“บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาเจ้าค่ะ!” ตอนแรกสืออีเหนียงก็คิดไม่ถึงว่าสวีซื่อเจี้ยจะเข้ากับครอบครัวนี้ได้เร็วขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว ความเป็นมิตรของสวีซื่อจุนก็เป็นสาเหตุสำคัญ จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้เลยถือโอกาสพูดว่า “จุนเกอไม่เพียงแต่จะนิสัยอ่อนโยน แต่ยังเป็นคนใจกว้าง หากเขาเป็นคนทั่วไป ก็ถือเป็นแค่คนใจกว้างธรรมดา แต่สำหรับตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว นับว่าเป็นศีลธรรมที่หาได้ยากเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด
ป้าซ่งและป้าเถียนยกข้าวต้มมันเทศเข้ามา
ป้าเถียนเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยังอุ้มบุตรของตัวเองอยู่ นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านโหวเป็นห่วง ให้บ่าวช่วยอุ้มสักประเดี๋ยวเถิด ท่านจะได้พักผ่อนเจ้าค่ะ”
ตามปกติแล้ว ตอนที่ทารกน้อยยังไม่คลอดออกมา ป้ารับใช้และสาวใช้ในเรือนของเด็กน้อยก็จะถูกเลือกเตรียมเอาไว้หมดแล้ว สืออีเหนียงไม่ต้องให้นมบุตรเอง แล้วยังไม่ต้องเลี้ยงบุตรเอง หากอยากเจอให้แม่นมอุ้มมาก็พอแล้ว แม้แต่สวีซื่อจุนที่ร่างกายอ่อนแอก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน สกุลขุนนางหรือสกุลมั่งคั่งอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้ แต่สืออีเหนียงกลับอยากเลี้ยงบุตรเอง นี่คือการขัดแย้งกันของสองความคิด ทุกคนล้วนแต่มีวิถีชีวิตที่ตัวเองคิดว่ามันสะดวกสบาย นางไม่มีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร แล้วก็ไม่อยากทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวประหลาด นางจึงต้องใช้แผนการตั้งกฎเกณฑ์มาอ้างว่าไม่มีคนที่เหมาะสม จึงยังไม่ได้กำหนดบ่าวรับใช้ที่เรือนของบุตร คิดว่าหากคลอดแล้ว ก็เลี้ยงที่เรือนของตัวเองก่อน รอให้เขาอายุสองสามขวบแล้ว ค่อยเลือกป้ารับใช้ผู้ดูแลก็ไม่สาย ตอนนี้ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ในเรือน ไม่แปลกที่สวีลิ่งอี๋ไม่วางใจที่จะให้คนในเรือนดูแลบุตรของตัวเอง
แต่สมัยโบราณคนเป็นพ่อจะไม่อุ้มลูก นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะอุ้มลูกเองเช่นนี้
สืออีเหนียงรู้สึกผิด ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ นางก็ชิงพูดว่า “ท่านโหว ท่านวางบุตรไว้บนเตียงข้าเถิด!”
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋พูด “น้ำหนักตัวของเขายังไม่หนักเท่าดาบของข้าเลย” แต่เมื่อนึกถึงความรักของคนเป็นแม่และลูก อีกทั้งเด็กคนนี้ยังไม่ได้คลอดออกมาง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสืออีเหนียง เขาจึงวางบุตรชายไว้ข้างหมอนของสืออีเหนียง
ป้าซ่งรับใช้สืออีเหนียงทานข้าวต้ม
เพราะว่าพึ่งจะคลอดลูก ร่างกายกำลังอ่อนแอ ทานอาหารที่มีความมันมากไม่ได้ ปกติมักทานเหล้าข้าวและปลาน้ำจืดเพื่อกระตุ้นน้ำนม หรือข้าวต้มมันเทศที่มีรสชาติอ่อนเพื่อบำรุงเลือด เพียงแค่เห็นอาหารก็รู้แล้วว่าไม่มีใครอยากให้นางป้อนนมบุตร
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าอยากทานไข่ต้มเหล้าข้าว”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่ป้าเถียน บอกให้นางไปนำเหล้าข้าวมา
ป้าเถียนรีบพูดว่า “นั้นเป็นของร้อน หมอหลวงบอกว่าร่างกายของท่านเย็น หากท่านอยากทานจริงๆ รออีกสักสองสามวัน รอให้ร่างกายของท่านสะอาดแล้ว บ่าวค่อยทำให้ท่านทานนะเจ้าคะ”
นางและป้าวั่นล้วนแต่เป็นคนมีประสบการณ์ ไท่ฮูหยินส่งพวกนางมาดูแลสืออีเหนียงโดยเฉพราะ แน่นอนว่านางเป็นคนมีสิทธิ์ออกเสียงมากที่สุด
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วถามสืออีเหนียง “เจ้ายังอยากทานอะไรอีก”
หมายความว่าให้นางทานอย่างอื่น
สืออีเหนียงจึงแอบถอนหายใจในใจ “ไม่อยากทานอะไรแล้วเจ้าค่ะ!”
ตกเย็น ป้าเถียนและหงเหวินสาวใช้ในเรือนของบุตรชาย ชิวหงและซิ่วเหลียน สาวใช้ของสืออีเหนียงอยู่รับใช้ในเรือน ส่วนสวีลิ่งอี๋นอนที่ห้องหนังสือ
มองดูเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิท ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีน้ำนม แต่นางก็พยายามให้นมบุตรชายอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เขากลับหันหน้าหนีไม่สนใจนาง
สืออีเหนียงเป็นกังวล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หรือว่าเพราะคลอดยาก ร่างกายอ่อนแอจึงไม่มีน้ำนม หรือว่าคั้นน้ำนมไม่ทัน ทำให้เขารู้สึกไม่ทันใจ…
*****
ไท่ฮูหยินให้ฮูหยินสองอยู่เป็นเพื่อน
“…โชคดีที่ไม่เป็นอะไร ทำเอาข้าตกใจจนเหงื่อตก”
ฮูหยินสองช่วยไท่ฮูหยินถอดเสื้อผ้า “ผ่านหายนะมาได้ ต่อไปก็ต้องมีเรื่องโชคดีเจ้าค่ะ ท่านโหวชนะสงครามมาตั้งหลายครั้ง เขาเป็นคนมีวาสนา ท่านไม่ต้องกังวลไป!”
ไท่ฮูหยินตอบรับ “อืม” แล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นข้าคิดว่าหากสืออีเหนียงเป็นอะไรไป คุณชายสี่ก็คงจะถูกลือว่าเป็น ‘ผู้ชายกินเมีย’ ตอนนั้นข้าลำบากใจแทนเขาเสียจริง!”
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ” ฮูหยินสองจับมือไท่ฮูหยิน “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง รักษาสุขภาพให้ดี ท่านยังต้องอยู่ดูหลานและเหลนอยู่นะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพลันนึกถึงหลานที่พึ่งคลอดออกมา
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดูเขาสิ ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป เลือกที่จะเกิดวันที่สิบเดือนสิบ ผมก็ยังดกดำ หน้าผากกว้าง จมูกโด่ง ข้าคิดว่า เขาก็น่าจะเป็นคนมีวาสนาเหมือนกัน”
ฮูหยินสองนึกถึงเจ้าตัวเล็กที่พึ่งเกิดมาก็ลืมตา นางก็ยิ้ม “หากเขาไม่ใช่คนมีวาสนา จะมาเกิดที่ครอบครัวของคุณชายสี่ได้เช่นไรกันเล่า!”
ในตอนที่พวกนางทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ฮูหยินห้าและป้าสือก็กำลังพูดคุยกันอยู่ “จะว่าไปแล้ว นางโชคดีไม่น้อย บุตรคนแรกก็เป็นบุตรชาย ข้าคิดว่าต่อไปจุนเกอคงจะลำบาก”
“ชีวิตก็เหมือนการดื่มน้ำ จะเย็นหรือร้อน มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้เจ้าค่ะ” ป้าสือยิ้ม “คุณชายน้อยสี่เป็นซื่อจื่อ ใช้ชีวิตสงบสุข จะลำบากได้เช่นไรกัน” เมื่อพูดประโยคนี้จบ นางก็เปลี่ยนเรื่อง “บ่าวเห็นว่าวันระดูเดือนนี้ของท่านเลื่อนไปตั้งครึ่งเดือนแล้ว พรุ่งนี้หมอหลวงที่สำนักหมอหลวงจะมาดูฮูหยินสี่ ท่านคิดว่าถือโอกาสนี้เรียกเขามาจับชีพจรให้ท่านด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินห้าเข้าใจความหมายของป้าสือ นางพูดอย่างเกียจคร้าน “ตอนที่ตั้งครรภ์ซินเจี่ยเอ๋อร์ ข้ารู้สึกอึดอัดไปหมด ครั้งนี้ ข้ายังไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ข้าคิดว่า รออีกสักสองสามวันดีกว่า จะได้ไม่ผิดพลาด สืออีเหนียงก็พึ่งจะคลอดบุตรชาย ประเดี๋ยวนางจะคิดว่าข้าอยากจะท้าทายนาง ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้!”
ป้าสือพยักหน้า
ฮูหยินห้าคิดได้เช่นนี้ดีที่สุด ความสัมพันธ์ของบรรดาบุตรสะใภ้ก็เหมือนกับเพื่อนบ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ก็ต้องเจอกันทุกวัน หากแข่งขันกันทุกอย่าง จะมีวันที่สงบสุขได้เช่นไร เพียงปิดประตูและใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขก็พอแล้ว
“ปกติท่านพูดถูกตลอด ครั้งนี้ไม่มีอะไรเลยหรือเจ้าคะ” ป้าสือเบี่ยงเบนไปพูดเรื่องบุตรที่ฮูหยินห้าสนใจมากที่สุด
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!” ฮูหยินห้าถอนหายใจ “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้นั้นยังเร็วเกินไป!”
ในที่สุดก็เบี่ยงเบนความสนใจนางสำเร็จ
*****
ลานทิศตะวันออกของเรือนหลัก เหวินอี๋เหนียงกำลังกังวลเรื่องของขวัญพิธีสรงสาม
“ถึงตอนนั้นไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินห้าล้วนแต่มาด้วย หากข้าให้ของมีราคาเกินไป ถึงตอนนั้นจะทำให้เฉียวอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงลำบากใจ แต่หากข้าให้ของที่ไม่มีราคา ฮูหยินสองและฮูหยินห้ารู้ว่าข้ามีร้านค้าอยู่ข้างนอก ถึงตอนนั้นพวกนางคงจะคิดว่าข้าขี้งก” นางถามตงหงด้วยความลำบากใจ “เจ้าคิดว่า ข้าให้ของขวัญพิธีสรงสามพรุ่งนี้เลยดีหรือไม่ แอบนำไปให้ฮูหยิน จากนั้นก็ค่อยให้เหมือนคนอื่นอีกครั้ง!”
เหวินอี๋เหนียงดีกับสาวใช้ของตัวเองมาตลอด นิสัยของสาวใช้สองสามคนนั้นก็ร่าเริง ตงหงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หากฮูหยินสี่รับไว้ ก็คงจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่เงิน แทนที่ท่านจะนำของขวัญสองชิ้นไปให้ฮูหยิน บ่าวคิดว่า ไม่สู้ทำเป็นพวกกำไลให้คุณชายน้อยหกดีกว่า ฮูหยินสี่เห็นแล้วต้องชอบแน่นอนเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่าง ฮูหยินสองและฮูหยินห้ายังจะทำให้ท่านลำบากใจเพราะเรื่องนี้ จะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของครอบครัวคุณชายสี่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “ตงหงของเราโตแล้ว พูดอะไรก็สมเหตุสมผล”
ตงหงยิ้มอย่างเขินอาย
*****
แต่ซิ่วหยวนที่อยู่ลานข้างหน้าพวกนางกลับขมวดคิ้ว “วันนี้ดึกมากแล้ว เรื่องนี้ พรุ่งนี้ค่อยไปรายงานอี๋เหนียงดีกว่า!”
จูหรุ่ยพยักหน้า
คนสมัยโบราณมักจะคิดว่าวันเดือนปีเกิดของตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของตนเอง พวกเขาจึงไม่ให้ใครล่วงรู้ ดังนั้นหลังจากที่สืออีเหนียงคลอดผ่านไปสองชั่วโมงแล้วถึงได้ป่าวประกาศออกไปว่าสืออีเหนียงคลอดแล้ว
ซิ่วหยวนพึ่งจะรู้ข่าว
“ให้ของขวัญอะไรดี” นางขมวดคิ้วแล้วพูดเบาๆ “วันของหยางอี๋เหนียงยังอีกยาวไกล หากอยากเป็นที่โปรดปรานก็ต้องคิดให้ดี แต่ทางเหวินอี๋เหนียง…เกรงว่าคงต้องไปถาม หากนางบอกได้ก็คงดี”
เฉียวเหลียนฝังมีเงินเก็บเท่าไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าซิ่วหยวน
จูหรุ่ยไม่ได้พูดอะไร
ตนไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะมีเรื่องอื่นอยู่ในใจ ตนอายุน้อยกว่าซิ่วหยวนแค่สองปี แต่ซิ่วหยวนยังไม่ได้กำหนดเรื่องแต่งงานสักที ทำให้ตนรู้สึกกลัว สองสามวันก่อนจึงส่งคนนำจดหมายไปให้มารดาของตัวเอง เล่าเรื่องที่ตัวเองกังวลให้มารดาฟัง ไม่รู้ว่ามารดาจะเข้าใจหรือไม่
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกรำคาญใจ
*****
หยางอี๋เหนียงในตอนนี้กำลังรู้สึกหงุดหงิด
คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะคลอดบุตรชายจริงๆ
ได้ยินมาว่าตอนที่นางคลอดยังเรียกท่านโหวไปอยู่ด้วยที่ห้องคลอด…คนที่ไม่รู้ความเช่นนี้ ทำไมถึงเข้าตาท่านโหวได้
หยางอี๋เหนียงคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก อึดอัดใจเป็นอย่างมาก นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ถึงได้รู้สึกดีขึ้น
หากตนรอต่อไปเรื่อยๆ บุตรของฮูหยินก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ท่านโหวมีต่อบุตรชายของนางก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น และยิ่งเคารพฮูหยินมากขึ้น นอกเสียจากว่าบุตรชายของนางจะเป็นคนไม่ได้เรื่อง…แต่ตนต้องรอจนกว่าเด็กคนนั้นจะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นนั้นหรือ
นางคิดพลางยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น
*****
เช้าวันต่อมา ป้าซ่งนำไข่สีแดงไปให้ญาติพี่น้องตามคำสั่ง สวีลิ่งอี๋นั่งปรึกษาเรื่องชื่อของบุตรชายกับสืออีเหนียงบนเตียง “ก่อนหน้านี้ก็เตรียมไว้บ้างแล้ว แต่ชื่อเด็กผู้หญิงเยอะกว่าเด็กผู้ชาย เมื่อวานข้าจัดการใหม่อีกครั้ง เจ้าคิดว่าควรตั้งชื่อเขาว่าอะไรดี”
สวีลิ่งอี๋ยื่นกระดาษสีขาวให้นาง บนกระดาษเขียนคำว่า ‘เฉิง ‘จิ่น’ ‘เชียน’ ‘เลี่ยง’…เขียนไว้อีกเป็นสิบชื่อ แล้วเขายังพูดอธิบายอยู่ข้างๆ “เฉิง หมายถึงซื่อสัตย์ จิ่น หมายถึงกตัญญูกตเวที เลี้ยงดูบิดามารดา เชียน หมายถึงเจียมเนื้อเจียมตัว สุขุมมีมารยาท เลี่ยง หมายถึงเป็นที่ศรัทธา…” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าคิดว่า ‘เชียน’ ดีที่สุด เจียมเนื้อเจียมตัว สุขุมมีมารยาท ถึงจะได้เป็นที่ยอมรับ เป็นคนมีมิตรไมตรี…”
ยังอธิบายด้วยอีกว่า ทำอะไรถึงเจียมเนื้อเจียมตัว ถึงจะได้เป็นที่รู้จัก ครอบครองทั่วหล้า
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งชื่อเขาว่า ’จิ่น’ ดีกว่าเจ้าค่ะ ความกตัญญูกตเวที ข้าหวังว่าเขาจะเป็นเด็กที่กตัญญู”
สวีลิ่งอี๋เข้าใจในทันที
สายตาของเขามีความหม่นหมอง
สืออีเหนียงจับมือเขา “ข้าหวังว่าเขาจะเติบโตมากับข้า เมื่อข้าแก่แล้ว ก็จะได้มีเขาอยู่ด้วย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง แต่ก็ไม่พูดอะไรอยู่นาน
เด็กน้อยที่นอนอยู่ข้างสืออีเหนียงพลันร้องไห้ขึ้นมา
สืออีเหนียงรีบอุ้มเขาขึ้นมา “ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ไม่ได้ทานอะไรเลยหรือเจ้าคะ”
ป้าวั่นที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบเดินเข้ามา
“บ่าวเอง บ่าวเองเจ้าค่ะ!” นางยิ้มแล้วอุ้มบุตรของสืออีเหนียง “น่าจะหิวแล้ว บ่าวอุ้มเขาไปให้แม่นมป้อนนมดีกว่าเจ้าค่ะ”
แต่สืออีเหนียงกลับพูดว่า “เจ้าเรียกแม่นมเข้ามาเถิด!”
เหตุผลที่เขาร้องไห้ พอนางได้เห็นกับตาก็จะได้สบายใจ
นางพูดพร้อมกับตบตัวบุตรเบาๆ
ป้าวั่นรีบไปเรียกแม่นมเข้ามา
สวีลิ่งอี๋ตะโกนเรียกหลินปัว “ยังไม่มีข่าวจากจวนแม่นมอีกหรือ”