สายตาของทุกคนมองไปทั่ว สุดท้ายตกอยู่บนตัวของขันทีจิ้นจง
ผมของขันทีชราที่ถูกสางอย่างเป็นระเบียบในเดิมทีแผ่สยาย มือที่ยกไว้ด้านหน้าตบเบาๆ ไม่พูดสิ่งใด
เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง ขันทีข้างกายของฮ่องเต้ล้วนมีฝีมือ วันนี้ถือว่าได้เห็นกับตาแล้ว
ฮ่องเต้มองไปทางองค์รัชทายาทโดยไม่พูดสิ่งใด
สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนจากดำทะมึนเป็นซีดเผือด
ฉู่ซิวหยงที่ยืนอยู่ด้านข้างหลุบตาลง ใช้หมอหลวงที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์มาเปลี่ยนยา สะดวกต่อการหลุดพ้นจากข้อสงสัย แต่การใช้ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายนับปีคงไม่อาจหลุดพ้นจากข้อสงสัยได้ง่ายนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจของฮ่องเต้เกิดความสงสัยอยู่แล้ว เมื่อนำหลักฐานออกมา ทำให้ฮ่องเต้หมดซึ่งหนทางในการหลบหนีอีก
…
ทุกคนในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ล้วนถอยออกไป ภายในตำหนักเงียบสงัด
องค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ได้ตัวอ่อนราวกับดินโคลนเหมือนกับหมอหลวงและขันทีฝูไฉที่ถูกลากออกไป อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ได้ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้
เขาก้มหน้ามองกระเบื้องเงาตรงหน้า บนกระเบื้องสะท้อนใบหน้าที่เลือนรางของฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเตียง
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทไม่พูดสิ่งใด ฮ่องเต้ถามเสียงเย็น “เจ้าไม่อยากพูดสิ่งใดเลยหรือ”
“ก่อนหน้านี้กระหม่อมคิดอยากจะพูด” องค์รัชทายาทพูดเสียงเบา “อาทิกระหม่อมไม่เชื่อใจยาที่หมอหลวงจางปรุงแล้ว ดังนั้นจึงให้หมอหลวงเผิงคิดค้นยาใหม่ อยากจะทดลองประสิทธิภาพ ไม่ได้ต้องการปองร้ายเสด็จพ่อ ส่วนฝูไฉ เพราะเขาแค้นที่กระหม่อมลงโทษเขาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องการใส่ร้ายกระหม่อม”
ฮ่องเต้ยิ้ม “พูดได้ดีไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่พูด”
องค์รัชทายาทก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน “กระหม่อมตระหนักได้แล้ว เสด็จพ่อทรงเอ่ยว่าพระองค์ทรงฟื้นมานานแล้ว ทรงสามารถพูดได้นานแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่ได้สติ ทรงไม่ยอมบอกกระหม่อม เห็นได้ชัดว่าในพระทัยของเสด็จพ่อมีข้อสรุปแล้ว”
ฮ่องเต้ปัดชามยาตรงหน้าลงพื้น แผ่นกระเบื้องแตกละเอียด ยาสีดำกระเซ็นใส่ตัวและใบหน้าขององค์รัชทายาท
“เจ้าหันกลับมาโทษข้าระแวงเจ้าอย่างนั้นหรือ!” ฮ่องเต้ทรงตะโกนด้วยความโกรธ “ฉู่จิ่นหยง เจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน!”
พูดถึงตรงนี้เลือดลมก็ตีขึ้น เขากุมหน้าอกเอาไว้ เพื่อไม่ให้ความเจ็บปวดที่แสนทุกข์ทรมานทำให้เขาเป็นลมไป หัวใจกอบกุมเอาไว้แล้ว แต่น้ำตาก็หลั่งไหลออกมา
“ข้าป่วยนานเพียงนี้ ประสบเรื่องผิดปกติมากมายเพียงนี้ คราวนี้ฟื้นขึ้นมาจึงไม่ต้องการรีบร้อนให้ผู้อื่นรู้ เพียงแค่อยากคิดและดูเสียก่อน ไม่คิดว่าจะเห็นในสิ่งที่ข้าไม่อยากเห็นที่สุด!”
“เจ้านะเจ้า เป็นเจ้าเองหรือ ข้าทำผิดต่อเจ้าหรือ เจ้าถึงกับอยากฆ่าข้า”
ประโยคสุดท้ายของฮ่องเต้ไม่ใช่คำแทนตัวเองแบบฮ่องเต้ หากแต่ใช้คำสามัญ คอที่เกร็งขององค์รัชทายาทค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขายกมือปิดหน้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่อยาก กระหม่อมไม่คิด…”
“เจ้าไม่คิด แต่เจ้าทำสิ่งใดลงไป” ฮ่องเต้ตวาด น้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า “ข้าป่วยจนหมดสติ เจ้าในฐานะองค์รัชทายาท ในฐานะมกุฎราชกุมาร ข้าไม่โทษที่เจ้ารังแกพี่น้องของเจ้า ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า ข้าไม่โทษเจ้าที่แต่งจินเหยาออกไปเมื่อเผชิญกับการท้าทายของท่านอ๋องซีเหลียง ข้าเข้าใจว่าเจ้ากลัว แต่เจ้ากลับทำร้ายข้า ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นใจเจ้ามากเพียงใด ข้าก็ไม่อาจหาเหตุผลให้เจ้าได้แล้ว…ฉู่จิ่นหยง เจ้าก็พูดแล้ว ข้าจะเป็นหรือตาย เจ้าย่อมเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป เจ้า เจ้ารอไม่ได้เชียวหรือ”
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้น “ใช่ กระหม่อมไร้ความสามารถ กระหม่อมหวาดกลัว แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสด็จพ่อบังคับกระหม่อม!”
ฮ่องเต้มองเขา ใบหน้าขององค์รัชทายาทตรงหน้าบิดเบี้ยว มันเป็นลักษณะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันช่างแปลกตา
“ฉู่อวี๋หยงปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กตลอดมา เหตุใดพระองค์จึงปิดบังกระหม่อม!” องค์รัชทายาทกัดฟัน ชี้ไปรอบด้าน “พระองค์รู้ว่ากระหม่อมกลัวเพียงใดหรือไม่ ในวังหลวงนี้ มีคนมากน้อยเพียงใดที่กระหม่อมไม่รู้จัก มีความลับที่กระหม่อมไม่รู้มากน้อยเพียงใด กระหม่อมจะเชื่อผู้ใดได้อีก”
สายตาของฮ่องเต้ขุ่นเคือง น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “ชั่วขณะก่อนที่ข้าจะตาย คนที่ข้าระลึกถึงคือเจ้า เพื่อเจ้า ข้าพูดในสิ่งที่บิดาไม่ควรพูด เจ้ากลับโทษข้าอย่างนั้นหรือ”
องค์รัชทายาทไม่สนใจสิ่งใด ตะโกนพลันสะบัดมือ “พระองค์พูดแล้วอย่างไร สายไปแล้ว! เขาหนีไปแล้ว กระหม่อมไม่รู้ว่าเขาซ่อนอยู่ที่ใด! กระหม่อมไม่รู้ว่าในวังหลวงมีคนของเขามากน้อยเพียงใด! มีสายตากี่คู่จับตาดูกระหม่อมอยู่! พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อกระหม่อม พระองค์ทำเพื่อเขา!”
ฮ่องเต้มององค์รัชทายาทที่เสียสติ หัวใจของเขายิ่งเจ็บกว่าเดิม เหตุใดบุตรชายของเขาจึงกลายเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ฉลาดเท่าฉู่ซิวหยง ไม่เฉลียวเท่าฉู่อวี๋หยง แต่เขาเป็นบุตรชายคนโตที่เขาสั่งสอนกับมือ เป็นเขาอีกคน…
“จิ่นหยง ความคิดของเจ้า เรื่องที่เจ้าเคยทำ ข้าล้วนรู้หมด” เขาพูด “คดีหมู่บ้านซ่างเหอ ซิวหยงถูกวางยาพิษในจวนโจวเสวียน ข้าไม่พูดสิ่งใด ข้ายังอธิบายแทนเจ้า ให้เจ้ารู้ว่าในใจของข้าให้ความสำคัญกับคนอื่น อันที่จริงก็ล้วนทำเพื่อเจ้า เจ้ายังอิจฉาเรื่องนี้ อิจฉาเรื่องนั้น สุดท้ายข้าก็กลายเป็นหนามทิ่มตาเจ้าอย่างนั้นหรือ”
องค์รัชทายาทตะโกน “กระหม่อมทำสิ่งใดพระองค์ล้วนรู้ พระองค์ทำสิ่งใดกระหม่อมกลับไม่รู้ พระองค์มอบอำนาจทางการทหารให้ฉู่อวี๋หยง พระองค์เคยคิดหรือไม่ว่าต่อไปกระหม่อมจะทำอย่างไร พระองค์มาบอกกระหม่อมในเวลานี้ ยังบอกว่าทำเพื่อกระหม่อม หากทำเพื่อกระหม่อมจริง เหตุใดพระองค์ไม่กำจัดเขาตั้งแต่แรก!”
ดื้อดึงไม่ยอมรับผิด…ฮ่องเต้มองเขาด้วยความผิดหวัง เขาหลับตาลงช้าๆ ช่างเถิด
“ผู้ใดก็ได้” เขาพูด
เสียงของฮ่องเต้เบามาก ขันทีจิ้นจงที่เฝ้าอยู่ด้านข้างพูดเสียงดัง “ผู้ใดก็ได้…”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักรีบเดินเข้ามา
“นำตัวองค์รัชทายาทไปสำนักราชทัณฑ์” ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น
องครักษ์ตอบรับพลันเดินขึ้นหน้า องค์รัชทายาทไม่ได้ตะโกนอย่างบ้าคลั่งอีก เขาปลดมงกุฎของตนเองลงมา ถอดชุดราชการโยนลงพื้น ผมเผ้าแผ่สยาย พลันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเดินจากไป
ฮ่องเต้สีหน้าเรียบเฉย “เรียกเหล่าขุนนางเข้ามา”
ขันทีจิ้นจงตะโกนอีกครั้ง บรรดาขุนนางที่รออยู่ด้านนอกตำหนักต่างหลั่งไหลเข้ามา ถึงแม้ฟังไม่ชัดว่าองค์รัชทายาทพูดสิ่งใดกับฮ่องเต้ แต่ดูจากลักษณะการเดินออกไปขององค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ ภายในใจก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงอย่าโกรธ” ขุนนางทั้งหลายอ้อนวอน “พระวรกายของพระองค์เพิ่งหายดี”
ฮ่องเต้พูด “ข้าไม่เป็นอันใด ในเมื่อข้าฟื้นกลับมาได้ก็ไม่มีทางตายอย่างง่ายดาย” เขามองผู้คนตรงหน้า “ร่างพระราชโองการ ปลดองค์รัชทายาทจิ่นหยงเป็นสามัญชน”
…
เฉินตันจูนั่งอยู่ในห้องขัง ในขณะที่นางกำลังมองเงาบนพื้นอย่างเหม่อลอย ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากระยะไกล นางเงยหน้ามองไป ก่อนจะเห็นทางเดินที่เชื่อมไปอีกทิศทางมีคนไม่น้อยเดินเข้ามา มีขันที มีองครักษ์ อีกทั้งยังมี…
เฉินตันจูเหลือเชื่อเล็กน้อย นางลุกขึ้นมา วิ่งไปจับประตูห้องขัง
“องค์รัชทายาท?” นางตะโกน
ชายหนุ่มที่ผมเผ้าแผ่สยาย เครื่องแต่งกายไม่เรียบร้อยราวกับไม่ได้ยิน เขาไม่ได้หันกลับมาให้เฉินตันจูเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขา เพียงแค่เดินไปทางห้องขังทางนั้น
แต่ไม่ได้กระทบต่อการตัดสินของเฉินตันจู
“ท่านจริงด้วย!” เสียงของนางแสดงถึงความดีใจ “ท่านก็ถูกขังเข้ามาหรือ ช่างดีเสียจริง”
นางพูดจบก็หัวเราะร่า
เสียงหัวเราะของหญิงสาวไพเราะดั่งระฆัง เพียงแค่แสบหูอย่างมากเมื่ออยู่ในห้องขังที่อ้างว้าง ขันทีและองครักษ์ที่ทำหน้าที่คุมขังอดหันไปมองนางไม่ได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดห้ามปรามไม่ให้นางหัวเราะเยาะองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์รัชทายาทอีกแล้ว
แต่ท่านอ๋องฉียังคงเป็นท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องฉีเคยกำชับให้ดูแลคุณหนูตันจู
พวกเขาเบนสายตากลับมา ผลักองค์รัชทายาทเข้าไปช้าๆ ราวกับกำแพง…องค์รัชทายาทที่ถูกปลดถูกผลักเข้าไปส่วนลึกของห้องขัง