จวนท่านอ๋องฉีที่ซ่อมแซมใหม่ในเดิมทีเพิ่งต้อนรับเจ้านายไม่นาน เจ้านายก็ไม่ได้มาอีกเป็นเวลานาน
ฉู่ซิวหยงเดินอยู่ภายใน รู้สึกถึงความเงียบเหงา หรืออาจจะเป็นความแปลกตา
“ถึงแม้วังหลวงนั้นอยู่อย่างไม่มีความสุข” เขาพูด “แต่เมื่ออยู่นานแล้ว มาที่อื่นมักรู้สึกขาดบางอย่างไป”
เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว ด้านหลังมีโจวเสวียนตามมา
ตั้งแต่ออกจากวังหลวงมา ใบหน้าของโจวเสวียนก็บึ้งตึง เมื่อได้ยินเขาจึงเค้นยิ้มออกมา “คิดถึงองค์รัชทายาท เขาถึงที่พักใหม่จะมีอารมณ์อย่างไร เขาอยู่ในวังหลวงอย่างมีความสุขมานานหลายปี”
ฉู่ซิวหยงยิ้ม “เขาคงไม่มีเรื่องใดไม่มีความสุข ทำเรื่องเช่นนี้แต่ยังมีชีวิตอยู่ได้”
ฮ่องเต้เห็นเขาปองร้ายตัวเองกับตา แต่ยังไม่ยอมประกาศความผิดของเขาต่อคนทั่วแผ่นดิน บนพระราชโองการปลดองค์รัชทายาทใช้คำที่คลุมเครือทดแทน
โจวเสวียนมองเขา พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ฝ่าบาทยังคงเสียดาย ถึงแม้บุตรชายคนนี้จะตั้งใจเอาชีวิตของเขา แต่เขายังคงไม่อาจทนดูคนทั่วแผ่นดินหัวเราะเยาะบุตรชายคนนี้”
ฉู่ซิวหยงก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่พูด
“นี่ ข้าไม่ได้ยุยงให้แตกแยกนะ” โจวเสวียนตะโกน “แต่มันเป็นการทิ้งอันตรายเอาไว้ ไม่ประกาศโทษสังหารบิดา เขาย่อมมีโอกาสล้มล้างโทษที่ว่างเปล่าในวันนี้ ให้เขากลับมาเป็นองค์รัชทายาทอีกครั้ง”
ฉู่ซิวหยงพูดด้วยรอยยิ้ม “อาเสวียน วันนี้เสด็จพ่อบังคับให้เจ้าอภิเษกกับจินเหยา เจ้าอย่าโกรธ”
โจวเสวียนปะทุในทันที “องค์รัชทายาทต้องการทำร้ายเขา เหตุใดเขาจึงมาระบายอารมณ์กับข้า เขาเห็นข้าเป็นอะไร!”
“เห็นเจ้าเป็นขุนนางอย่างไรเล่า” ฉู่ซิวหยงพูดอย่างอ่อนโยน “ให้เจ้าอภิเษกกับองค์หญิง ปิดปากของท่านอ๋องซีเหลียง อีกทั้งยังเรียกคืนอำนาจทางการทหารของเจ้าได้”
ประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุด โจวเสวียนมองเขาด้วยสีหน้าดำทะมึน เขาส่งเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกออกมา
ฉู่ซิวหยงรับผ้าจากขันทีภายในห้องโถงมาเช็ดมือ พลันพูดเสียงเบา “คราวนี้เสด็จพ่อทรงตกใจกับอาการประชวรอย่างมาก ความรู้สึกที่ได้ยินแต่ไม่อาจขยับหรือพูดได้นั้นช่างน่ากลัว อีกทั้งยังตกใจกับองค์รัชทายาท เวลานี้พระองค์ทรงไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งสิ้น ทรงระแวงทุกคน”
ขันทีถือผ้าเช็ดหน้ายื่นให้โจวเสวียน แต่ถูกโจวเสวียนโบกมือไล่ออกไป
โจวเสวียนเลิกคิ้วมองฉู่ซิวหยง “หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทคงไม่ทรงแต่งตั้งท่านเป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันนี้”
ฉู่ซิวหยงนั่งลง รินชาให้ตนเอง “ไม่รีบ ข้ารอมานานแล้ว ไม่กลัวการรอ”
โจวเสวียนเดินอยู่ในห้อง “เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทไม่รีบ แต่เวลานี้เรื่องที่รีบที่สุดคือตันจู นางยังถูกขังอยู่ ต้องหาทางให้นางออกมา”
ฉู่ซิวหยงพูด “ข้าบอกแล้ว เวลานี้นางอยู่ในวังหลวงถึงจะปลอดภัย”
“ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ประชวร ท่านควบคุมในวังหลวงได้” โจวเสวียนขมวดคิ้ว “เวลานี้ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้ว ท่านก็ถูกขับไล่ออกมา อีกทั้งท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อฉู่อวี๋หยงไม่ดีนัก”
เมื่อฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาก็รีบร้อนเข้าว่าราชการ เริ่มจากปลดองค์รัชทายาท ตามมาด้วยจัดการวิกฤตขององค์หญิงจินเหยา แต่ไม่ได้เอ่ยถึงฉู่อวี๋หยงแม้แต่น้อย
ตอนนั้นองค์รัชทายาทประกาศต่อด้านนอกว่าฉู่อวี๋หยงปองร้ายฮ่องเต้ ฉู่อวี๋หยงจึงหนีไป เวลานี้ทหารยังกำลังค้นหาทั่วทุกมุม อีกทั้งในฐานะทหาร โจวเสวียนยังรู้ว่ามีอีกคำสั่งหนึ่งคือประหารโดยไม่มีข้อยกเว้น
เวลานี้ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าคนที่ปองร้ายตนเองคือองค์รัชทายาท เหตุใดจึงยังไม่ล้างโทษให้ฉู่อวี๋หยงอีก
“เพราะโทษของฉู่อวี๋หยงไม่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท” ฉู่ซิวหยงถือแก้วชาพลางพูด “มันเป็นรับสั่งของเสด็จพ่อ”
ในเมื่อเป็นรับสั่งของฮ่องเต้เอง ย่อมไม่ต้องแก้ไขสิ่งใด
“ฉู่อวี๋หยงมีความสามารถเสียจริง” โจวเสวียนลูบคางพลางครุ่นคิด “เขาทำเรื่องใดให้ฝ่าบาททรงโกรธกัน”
ฉู่ซิวหยงไม่สนใจเรื่องนี้ “มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับฝ่าบาท ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ไม่ต้องสนใจ”
โจวเสวียนขมวดคิ้ว “ไม่เกี่ยวได้อย่างไร เขาไม่หลุดพ้นโทษหนึ่งวัน ตันจูย่อมมีปัญหา”
ฉู่ซิวหยงยิ้ม “เรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องกังวล เขาคือเขา คุณหนูตันจูคือคุณหนูตันจู ไม่มีทางเดือดร้อนเพราะเขา ยิ่งไปกว่านั้น มีข้า…กับเจ้าอยู่”
เดิมทีเขาจะพูดว่ามีข้าอยู่ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าที่พูดถึงเฉินตันจูจนติดปาก จึงเพิ่มคำว่าเจ้าไปอีกหนึ่งคำ
สีหน้าของโจวเสวียนดีขึ้นมาก
“มีข้าก็พอแล้ว” เขาพูด “องค์ชายทรงยุ่งเรื่องของตนเองก็พอ”
ฉู่ซิวหยงยิ้ม “เจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด เวลานี้พวกเราอย่าได้พบหน้ากันบ่อยเลย”
“อย่างไรฝ่าบาทก็ทรงระแวงข้าแล้ว ข้าอยากพบผู้ใดก็พบ” โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ เลิกคิ้ว “ข้าไปพบทุกคนเสียเลย” พูดพลางขอทูลลา
ฉู่ซิวหยงอมยิ้มมองเขาจากไป เสียวชวีเดินขึ้นหน้า ถามเสียงเบา “ต้องตามเขาไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ทรงระแวงทุกคน พวกเขาก็ต้องทำเช่นเดียวกัน
ฉู่ซิวหยงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ”
ทั้งที่สามคำนี้คือความหมายเดียวกัน แต่ก็ราวกับแตกต่างกัน เสียวชวีทั้งเข้าใจทั้งฉงน เขามองดูฉู่ซิวหยงก้มหน้าดื่มชาจึงถอยออกไป
โจวเสวียนออกจากจวนท่านอ๋องฉี ก่อนจะนำผู้ติดตามไปยังจวนท่านอ๋องเยียนและจวนท่านอ๋องหลูตามลำดับ
โจวเสวียนบ่นกับท่านอ๋องเยียนว่าฮ่องเต้ให้เขาอภิเษกกับองค์หญิงจินเหยา เวลานี้องค์รัชทายาทถูกปลดเป็นสามัญชน ท่านอ๋องเยียนจึงเป็นพี่ใหญ่ เขาปฏิบัติต่อบรรดาพี่น้องอย่างโอบอ้อมยิ่งขึ้น เขาปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างอดทน บอกว่ารับองค์หญิงจินเหยากลับมาก่อน ต่อจากนี้ค่อยหารือ
หากแต่ท่านอ๋องหลูกลับร้องไห้ต่อโจวเสวียน ฮ่องเต้ทรงไม่ได้สติเป็นเวลานาน แต่ความจริงพระองค์ทรงรู้ทุกเรื่อง เขาเป็นกังวลว่าฮ่องเต้จะทรงโทษตัวเองที่ไม่ได้ปรนนิบัติอย่างดี…เนื่องจากความกลัว เวลานั้นเขาจึงมักหลบอยู่ด้านหลัง จนสุดท้ายก็ไม่มาหาฮ่องเต้อีก
“ข้าไม่ได้อกตัญญูต่อเสด็จพ่อ” ท่านอ๋องหลูถอนหายใจ “แต่ข้ากลัว ถึงแม้เสด็จพ่อจะทรงไม่ได้สติ แต่ข้าก็กลัวเขา”
โจวเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “กลัวอันใด ตอนที่ฮ่องเต้ทรงโทษท่าน ท่านก็ผลักให้องค์รัชทายาทก็พอแล้ว”
ก็จริง ท่านอ๋องหลูโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสวียนออกจากจวนท่านอ๋องหลู เดินทางผ่านที่กักขังองค์ชายห้า ชิงเฟิงพูดกลั้วหัวเราะอยู่ด้านหลัง “นายน้อยคงไม่คิดจะเข้าไปหาองค์ชายห้าด้วยใช่หรือไม่ ท่านอยากจะเข้าไปบอกข่าวดีที่องค์รัชทายาทถูกปลดอย่างนั้นหรือ”
โจวเสวียนเหลือบมองจวน หน้าประตูมีทหารหลายคนยืนพูดคุยเสียงเบา เมื่อเห็นโจวเสวียนเข้ามา พวกเขารีบทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านโหวโจว” พวกเขาตักเตือนด้วยความเต็มใจ “ตรงนี้ไม่อาจอยู่ได้นานขอรับ”
โจวเสวียนพูดกับชิงเฟิง “ข่าวดีนี้เหลือไว้ให้ผู้อื่นบอกเขาเถิด” พูดพลางเร่งม้าผ่านไป
ชิงเฟิงตามไปด้วยรอยยิ้ม ไม่นานนักก็มาถึงที่กักขังขององค์รัชทายาท เมื่อเทียบกับจวนองค์ชายห้า ทางนี้ยิ่งเข้มงวดมากขึ้น เมื่อเห็นโจวเสวียนเข้ามา ก็มีทหารยกมือห้ามปรามอยู่ระยะไกล
โจวเสวียนหันหัวม้านำชิงเฟิงกลับค่ายทหารในเมืองหลวง บรรดาทหารต่างรายล้อมมาต้อนรับ พวกเขารับม้าและเกราะไป โจวเสวียนเดินเข้าค่ายทหารอย่างรวดเร็ว พลางถาม “รอบด้านมีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่”
รองแม่ทัพคนหนึ่งเดินขึ้นหน้า “ก่อนหน้านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้”
โจวเสวียนชะงักฝีเท้า พลันถาม “ผู้ใด”
รองแม่ทัพพูดเสียงเบา “มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำงานอยู่ภายใต้องค์รัชทายาท”
ชิงเฟิงรีบพูดทันที “ไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นพรรคพวกขององค์รัชทายาท”
โจวเสวียนกลับขัดเขา “พรรคพวกใดกัน เพียงแค่กลุ่มคนไม่เอาไหน เมื่อต้นไม้ล้ม พวกลิงค่างชะนีก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไม่ต้องสนใจพวกเขา” พูดพลางโยนมีดที่คาดเอวให้ชิงเฟิง “แต่เจ้าก็เตือนข้าขึ้นมา เจ้าตรวจสอบทหารในค่ายหลายวันนี้ ดูว่าผู้ใดสนิทกับองค์รัชทายาท”
ชิงเฟิงตอบรับ แต่ก็รู้สึกมีบางสิ่งผิดปกติ แต่…
“ยังไม่รีบไปอีก!” โจวเสวียนถลึงตาพลันตวาด “หากยังหาออกมาไม่ได้ ฝ่าบาทจะทรงคิดว่าข้าเป็นพรรคพวกขององค์รัชทายาทแล้ว”
ชิงเฟิงจึงรีบหันหลังจากไป
รองแม่ทัพผู้นั้นยกม่านขึ้น โจวเสวียนเดินเข้าไปภายในกระโจม ภายในกระโจมมีทหารกำลังเก็บกวาดโต๊ะ เมื่อเห็นโจวเสวียนเข้ามา จึงโน้มตัวทักทาย “ท่านโหว” แต่ไม่ได้ถอยออกไป
โจวเสวียนนั่งลง จ้องมองเขาพลันถาม “ท่านอ๋องฉีเก่าของพวกเจ้าหนีไปที่ใดแล้ว”
ท่านอ๋องฉีในเวลานี้คือองค์ชายสาม ฉู่ซิวหยง ท่านอ๋องฉีเก่าย่อมหมายถึงท่านที่ถูกปลดเป็นสามัญชน
ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวร ท่านอ๋องฉีที่ถูกปลดเป็นสามัญชนหนีออกจากแคว้นฉี เวลานี้อยู่ระหว่างการตามล่า ไร้ข่าวคราวแม้แต่น้อย
โจวเสวียนถามทหารนายหนึ่ง ทหารผู้นั้นก็ยิ้มออกมา พร้อมยกชาที่รินเสร็จเข้ามา
“ท่านอ๋องฉีเก่าอันใดกัน ฉู่เฉิงผู้เป็นสามัญชนเพียงแค่อยากอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิตในป่าเท่านั้น” เขาพูด
ฉู่เฉิงคือชื่อของท่านอ๋องฉีเก่า โจวเสวียนหัวเราะ “มีชีวิตอยู่อย่างนั้นจะมีความหมายอันใด”
ทหารยิ้มขมขื่น “เดิมทีเขามีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมาย”
โจวเสวียนโบกมือให้เขา “รู้ว่าถามสิ่งใดจากเจ้าไม่ได้ ก็จริง เขามีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมาย”
ทหารคำนับ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านโหว พวกเราติดตามท่านจึงมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย เรื่องที่ท่านสั่งพวกเราจะทำให้ดี ทางด้านเมืองหลวงพวกเราจับตาเฝ้าดูอยู่เสมอ คนขององค์รัชทายาทกระจายตัวไปสี่ทิศแปดทาง คงจะเกณฑ์กำลังคนไม่น้อยแล้ว เวลานี้พวกเราจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือรอพวกเขามาค่อยกำจัดให้สิ้นซาก”
โจวเสวียนดื่มชาที่เขายกมาจนหมด “ไม่ต้องสนใจ”
…
เมื่อเมืองหลวงกำลังถกกันอย่างเผ็ดร้อนเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงปลดองค์รัชทายาททันทีที่หายดี ทูตคนใหม่จากวัดต้าหงหลูก็เดินทางไปยังซีจิงอย่างเร่งรีบ นำข่าวดีเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงฟื้นไปทูลต่อองค์หญิงจินเหยา
องค์หญิงจินเหยาประทับอยู่ในวังหลวงเมืองซีจิง รอคอยทูตซีเหลียงส่งข่าวให้ท่านอ๋องซีเหลียง
นางไม่กลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ป้ายรูปปลาที่ฉู่อวี๋หยงให้มาแขวนอยู่ด้านหน้า อีกทั้งยังรู้ว่าเสด็จพ่อไม่เป็นอันใด นอกจากนี้เมื่อเข้าเมืองซีจิงก็มีหยวนไต้ฟูที่ประจำการอยู่ในจวนองค์ชายหกแอบส่งองครักษ์สิบคนมาคุ้มกัน
“มันเป็นรับสั่งขององค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ” หยวนไต้ฟูกระซิบ
หยวนไต้ฟูยังคงอาศัยอยู่ในจวนองค์ชายหก เพียงแต่จวนทั้งหลังถูกปิดหลังจากที่สำนักราชการในซีจิงได้รับข่าว
เนื่องจากหยวนไต้ฟูไม่ได้อยู่เมืองหลวง จึงหลุดพ้นจากการถูกมองว่าเป็นพรรคพวก เพียงแต่ถูกจับตาดูอย่างเข้มงวด…แน่นอนว่าจับตาดูไม่อยู่
ถึงแม้จะรู้ว่าเสด็จพ่อทรงปลอดภัยมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินทูตจากเมืองหลวงทูลรายงานด้วยตนเอง องค์หญิงจินเหยายังคงดีใจจนน้ำตาไหล
“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงหายดี” นางพูด เสด็จพี่หกไม่เคยโกหกนาง
ทูตไม่รู้สึกว่าคำพูดขององค์หญิงมีความหมายอย่างอื่น จึงบอกข่าวที่มากขึ้นแก่นาง อาทิองค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว ที่แท้หูไต้ฟูยังไม่ตาย แต่ถูกท่านอ๋องฉีซ่อนไว้ในพระราชวัง อีกทั้งยังรักษาฮ่องเต้จนหาย หูไต้ฟูถูกองค์รัชทายาทลอบทำร้ายเป็นต้น
ข่าววงในที่องค์หญิงจินเหยารู้มากกว่าทูตท่านนี้เสียอีก อาทิหูไต้ฟูไม่ใช่ไต้ฟู ฟังด้วยใจที่เหม่อลอย อีกทั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังฉงน ดังนั้นหูไต้ฟูเป็นคนของฉู่ซิวหยงหรือ
เสด็จพี่สามต้องการทำอันใด
ถึงแม้เสด็จพ่อจะทรงหายดีแล้ว สถานการณ์ในวังหลวงยังคงไม่กระจ่าง
ทูตพูดไปพูดมาก็เห็นองค์หญิงจินเหยาไม่มีท่าทีสนใจหรือดีใจ หากแต่ขมวดคิ้วมุ่น สายตาก็เศร้าโศกเล็กน้อย…เขาเข้าใจแล้ว หญิงสาวเป็นกังวลเรื่องตัวเองมากกว่า
“องค์หญิง” เขาพูด ก่อนจะถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้ “พระองค์ไม่ต้องอภิเษกกับองค์รัชทายาทแห่งซีเหลียงแล้ว ฝ่าบาททรงปฏิเสธแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาเผยยิ้ม นี่ถึงจะเป็นบารมีของฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ย
วันที่สองของการเดินทางมาถึงของทูตวัดต้าหงหลู ท่านทูตซีเหลียงก็กลับมาเช่นเดียวกัน เขาพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นว่าองค์รัชทายาทแห่งท่านอ๋องซีเหลียงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังนำของขวัญกองเท่าภูเขามาด้วย ขอองค์หญิงโปรดทรงอนุญาตให้พวกเขาเข้าเมืองมาสู่ขอ
ทูตของวัดต้าหงหลูออกหน้าไปพบพวกเขา “ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้ว มีเรื่องต้องเจรจากับท่านอ๋องซีเหลียง” ให้ทูตซีเหลียงนำทาง “ข้าจะไปพบองค์รัชทายาทแห่งซีเหลียงเอง”
ท่านทูตซีเหลียงทำได้เพียงทำตามคำสั่ง องค์หญิงจินเหยาก็จะตามไปด้วย “ในเมื่อข้ามาแล้ว อย่างไรก็ต้องพบคนซีเหลียงเสียหน่อย”
บรรดาขุนนางของวัดต้าหงหลูเกลี้ยกล่อม “ห่างจากชายแดนยังมีระยะทางอีกไกล”
“ชายแดนอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว” อีกทั้งยังมีคนแอบกระซิบว่าคนซีเหลียงรูปลักษณ์ดุร้ายและอัปลักษณ์
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะร่า “หากข้ากลัวก็คงไม่มาถึงตรงนี้”
ทุกคนทำได้เพียงยินยอมอย่างหมดหนทาง เตรียมกำลังคนมากขึ้นเพื่อคุ้มกัน วันที่สามราชรถขององค์หญิงจินเหยาเดินทางออกจากซีจิงภายใต้การคุ้มกันของกองกำลังขุนนาง และการนำทางของทูตซีเหลียง
เวลานี้ฟ้าเพิ่งสว่าง คนบนท้องถนนมีไม่มาก แต่ราชรถขององค์หญิงยังคงถูกรั้งเอาไว้
“องค์หญิง องค์หญิง กระหม่อมเอง กระหม่อมเอง”
องค์หญิงจินเหยาเปิดม่านขึ้น เห็นคนที่ถูกทหารรั้งเอาไว้กำลังโบกมือ ตะโกนด้วยเสียงแหบพร่า ตัวของเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นจากการเดินทาง ใบหน้าอ่อนล้า ถึงแม้พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง อีกทั้งไม่ได้พบกันมานาน องค์หญิงจินเหยายังคงจำได้
บัณฑิตผู้นั้นโบกมือพลางพูด “องค์หญิงจินเหยา”
“จางเหยา” องค์หญิงจินเหยาตะโกนด้วยความตกใจ “เจ้ามาได้อย่างไร”