินสองเป็นม่าย นางจึงมาไม่ได้ จึงส่งสาวใช้มาถามไถ่แทน แต่ฮูหยินห้ากลับพาป้าสือมาด้วยตัวเอง
“ให้ป้าสือไปดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” ไท่ฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “หากคลอดเร็ว ก็เป็นเรื่องของคืนนี้กับพรุ่งนี้เช้า หากคลอดช้า ก็น่าจะประมาณพรุ่งนี้ยามบ่ายหรือยามเย็น หรืออาจจะยื้อไปจนถึงเช้าวันมะรืน…”
ฮูหยินห้านึกถึงตอนที่ตัวเองคลอดลูก เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้ม “เช่นนั้นข้าให้ป้าสือทานข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยมา ยามเย็นมีป้ารับใช้ที่มีประสบการณ์อยู่เคียงข้าง จะได้ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพูดเสียงเบา “เช่นนั้นยามเย็นก็ให้ป้าสือและป้าตู้อยู่เฝ้าที่นี่เถิด”
ป้าสือยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” กลับไปนอนหลับแล้วกลับมาช่วงเย็นอีกครั้ง ไท่ฮูหยินกำลังนอนพักอยู่ในเรือนหน่วนเก๋อของเรือนหลัก ส่วนท่านโหวเขียนหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือ ป้าสือมาคารวะพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นก็ไปยังห้องคลอด
ห้องคลอดเงียบสงัด หมอตำเเยสองคนที่ไท่ฮูหยินเชิญมานั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียง หู่พั่วนั่งอยู่ข้างเตียง ถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและคอให้สืออีเหนียง ป้าเถียนถือถาดทองแดงรับใช้อยู่ข้างๆ ไม่เห็นป้าซ่ง ป้าวั่น หมอตำเเยสองคนที่มาจากพระราชวังและหมอหญิงเผิง
เมื่อได้ยินเสียง ป้าเถียนก็หันมาพยักหน้าให้ป้าสือเบาๆ
ป้าสือเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า เห็นสืออีเหนียงหลับตาลงราวกับกำลังนอนหลับอยู่
นางกระซิบข้างหูป้าเถียนเบาๆ “เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“น่าจะต้องรอถึงพรุ่งนี้” ป้าเถียนกระซิบตอบ
ป้าสือกำลังจะถามต่ออีก แต่หู่พั่วเงยหน้าขึ้นมาทำท่าทีราวกับจะบอกว่า ‘หยุดพูดได้แล้ว’ ให้พวกนางทั้งสองคน พวกนางจึงเงียบเสียงพร้อมกันทันที เมื่อหู่พั่วเช็ดหน้าให้สืออีเหนียงเสร็จแล้ว ป้าสือก็ออกไปเทน้ำกับป้าเถียน พวกนางถึงมีโอกาสได้พูดคุยกัน
“ฮูหยินสบายดีหรือไม่”
“ฮูหยินกล้าหาญมาก” ป้าเถียนพูดด้วยสายตาที่นับถือ “ใจเย็นกว่าพวกเราเสียอีก บอกว่าในเมื่อจะคลอดพรุ่งนี้ ก็ให้ป้าวั่นและคนที่มาจากพระราชวังไปพักผ่อน แล้วยังบอกว่า ประเดี๋ยวพวกนางจะเหนื่อย ถึงตอนคลอดจะไม่มีชีวิตชีวา นางปวดท้องทั้งวัน มีเวลาก็นอนหลับ ข้าทำไข่ลวกน้ำตาลทรายแดงหกฟอง ฮูหยินทานหมดทั้งไข่ทั้งน้ำแกง”
ป้าสือได้ฟังแล้วก็ตกใจ หลังจากนั้นค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงเป็นคนฉลาด ทำให้พวกนางสบายใจขึ้นไม่น้อย
จากนั้นก็เห็นสาวใช้วิ่งเข้ามา
นางยังไม่ได้พูดอะไร ป้าเถียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยมาดีกว่า!”
สาวใช้คนนั้นก็ยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็วิ่งออกไป
ป้าเถียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นป้าสือมองมาที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ นางยิ้มแล้วอธิบาย “สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียง นางส่งสาวใช้มาถามตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านโหวเห็นเช่นนี้ก็ไม่ว่าอะไร”
ป้าสือได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ “เหวินอี๋เหนียงคนนี้ ไม่เลวจริงๆ”
ป้าเถียนไม่รู้จะพูดอะไร เพียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
เหวินอี๋เหนียงนอนหลับไปอย่างสบายใจ
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับนึกถึงตอนที่ตัวเองตั้งครรภ์ คนทั้งจวนปฏิบัติกับนางเช่นไร หากสืออีเหนียงคลอดบุตรชาย ลานข้างหลังนี้ คงจะกลายเป็นสวรรค์ของนางนานกว่าสิบปี
คิดเช่นนี้ นางก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ฮูหยินจะคลอดพรุ่งนี้?” หยางอี๋เหนียงมองดูโคมไฟแล้วพูดเบาๆ
“ลูกคนแรกก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ” ป้าหยางยิ้ม “คลอดพรุ่งนี้ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป”
หยางอี๋เหนียงเม้มปากด้วยสีหน้าที่สับสน
ป้าหยางเห็นเช่นนี้ก็ไปตักน้ำเข้ามา “อี๋เหนียงเจ้าคะ ดึกมากแล้ว ท่านล้างหน้าล้างตาแล้วนอนพักผ่อนเถิด! หากฮูหยินคลอดพรุ่งนี้เช้า ท่านยังต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับนางนะเจ้าคะ!”
หยางอี๋เหนียงตอบเพียง “อืม” อย่างใจลอย แต่กลับไม่ขยับตัวไปไหน
“อี๋เหนียงเจ้าคะ!” ป้าหยางเรียกนางเบาๆ
หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ได้สติกลับมา เปิดปากเอ่ยถาม “ท่านโหวเล่า ท่านโหวทำอะไรอยู่”
ป้าหยางได้ฟังคำถามแล้วก็งุนงง เอ่ยตอบ “ท่านโหวอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” นางหยุดครุ่นคิด จากนั้นก็พูดอีกว่า “เมื่อครู่ตอนที่สาวใช้ออกไปดู บอกว่าไฟในห้องหนังสือยังสว่างอยู่เจ้าค่ะ”
ห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋อยู่ทางห้องปีกทิศตะวันตกของเรือนหลัก ห้องคลอดของสืออีเหนียงอยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝังทางทิศตะวันตกของเรือนหลัก
หยางอี๋เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เหวินอี๋เหนียงเล่า เหวินอี๋เหนียงนอนแล้วหรือยัง”
“น่าจะนอนแล้วเจ้าค่ะ!” ป้าหยางพูด “บ่าวเห็นประตูเรือนเหวินอี๋เหนียงปิดตั้งแต่เช้าแล้ว”
ป้าหยางรับใช้หยางอี๋เหนียงล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็หยางอี๋เหนียงก็พูดว่า “เจ้าบอกให้สาวใช้นำโคมไฟมา ข้าจะไปดูที่เรือนหลัก”
“อี๋เหนียงเจ้าคะ” ป้าหยางตกใจ “เหวินอี๋เหนียงนอนแล้ว เฉียวเหลียนฝังก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร…” พูดจบ นางก็พูดอีกว่า “อี๋เหนียงอยากไปดูท่านโหวหรือเจ้าคะ” นางทำท่าทีไม่พอใจ “ฮูหยินกำลังจะคลอด ท่านโหวจะมีอารมณ์ได้เช่นไรเจ้าคะ…แล้วหากฮูหยินรู้เข้า…”
“ข้ารู้” หยางอี๋เหนียงขัดจังหวะคำพูดของป้าหยาง นางถอดเสื้อคลุมสีแดงออกเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาว สวมกระโปรงสีฟ้าตัวเดิม จากนั้นสาวใช้ก็ประคองนางเดินไปที่เรือนหลัก
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเสียงกลอง เขาพูดกับสาวใช้ที่คอยรับใช้ “ยามใดแล้ว”
สาวใช้รีบวิ่งไปดูนาฬิกาไขลานที่เรือนหน่วนเก๋อ “ท่านโหวเจ้าคะ ตอนนี้เป็นยามซวีเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปดูสิว่าฮูหยินนอนแล้วหรือยัง”
สาวใช้ตอบรับแล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋เอียงหูคอยฟังเสียง
มีเสียงกระซิบกระซาบดังจากในลาน
เกิดอะไรขึ้น
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนไป เขารีบเดินออกไปจากห้องหนังสือ ก็เห็นรูปร่างสีขาวกำลังยืนคุยกับสาวใช้สองคนอยู่ตรงมุมทางเดินเรือนหลัก
“เกิดอะไรขึ้น!” เขาขมวดคิ้ว
น้ำเสียงที่น่าเกรงขามของเขาทำให้พวกนางทั้งสามคนตกใจ
รูปร่างสีขาวคนนั้นได้สติกลับมาก่อน นางเดินเข้ามาคำนับสวีลิ่งอี๋ “ข้าได้ยินว่าฮูหยินยังไม่คลอดเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย “ท่านโหวสบายดีหรือไม่เจ้าคะ!”
น้ำเสียงนั้นไพเราะและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์
หยางอี๋เหนียง!
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋พลันเย็นชา
หยางอี๋เหนียงรู้สึกว่ามีสายตาที่เฉียบแหลมราวกับใบมีดมองมาที่ตัวเอง ทำเอานางรู้สึกสั่นสะท้าน
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ฮูหยินเป็นคนมีวาสนา ต้องปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแน่นอนเจ้าค่ะ” นางเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ในใจ จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย “ตอนแรกข้าก็เป็นห่วง แต่ได้ยินซิ่วเหลียนพูดจึงรู้ว่าเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นข้าเองที่ไม่มีความรู้” พูดจบ น้ำเสียงของนางก็แฝงเอาไว้ด้วยความไม่สบายใจ “ข้ากำลังจะกลับเรือน คิดไม่ถึงว่าจะรบกวนท่านโหว…”
“พรุ่งนี้ฮูหยินถึงจะมีข่าว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แต่ความเย็นชาในสายตาของเขากลับค่อยๆ จางหายไป
หยางอี๋เหนียงก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาฮูหยินใหม่ดีกว่าเจ้าค่ะ!”
นางยืนขึ้นคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยท่าทีที่สง่างามพร้อมทั้งสีหน้าอ่อนโยน
หยางอี๋เหนียงคำนับสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบเสียง
สายตาของสวีลิ่งอี๋มองไปที่ห้องเอ่อร์ฝังทางทิศตะวันตก
มีสาวใช้ออกมาจากห้องเอ่อร์ฝังพอดี
“ท่านโหวเจ้าคะ ป้าเถียนบอกว่า ฮูหยินพึ่งจะหลับไปเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋โล่งใจ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย
*****
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้นานแค่ไหน
ความเจ็บปวดนี้ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด เจ็บขึ้นมาเป็นพักๆ ทำเอานางรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเรียกหู่พั่ว
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบแห้ง
หู่พั่วรีบเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง “ฮูหยิน มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมให้หมอตำเเยใช้สุราเซาเตาเช็ดกรรไกรสักสองสามครั้ง…”
ป้าเถียนบอกว่าให้ฮูหยินพักผ่อน ตอนคลอดจะได้มีแรง
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดจบ หู่พั่วก็พูดแทรก “เรื่องที่ท่านบอก บ่าวจำไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ ต้องใช้สุราเซาเตาเช็ดกรรไกร ผ้าทั้งหมดต้องนำไปต้มในน้ำเดือด เมื่อหมอตำเเยมาตรวจดูท่าน ต้องใช้น้ำเกลือล้างมือก่อน…”
หู่พั่วเป็นห่วงสืออีเหนียง นอนไม่หลับทั้งคืน จึงคอยเฝ้านางอยู่ตลอด สีหน้าของนางดูเหนื่อยล้า
สืออีเหนียงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีกแต่กลับเม้มปากแน่น
หู่พั่วรู้ว่านางปวดท้องอีกแล้ว จึงพูดกับสืออีเหนียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสืออีเหนียง “ไท่ฮูหยินอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อตลอดเจ้าค่ะ ฮูหยินห้าทานข้าวเช้าเสร็จก็มาแล้ว ได้ยินชิวอวี่บอกว่า ไฟในห้องหนังสือสว่างทั้งคืน เมื่อคืน หยางอี๋เหนียงก็มาหาท่าน แต่เจอกับท่านโหว ได้ยินว่าท่านนอนหลับไปแล้ว จึงกลับไปก่อนเจ้าค่ะ… แล้วยังมีเหวินอี๋เหนียง ส่งสาวใช้มาถามตั้งแต่แล้วเช้าเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงพยายามไม่สนใจความเจ็บปวด ฟังหู่พั่วเล่าเรื่องพวกนี้
“เมื่อคืนป้าตู้ก็อยู่ดูแลข้าที่นี่ ไท่ฮูหยินก็นอนที่เรือนของข้า เช่นนั้นใครดูแลจุนเกอกับเจี้ยเกอเล่า”
“เมื่อคืน คุณชายห้าพาคุณชายน้อยสี่ไปอยู่ที่เรือนเขาเจ้าค่ะ ส่วนคุณชายน้อยห้าสะใภ้หนานหย่งเป็นคนดูแลเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หมอตำเเยเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สะใภ้ก่วนชิง ข้ามาดูฮูหยิน”
หู่พั่วลุกขึ้นยืนหลีกทางให้หมอตำเเยคนนั้น
จากนั้นก็ได้ยินหมอตำเเยคนนั้นพูดว่า “ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว!” ด้วยสีหน้าที่ตกใจ