สืออีเหนียงหัวใจพลันเต้นแรง หู่พั่วรีบพูด “เช่นนี้เป็นเรื่องดีหรือว่าไม่ดี”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” หมอตำแยยิ้ม “ใกล้จะคลอดแล้ว!”
แต่สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของหมอตำแยฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ กำลังอยากจะถามนาง ก็เห็นหมอตำแยอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา “ถุงน้ำคร่ำแตกแล้วหรือ”
สีหน้าของนางนิ่งสงบ ราวกับกำลังถามว่าทานข้าวแล้วหรือยัง
ป้าวั่นก็เดินเข้ามาด้วยอีกคน
หมอตำแยคนนั้นขยิบตาให้พวกนางสองคน จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ใกล้จะคลอดแล้ว ใกล้จะคลอดแล้ว!”
สืออีเหนียงเห็นว่าป้าวั่นและหมอตำแยที่พึ่งเข้ามามีสีหน้าตกใจ จากนั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
นางหัวใจเต้นแรง
หมอตำแยคนนั้นพูดขึ้นว่า “ฮูหยินอดทนหน่อยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวก็จะคลอดแล้ว” พูดจบก็หันกลับไปปรึกษากับป้าวั่น “ท่านคิดว่าควรจะเรียกหมอตำแยที่มาจากพระราชวังสองคนนั้นเข้ามา แล้วค่อยต้มน้ำดีหรือไม่”
ป้าวั่นรีบพูด “แน่นอน” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปต้มน้ำ แล้วเรียกหมอตำแยสองคนที่มาจากพระราชวังเข้ามา
หมอตำแยสองคนที่ไท่ฮูหยินเชิญมายืนคุยกับหมอตำแยที่มาจากพระราชวังหน้าประตู หมอตำแยที่มาจากพระราชวังก็เดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียงแล้วตรวจดูสืออีเหนียง
สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น จากนั้นก็เดินไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับหมอตำแยอีกสามคนและป้าวั่น
สืออีเหนียงค่อนข้างแน่ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นางไม่ได้ยินว่าพวกนางพูดอะไรกัน นางเรียกหู่พั่ว “เรียกป้าวั่นมาคุยกับข้า”
หู่พั่วก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน นางลุกขึ้นไปเรียกป้าวั่นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” สืออีเหนียงอยากจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นและมีสติ แต่ใครจะรู้ว่าน้ำเสียงที่นางพูดออกมากลับสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ป้าวั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร…”
หากไม่เป็นไรจริงๆ ป้าวั่นคงจะวิ่งไปบอกไท่ฮูหยินว่านางจะคลอดแล้วด้วยความดีใจ จะเป็นเหมือนตอนนี้ได้เช่นไร พวกนางสองสามคนกำลังกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
สืออีเหนียงไม่สบายใจ “ป้าวั่น ข้าอยากฟังความจริง หากเจ้าไม่พูด ประเดี๋ยวข้าก็รู้ หากเจ้าบอกข้าตอนนี้ อย่างน้อยข้าก็จะได้รู้ว่าประเดี๋ยวควรทำเช่นไรต่อ”
ช่วงชี้เป็นชี้ตาย มีแต่ตัวเองที่ช่วยตัวเองได้
ป้าวั่นครุ่นคิด แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่สืออีเหนียงพูดนั้นมีเหตุผล
นางพูดเสียงเบา “ฮูหยิน ไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงแค่ถุงน้ำคร่ำแตกเร็วเกินไป เกรงว่าถึงตอนนั้นท่านคงจะต้องทรมานหน่อยเจ้าค่ะ”
ทรมาน? คลอดลูก เช่นไรถึงเรียกว่าทรมาน?
ทันใดนั้น สืออีเหนียงก็พูดเสียงเบา “คลอดยากเช่นนั้นหรือ”
สีหน้าของป้าวั่นดูลำบากใจ “ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่หากคลอดได้เร็ว ถุงน้ำคร่ำจะแตกเร็วหรือช้าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
แต่หากคลอดช้าเล่า
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็มีหมอตำแยบอกให้หมอหญิงเผิงไปต้มยาเร่งคลอดมา
สืออีเหนียงค่อยๆ ดื่มยา
ท่านป้าสองสามคนผลัดกันมาดูนางที่เตียง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สืออีเหนียงก็ยังไม่รู้สึกอะไร
หมอตำแยบอกให้หมอหญิงเผิงต้มยาเข้ามาอีกถ้วยหนึ่ง
สืออีเหนียงก็ยังไม่รู้สึกอะไร
สีหน้าของหมอตำแยสองสามคนดูเคร่งขรึม หนึ่งในนั้นมีคนไปรายงานไท่ฮูหยิน “…เชิญหมอหลวงที่สำนักหมอหลวงสั่งยาเร่งคลอดให้นาง!”
ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้ไปเชิญหมอหลวงมา
หมอหลวงสองคนยืนซักถามอาการอยู่ใต้ชายคา
หมอตำแยสองคนที่มาจากพระราชวังเอ่ยตอบ “…ยาเร่งคลอดที่นำมาจากพระราชวัง ทานไปแล้วสองถ้วย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถุงน้ำคร่ำแตกสองชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคลอด…”
“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนยาดีกว่า!”
หมอหลวงสองคนปรึกษากัน จากนั้นก็สั่งยาเร่งคลอดใหม่อีกครั้ง
สืออีเหนียงดื่มลงไป พลันรู้สึกปวดท้องขึ้นมา แต่หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม
หมอหลวงสองคนจึงเปลี่ยนยาอีก
กระทั่งสืออีเหนียงรู้สึกปวดมากกว่าเดิม
ทุกคนล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เมื่อถึงยามบ่าย นางก็ยังไม่คลอด
สีหน้าของหมอหลวงดูแย่ลง “จะทานยาอีกไม่ได้แล้ว…”
สืออีเหนียงสีหน้าซีดเผือด
ในความรู้ความเข้าใจที่มีจำกัดของนาง ลูกสามารถอยู่ในท้องแม่ได้โดยการอาศัยถุงน้ำคร่ำ หากไม่มีถุงน้ำคร่ำ…
นางถามหมอตำแย “ยังไม่มีวี่แววว่าจะคลอดหรือ”
หมอตำแยหันไปมองหน้ากัน หมอตำแยคนหนึ่งฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “ฮูหยินไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ ใกล้แล้ว ใกล้แล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่สบายใจ
นางกำลังจะตายเช่นนั้นหรือ
เหมือนกับครั้งก่อน การผ่าตัดซ้ำๆ ทำเคมีบำบัดซ้ำๆ นั้นทำให้นางเห็นภาพความตายอย่างชัดเจน
ความเจ็บปวดในอดีตจะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
นางจะทะลุมิติไปอยู่ในร่างของคนอื่นอีกครั้ง ผ่านความสุขและความทุกข์ ได้รับและสูญเสียในโลกที่ตัวเองไม่คุ้นเคยอีกครั้งหรือ
ทันใดนั้น นางราวกับย้อนกลับไปในวัยเด็ก
ในห้องโถงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม แชมเปญสีอำพัน ชุดเต้นรำ ผู้ชายกำลังกระซิบกระซาบ ส่วนผู้หญิงยกพัดขึ้นมาปิดหน้าแล้วยิ้ม…นางสวมชุดราตรีสีขาว รูปร่างผอมบาง เดินจากตรงนี้ไปตรงนั้น แล้วก็เดินจากตรงนั้นมาตรงนี้ ไม่มีใครหันมามองนางสักคน
ราวกับว่านางเป็นแค่คนที่เดินผ่านมา
ใช่ นางคือคนที่เดินผ่านมา
ไม่มีคนรัก ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก…นางในชาติที่แล้ว ราวกับสายน้ำที่ไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งอะไรเอาไว้เลย!
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็ยื่นมือออกไปจับท้องที่นูนสูงของตัวเอง
ไม่ ไม่ ไม่ ชาตินี้ นางยังมีลูก
นางตายได้ แต่นางจะปล่อยให้ลูกที่เติบโตขึ้นมาในท้องของตนตายไปพร้อมกับตนไม่ได้
“ท่านโหวล่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยถามป้าวั่น “ข้าอยากเจอท่านโหว!”
ในบรรดาคนที่นางรู้จัก มีเพียงคนนี้เท่านั้น ที่จะปกป้องเด็กคนนี้จากอันตรายได้!
สีหน้าของทุกคนในห้องดูย่ำแย่
ห้องคลอดนับเป็นสถานที่ที่สกปรก เชื่อว่าบุรุษคนไหนเข้ามาก็จะมีโชคร้าย
“ฮูหยินเจ้าคะ” ป้าวั่นกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านโหวอยู่ในห้องหนังสือ หากท่านมีเรื่องอันใด บ่าวไปรายงานให้ท่านก็ได้เจ้าค่ะ!”
“ข้าอยากเจอเขา!” สืออีเหนียงที่ว่าง่ายมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับมีท่าทีหนักแน่น “ไปบอกเขาว่าข้าอยากเจอเขา!”
ป้าวั่นยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความลำบากใจ นางมองไปที่หู่พั่วด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
หู่พั่วมองดูสืออีเหนียงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา นางกัดฟันพูด “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวจะไปเรียกท่านโหวประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ป้าวั่นตกใจ
นางยังอายุน้อย ยังไม่รู้อะไร ท่านโหวเป็นเสาหลักของจวนหลังนี้ หากเขาเป็นอะไรไป วันสงบสุขของจวนหลังนี้ก็คงจะสิ้นสุดลง
จะทำตามที่ฮูหยินบอกได้เช่นไร
“สะใภ้ก่วนชิง!” นางเรียกหู่พั่ว กำลังจะเตือนนาง แต่หู่พั่วกลับวิ่งออกไปจากห้องคลอดแล้ว
ป้าวั่นรีบสาวเท้าวิ่งตามไป
*****
คลอดลูกต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยหรือ
สวีลิ่งอี๋มองดูกระดาษบนโต๊ะ พึมพำขึ้นในใจ
เกือบจะสองวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน
เขากำลังครุ่นคิด วางพู่กันที่จุ่มหมึกในมือลง จากนั้นก็เรียกสาวใช้ “ไปดูสิว่าฮูหยินเป็นเช่นไรแล้ว”
สาวใช้ขานรับ “เจ้าค่ะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดม่านดังขึ้นมา หู่พั่วรีบพุ่งตัวเข้ามา “ท่านโหวเจ้าคะ ท่านรีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยิน ฮูหยิน…” พูดพลางร้องไห้
สวีลิ่งอี๋ตกอกตกใจ
เห็นป้าตู้เดินเข้ามา
“ท่านโหวเจ้าคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” นางเหลือบมองหู่พั่วด้วยสายตาตักเตือน “พวกนางยังเด็ก ไม่รู้ความ บ่าวจะไปดูฮูหยินประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
หู่พั่วเห็นชัดเจน นางรู้อยู่แก่ใจ หากสวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องคลอดแล้วสุดท้ายสืออีเหนียงเป็นอะไรไป นางก็จะกลายเป็นสาวใช้ของจวนสกุลสวี ไม่ใช่สาวใช้ผู้ติดตามของสืออีเหนียงอีกต่อไป คนของสกุลสวีอยากจะจัดการนางเช่นไรก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงสืออีเหนียงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา นางก็ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีก จึงโต้ตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านโหว ฮูหยินอยากเจอท่านเจ้าค่ะ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ สวีลิ่งอี๋ก็สาวเท้าเดินออกไปจากห้องหนังสือทันที
ป้าตู้มองไปที่หู่พั่วแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
แต่หู่พั่วกลับดีใจ นางเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งตามออกไป
*****
สืออีเหนียงรู้สึกว่าผ้าปูที่นอนเปียกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกกังวล
สถานการณ์มันเลวร้ายมากเลยหรือ
นางไม่กลัวที่จะเผชิญกับความโชคร้าย แต่นางกลัวว่าตัวเองจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความโชคร้ายที่กำลังจะมาถึง แล้วต้องยอมรับมันเท่านั้น!
เหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงยังไม่มา
หู่พั่วไม่ได้ไปบอกเขาหรือ หรือว่าสวีลิ่งอี๋ลังเลที่จะมาเจอตน…
ความคิดวนเวียนอยู่ในหัว หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดม่าน สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
“สวีลิ่งอี๋!” สืออีเหนียงมองไปที่เขา
สวีลิ่งอี๋เคยเห็นท่าทีรู้ความของนาง เคยเห็นท่าทีเย่อหยิ่งของนาง เคยเห็นท่าทีผิดหวังของนาง แต่กลับไม่เคยเห็นท่าทีตอนนี้ของนาง นางมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา เต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวล
สวีลิ่งอี๋ตกใจ เขามองไปที่หมอตำแยสองสามคนด้วยสายตาที่เฉียบแหลม “เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงไม่น่าเกรงขามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความกังวล
เขารู้สึกประหลาดใจ
ภาพที่นองเลือดมากแค่ไหนเขาก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ตนจะตื่นตระหนกอะไรอีก!
สวีลิ่งอี๋ไม่มีเวลาจัดการความคิดของตัวเอง เขาเห็นหมอตำแยสองสามคนก้มหน้าก้มตา หมอหญิงเผิงคนนั้นยังเดินถอยออกไปข้างหลังสองสามก้าวอย่างเงียบๆ
ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ ได้ยินเสียงที่อ่อนแอของสืออีเหนียงดังขึ้นมา “ท่านโหวเจ้าคะ ข้าอาจจะคลอดยากเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจสำหรับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ออกมาจากปากของสืออีเหนียง หัวใจของเขาก็เต้นแรง จากนั้นก็ได้สติกลับมา
“คลอดยาก?” เขายืนตัวตรง มองไปที่หมอตำแยด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “อะไรคือคลอดยาก”
บรรยากาศในห้องเยือกเย็นลง
ท่านป้าสองสามคนหดคอด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
สวีลิ่งอี๋จึงมองไปที่หมอหญิงเผิง
หมอหญิงเผิงคุกเข่าลงบนพื้น “ท่าน…ท่านโหวเจ้าคะ ถุงน้ำคร่ำแตกเร็วเกินไป ทานยาเร่งคลอดแล้ว หมอหลวงที่สำนักหมอหลวงก็ดูอาการแล้ว แต่ว่าเด็ก เด็กยังไม่มีท่าทีว่าจะคลอดเลยเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก “หาก…หากยังไม่คลอด ฮูหยินก็จะมีอัน…อันตรายเจ้าค่ะ…” พูดพลางมองไปที่สวีลิ่งอี๋
เมื่อได้ยินว่าหมอหลวงมาดูแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็ยิ่งตกใจ เขามองไปยังหมอหญิงเผิงด้วยสายตาที่เย็นชา
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ไม่มีวิธีอื่นแล้ว?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย อีกทั้งยังแข็งทื่อ แต่หมอหญิงเผิงที่ได้ยินกลับรู้สึกราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เยือกเย็นไปทั้งตัว
นางกัดฟันแล้วจับมือหมอตำแยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านโหวเจ้าคะ ข้าเป็นหมอหญิงที่รักษาได้แต่ภาวะฉุกเฉินของเด็ก แต่ทำคลอดไม่เป็นเจ้าค่ะ”
หมอตำแยคนนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าตัวเองกำลังแย่แล้ว ตัวนางอ่อนยวบอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ท่านโหวเจ้าคะ…ท่านโหว…” นางตัวสั่นเทา
นัยน์ตาของสวีลิ่งอี๋แฝงไว้ด้วยความโมโห เขาปรายตามองไปที่หมอตำแยอีกสามคนที่เหลือ
หมอตำแยทั้งสามคนนั้นตกใจกลัว รีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วก้มหัวลงเอ่ยอ้อนวอน “ท่านโหวโปรดไว้ชีวิต ท่านโหวโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!”