“มีคืนไหนที่พวกเขาไม่ได้ยินด้วยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มชั่วร้าย ”ถ้าเจ้าไม่อยากให้พวกเขาได้ยิน เช่นนั้นก็ครางเบาๆ อย่างที่ข้าบอกสิ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งขันทีซุนให้พาข้ารับใช้ที่อยู่ข้างนอกออกไปขณะที่พวกเขาอยู่ในห้องบรรทม เพราะเขาไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้ยินเสียงนั้น นางจึงกัดริมฝีปากบางของตัวเองจนมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยจากการกระทำนั้น ดวงตาของนางพร่ามัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดาความคิดของนางออกและหัวเราะออกมาเบาๆ เขาส่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำอันเย้ายวนนั้นเข้าไปในปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยผ่านทางริมฝีปากที่ประกบกันอยู่ เขาใช้ฝ่ามือใหญ่ประคองนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน แล้วออกแรงคว้าเอวของนางเอาไว้ในเวลาเดียวกัน ก่อนจะแนบร่างลงกับร่างของนาง ความอบอุ่นจากสัมผัสทางร่างกายที่ลอดผ่านเสื้อผ้ามานั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นอย่างรุนแรง
“จะไม่ครางออกมาจริงๆ หรือ”
สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว สัมผัสนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนกับคนที่กำลังจะจมน้ำ หนังเสือที่ปูอยู่บนเบาะถูกนิ้วของนางคว้าเอาไว้แน่น ”ไม่ ไม่เอาแบบนี้…”
“ไม่เอาอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเคลื่อนไหวในทันที ในดวงตาของเขามีความกดดันปรากฏอยู่ ”หรือเจ้าอยากเป็นคนทำเอง”
ขณะที่พูด เขาก็ใช้มือใหญ่ของตัวเองดึงให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมานั่งบนตักอย่างรุนแรง สายตาของเขายิ่งลึกล้ำเมื่อเห็นผมสีดำสนิทราวกับเส้นไหมของนางที่สยายเป็นวงโค้งอันงดงามนั้น
เขาใช้ปลายนิ้วของตัวเองไล้ผ่านผมยาวของนางอย่างสง่างาม แล้วใช้ฟันขบใบหูของนาง ”ทำไมเจ้าถึงนิ่งไปเสียแล้วล่ะ เจ้าไม่อยากทำหรือ หรือมันรู้สึกดีเกินไป หืม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยค้นพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความร้อนที่ฝังอยู่ในตัวของนางก็ยิ่งเพิ่มพูน นางสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันเสียวซ่านในทุกครั้งที่นางขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อย เพียงแค่เขากระซิบถ้อยคำน่าอายเพียงไม่กี่คำข้างหูก็ทำให้ร่างของนางร้อนเหมือนถูกไฟเผา เมื่อเขาก้มหน้าลงมองนาง ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็แดงระเรื่อไปด้วยความปรารถนา ใบหน้าของเขาแดงซ่านราวกับถูกน้ำหมึกสีแดงกระเด็นใส่ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเขา จนมาถึงปลายจมูก นางอยากเลียมันออกยิ่งนัก
ในตอนที่นางกำลังจะรั้งคอของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาหาตัว ดวงตาของนางก็พลันพร่างพรายไปด้วยดวงดาวมากมายอันเกิดจากการกระแทกอย่างแรงไปถึงกระดูกนั้น
เขายื่นมือมาจับนางเอาไว้ พร้อมกับนวดคลึงร่างของนางอย่างช้าๆ
สัมผัสวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้สมองของนางว่างเปล่า
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังพอจะมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
นางได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านนอก ”องค์ชาย ใต้เท้าจางมาขอเข้าพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดที่จะห้ามเขา แต่เขาก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม ฝ่ามือของเขายังแนบอยู่กับแผ่นหลังของนาง จากนั้นเขาจึงเริ่มโถมแรงเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ?” ใต้เท้าจางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้น เขาจึงตั้งใจว่าจะรออยู่ที่ด้านนอกแทน
แต่สมองของขันทีซุนกลับชัดเจนราวกระจก เขาเอ่ยเบาๆ ว่า ”ใต้เท้า ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านกลับไปก่อนจะเป็นการดีที่สุด ข้าคิดว่าองค์ชายคงกำลังยุ่งอยู่ขอรับ”
ใต้เท้าจางไม่คิดจะไว้หน้า เขาเริ่มตะโกนออกมาว่า ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!”
คราวนี้ใต้เท้าจางถึงเพิ่งจะได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าราวกับเสียงสะท้อนนั้นเอ่ยขึ้นว่า ”ส่งใต้เท้าจางกลับ”
คำพูดห้าคำนั้นทำเอาใต้เท้าจางขนลุกไปทั่วร่าง เขาถึงกับตัวสั่น เขาถามขันทีซุนด้วยความสับสนว่า ”องค์ชายเป็นอะไร ทรงประชวรหรือ”
“ใต้เท้าจาง ท่านอย่าถามเช่นนั้นเลยดีกว่า กลับไปก่อนเถิดขอรับ” ขันทีซุนตอบด้วยความลังเล
หลังจากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก แต่นางก็กลัวว่าจะมีใครมาหาเขาอีก นางบอกให้เขาเร่งมือด้วยเสียงอันแผ่วเบา
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ดวงตาหงส์เรียวรีของเขาทอแสงวาบอย่างน่าหลงใหล
ริมฝีปากบางของเขาเผยอขึ้น จากนั้นจึงใช้ฟันอันแหลมคมฉีกเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ขวางเขาอยู่ออกไปให้พ้นทาง และทิ้งรอยร้อนผ่าวเอาไว้บนอกข้างซ้ายของนาง!
“ไม่เอาตรงนั้น…” เฮ่อเหลียนเวยเวยชาหนึบไปทั้งร่างไม่เว้นแม้กระทั่งปลายนิ้ว เสียงของนางเบาหวิวราวกับยอมจำนน ”ไม่..”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทบจะนอนแนบร่างไปกับนาง จากนั้นเขาก็กัดต้นคอของนางเข้าอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับนางแต่อย่างใด ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ออกมาจากลำคอ ”เจ้าอยากให้ข้าเร่งมือมิใช่หรือ หืม”
สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่สัมผัสระหว่างร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เสียดสีกันเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถขัดขืนการกระทำนั้นได้ ดังนั้นนิ้วของนางจึงกำแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ร่างทั้งร่างของนางร้อนระอุขณะที่นางส่งเสียงครางอันแหบพร่าออกมา ”ขอ อืม.. ขอตรงนั้น…”
“พูดมาสิว่าเจ้าเป็นของข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระซิบข้างหูและพยายามชักจูงนาง ”ถ้าเจ้ายอมพูด ข้าถึงจะให้”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยแดงก่ำขณะที่นางเอ่ยว่า ”ข้า ข้าเป็นของท่าน”
“ดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจูบริมฝีปากของนาง เขาไม่คิดที่จะยับยั้งความต้องการของตัวเองอีกต่อไป แล้วจู่โจมเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย!
เสียงกระแทกกระทั้นและเสียงหอบหายใจดังสะท้อนไปทั่วทุกทิศทางภายในห้องบรรทมขนาดใหญ่…
เสียงนั้นดังอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดมันก็หยุดลงในช่วงเวลาอาหารค่ำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งให้ขันทีซุนเรียกข้ารับใช้เข้ามา พวกเขาเดินเข้ามาพร้อมกับถังใส่น้ำโรยด้วยกลีบกุหลาบใบหนึ่ง เขาทำความสะอาดตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยตัวเอง แล้วอุ้มนางขึ้นไปนั่งที่โต๊ะไม้ พร้อมกับถามเบาๆ ว่า ”เจ้าอยากกินอะไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีแรงขยับตัว นางเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อนางเห็นอาหารทั้งหมดนั้น มันล้วนแต่เป็นของโปรดของนางทั้งสิ้น
ทุกการกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง เขารับตะเกียบไม้ไผ่คู่หนึ่งมาจากข้ารับใช้ในวัง แล้วคีบซี่โครงหมูอบป้อนเข้าปากนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดมันเข้าไปคำหนึ่ง ปากของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารหอมๆ หลังจากกินซี่โครงหมูอบเสร็จ นางก็กินไก่ผัดพริกต่ออีกหนึ่งคำ จากนั้นองค์ชายสามยังถึงกับรินน้ำชาให้นางดื่มอีกด้วย
แต่หนนี้น้ำชากลับมีรสชาติแตกต่างไปจากเดิม นางลิ้มรสชาที่อยู่ในปาก มันเหมือนกับว่ามีใครบางคนเติมอะไรบางอย่างลงไปในชาถ้วยนั้น ”ชาถ้วยนี้คืออะไรหรือ”
ขันทีซุนกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ข้างๆ ทันทีที่เขาได้ยินคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ตอบอย่างตื่นเต้นว่า ”อดีตฮ่องเต้สั่งให้กระหม่อมเตรียมน้ำชานี้เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ หลังจากดื่มชาถ้วยนี้เข้าไปแล้วท่านจะสามารถผลิตทายาทได้ภายในหกเดือนอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“การผลิตทายาทมิใช่เรื่องที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ชายหรอกหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากเป็นหนูทดลองยาสมุนไพรทุกวัน ดังนั้นนางจึงแย้งขันทีซุนด้วยสิ่งที่นางเรียนรู้มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธของนาง ขันทีซุนก็รีบตอบว่า ”พระชายาไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเตรียมของเอาไว้ให้องค์ชายเช่นกัน รับประกันว่าหลังจากเขาดื่มมันเข้าไปแล้ว เขาจะต้องกระตือรือร้นขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เดี๋ยวนะ ทำไมนางถึงรู้สึกว่าบทสนทนามันชักจะออกทะเลไปเสียแล้วล่ะ เฮ่อเหลียนเวยเวยเคี้ยวซี่โครงหมูพร้อมกับหวังในใจว่าขันทีซุนจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปเสีย
ในเวลาถัดมา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นข้างหูนางว่า ”ดูเหมือนข้าคงต้องหาเวลามาพิสูจน์ความสามารถของตัวเองแล้วสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความกระตือรือร้นของข้าได้อย่างไร จริงไหมฮูหยิน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก
พวกนางปฏิบัติเรื่องบนเตียงกันวันละครั้งโดยไม่ได้หยุดพัก เหมือนอย่างที่เขียนเอาไว้ในสัญญาแต่งงาน เขายังจะกระตือรือร้นยิ่งกว่านี้ได้อีกหรือ
“พวกเราปฏิบัติเรื่องบนเตียงกันมาหลายครั้งแล้วนะ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางไม่ยอมตกหลุมพรางเขาอีกแน่!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ ด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคนว่า ”เรื่องนี้เราเห็นตรงกัน ข้าเห็นด้วยว่าจำนวนครั้งที่เราปฏิบัติเรื่องบนเตียงนั้นไม่ใช่ปัญหาหลักแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่า…”