หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1214 จี้อู่จื่อ!

บทที่ 1214 จี้อู่จื่อ!
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
“มีแค่นี้หรือ…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองอู๋น้อยที่กำลังกดตัวเจ้าลาน้อยไว้ใต้ร่างพร้อมกับวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยสายตาที่ไม่อาจอธิบายได้ จากนั้นจึงเอ่ยกับปรมาจารย์แห่งไฟทันที
“อาจารย์ ท่านเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิเสวียนเฉินไหม”
“หืม?” รูม่านตาปรมาจารย์แห่งไฟหดแคบในฉับพลัน
“เป่าเล่อ เจ้าไปได้ยินชื่อจักรวรรดิเสวียนเฉินนี้มาจากไหน”
“ได้ยินโดยบังเอิญขอรับ อาจารย์ จักรวรรดิเสวียนเฉินมีอะไรแปลกหรือ”
“ไม่ใช่แค่แปลก…ในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นมีจักรวรรดิเสวียนเฉินอยู่จริงๆ ซึ่งมีอำนาจไม่น้อย ข้างในยังมีปรมาจารย์ระดับจักรวาลอยู่คนหนึ่งและพวกเขาไม่สนใจคำสั่งของตระกูลไม่รู้สิ้น ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรและตั้งตัวเป็นอิสระโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่…” ปรมาจารย์แห่งไฟมองลึกเข้าไปในดวงตาหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดเสียงคลุมเครือ
“นั่นคือตอนที่สำนักแห่งความมืดเพิ่งจะถูกปราบปราม และตระกูลไม่รู้สิ้นเพิ่งได้ชัยชนะมาไม่นานซึ่งมันผ่านมานานมากแล้ว และปรมาจารย์ของจักรวรรดิเสวียนเฉินคนนั้นก็ถูกเว่ยยางจื่อตัดศีรษะเองกับมือ และยังใช้เต๋าสวรรค์ลบล้างร่องรอยทุกอย่างในจักรวรรดิเสวียนเฉินให้โลกลืมทุกอย่างไป ตามหลักความจริงแล้วผู้เยี่ยมยุทธ์ที่พลังต่อสู้ทะลุระดับจักรวาลจึงจะปลดความทรงจำที่ถูกปิดผนึกในตอนนั้นได้ ข้าก็ปลดผนึกความทรงจำด้วยวิธีนี้”
“แต่เจ้า…รู้จักจักรวรรดิเสวียนเฉินได้อย่างไรกัน แม้จะมีผู้ที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลบอกเจ้า แต่ว่าหากฐานการฝึกฝนของเจ้ายังเป็นเหมือนตอนแรก หลังจากฟังแล้วก็จะลืมมันไป…ย่อมไม่มีทางจำได้”
ทันทีที่ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยขึ้น แม้แต่หวังเป่าเล่อที่ฐานการฝึกฝนระดับจักรพิภพและมีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลก็ยังดวงตาหดแคบเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่อู๋น้อยอีกครั้ง คำพูดของอีกฝ่ายตอนที่เพิ่งปรากฏตัวผุดขึ้นในหัวและ…คิดถึงยักษ์ศิลาที่ฐานการฝึกฝนระดับดารานิรันดร์ที่เขาได้พบนอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ในจักรวาลอันห่างไกล
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนนั้น หลังจากได้ยินเขาเอ่ยชื่อศิษย์พี่เฉินชิงจื่อแล้วจึงปล่อยเขาไป แต่หลังจากเรื่องราวตอนนั้นหวังเป่าเล่อก็สงสัยว่าไม่ใช่เพราะเรื่องของเฉินชิงจื่ออย่างเดียว ทว่าตอนนั้นข้างกายเขายังมีอู๋น้อยอยู่ด้วย
“น่าสนใจดีนะ อาจารย์ ศิษย์ขอออกไปตรวจสอบเรื่องหนึ่งก่อนนะขอรับ” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น หลังจากครุ่นคิดแล้ว เขามองออกว่าอาจารย์ไม่รู้ตัวตนของอู๋น้อย ต้องทราบก่อนว่าหากความแข็งแกร่งระดับอาจารย์ยังไม่พบร่องรอยของอู๋น้อย ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็ยิ่งมีน้อยคนนักที่จะตามรอยเขาได้
ก่อนหน้านี้แม้หวังเป่าเล่อจะพอเดาได้ว่าที่มาของอู๋น้อยคงไม่ธรรมดาและยังแปลกประหลาด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอยู่กับพื้น แต่กระแสเต๋ากลับรวมตัวอยู่ที่นอกระบบสุริยะก่อตัวขึ้นเป็นร่างธรรม กะพริบทีเดียว…ก็ออกจากระบบสุริยะไปยังจักรวาล
และในพริบตาที่ร่างธรรมของเขาจากไป ปรมาจารย์แห่งไฟก็รับรู้ได้ทันที ขณะเดียวกัน…อู๋น้อยที่กำลังกดเจ้าลาน้อยด้วยท่าทางโหดเหี้ยมพร้อมกับแววตาภูมิใจยิ่งก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาฉับพลัน ความภูมิใจหายไป แทนที่ด้วยความลังเลสงสัย ก่อนจะเหลือบตามองด้านนอกระบบสุริยะราวกับกลัวจะถูกจับได้
ขณะที่เขารู้สึกประหม่าอยู่ทางนี้ ในจักรวาล ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อก็ควบพุ่งไปด้วยความเร็วน่าทึ่ง ทุกๆ ย่างก้าวราวกับสามารถข้ามผ่านจักรวาลได้ การปะทะกันของสองเต๋าสวรรค์ในจักรวาลตอนนี้ได้ทำให้ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดถูกกดข่มไว้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย
ด้านหนึ่งเป็นเพราะฐานการฝึกฝนของเขาสูงเกินไป ในร่างกายกลายเป็นจักรวาลไปแล้ว อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะในร่างกายหวังเป่าเล่อมีกฎและข้อบังคับของทั้งเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อก็เหมือนกับร่างที่เต๋าสวรรค์ทั้งสองผสานกัน ดังนั้นไม่ว่าจักรวาลจะโกลาหลเพียงใด เขาก็ยังเหมือนเดิม
อีกทั้งรัศมีบนร่างของเขาก็หนาสุดขั้ว ทุกที่ที่เขาผ่าน แม้จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นได้ แต่แรงกดดันที่มาจากร่างกายเขานั้นไม่ว่าจะเก็บอย่างไรก็เก็บไม่มิด ดังนั้นสิ่งมีชีวิตในอารยธรรมน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนตลอดทางจึงตัวสั่นเทิ้มราวกับอำนาจแห่งสวรรค์จุติลงมาทันที
แม้แต่ดวงดาวทุกดวงก็ยังสูญสิ้นสีของมันในยามที่หวังเป่าเล่อก้าวผ่าน แม้แต่ดารานิ่งงันก็ยังหรี่แสงลง ในเวลาเดียวกันภายในเต๋าเก้ารัฐ ปรมาจารย์ที่ไม่สามารถออกจากประตูภูเขาได้ผู้นั้นพลันเบิกตามองไปยังจักรวาลจากในห้องลับ
เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของร่างธรรมหวังเป่าเล่อ ราวกับมีคบเพลิงปรากฏขึ้นในพงไพรแห่งปฐพีอันมืดมิด มันแพรวพราวอย่างยิ่ง นี่…คือพลังต่อสู้ระดับจักรวาล
ตราบใดที่มาถึงระดับนี้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนส่งผลกระทบต่อเต๋าสวรรค์และจักรวาล อีกทั้งยังยากต่อการซ่อนตัวจากผู้ต่อสู้อื่นที่มีระดับเดียวกัน เพราะพลังที่มีอยู่นั้นแข็งแกร่งเกินไปก็เหมือนกับใยแมงมุมที่มีแมลงเล็กๆ บินมาติดก่อให้เกิดคลื่นระลอกเล็กๆ แต่หากเป็นนกตัวหนึ่ง…หากใยแมงมุมนั้นแข็งแรงพอ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นก็เพียงพอที่จะพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลได้
นั่นทำให้ปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐเผยแสงเลือนรางในดวงตาอย่างเงียบงัน
ในแสงเลือนรางนั้นมีความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง และยังมีความอาฆาตอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ถูกเขาข่มกลั้นและหลับตาลงอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐผู้นั้นเช่นกัน แต่ไม่ได้สนใจ ทุกย่างก้าวของเขาดูยาวนาน แต่ในความเป็นจริงจากระบบสุริยะไปจนถึงที่ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่นั้นกินเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
พริบตาต่อมาเมื่อปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐถอนสายตากลับ ร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงจุดที่ระบบอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่ ที่แห่งนี้ว่างเปล่า หลังจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จากไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดอีก
เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อกวาดตามองไม่หยุด ในตอนที่เขายกเท้าก้าวไปข้างหน้าและปรากฏตัวขึ้น…ก็มาอยู่ที่นอกดาราจักรซึ่งเป็นสถานที่ของยักษ์ศิลาที่เขาเคยไปเมื่อตอนนั้น
เมื่อมาถึงตรงนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อพลันเผยแสงแปลกประหลาด เพราะดาราจักรผืนนี้ต่างจากที่เขาเคยเห็น ที่นี่ไร้ความผันผวนของสิ่งมีชีวิต ขณะที่ก้าวเข้าไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขากลับกลายเป็นซากปรักหักพัง
มันคือเศษหินนับไม่ถ้วนจากดวงดาวที่พังทลาย ไม่มีมนุษย์ศิลา
ตอนนั้นที่แห่งนี้มีดารานิรันดร์ที่ดับสิ้นแล้วหรือก็คือยักษ์ศิลาผู้นั้น แต่ตอนนี้ไม่มีดารานิรันดร์ดวงนั้นอีก หรือกล่าวให้ชัดเจนคือมันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยล่องลอยอยู่ในจักรวาลไปแล้ว
หวังเป่าเล่อยืนมองดูทุกสิ่งอยู่ตรงนั้น หลังจากกระแสเต๋ากวาดออกไป เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นที่นี่ ที่แห่งนี้…ถูกทำลายไปอย่างน้อยหลายแสนปีหรือนานกว่านั้น
“เช่นนั้นที่ข้าเคยเห็นตอนนั้นคืออะไร…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด
“ห้วงมายา? ไม่น่าใช่”
“แบบนี้ดูแล้วเป็นไปได้แค่อย่างเดียว สิ่งที่ข้าเห็นตอนนั้นเป็นของจริง เพียงแต่…เพราะการชักนำพิเศษบางอย่างจึงเกิดการสับสนวันเวลา ทำให้ข้าได้เห็นที่นี่เมื่อนานมาแล้วและเห็นยักษ์ศิลาในตอนที่ยังไม่ถูกทำลาย”
“ดูจากร่องรอยพลังงาน อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จักเฉินชิงจื่อแล้ว เฉินชิงจื่อในตอนนั้นก็มีระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา อีกทั้งจักรวรรดิเสวียนเฉินก็ยังไม่ล่มสลาย”
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอก…” หวังเป่าเล่อนัยน์ตาสว่างวาบ หากเป็นเพียงการพบเห็นภาพในช่วงวันเวลาสับสนก็คงไม่น่าตกใจอะไร แต่เขาจำได้แม่นว่าตนสามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ และที่สำคัญที่สุด…ยักษ์ศิลาผู้นั้นได้มอบวัสดุล้ำค่าสำหรับแต่งเรือรบให้เขาอีกด้วย
สื่อสารกันเป็นเรื่องจริง
วัสดุก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
หากดูเช่นนี้เรื่องนี้ก็น่าตกใจแล้ว มันเกี่ยวโยงกับมหาเต๋าแห่งกาลเวลา และเต๋าแห่งกาลเวลาเป็นรากฐานจันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อ การย้อนเวลาหาอดีต หากมันสามารถกลายเป็นพลังเทพได้…จะต้องเป็นเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจันทร์ข้างแรม!
คิดถึงตรงนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็หรี่ลง เพราะเบื้องหลังสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งชักนำพิเศษใดกันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น
คำตอบชัดเจนในตัวมันเอง
หวังเป่าเล่อหลับตาลง นึกถึงภาพและบทสนทนาตอนที่ได้พบอู๋น้อยในซากปรักหักพังของสะเก็ดดาว
“เจ้าชื่ออะไร”
“สัญลักษณ์ประจำจักรวรรดิเสวียนเฉินของเราคือนกแก้ว บิดาข้าจึงตั้งชื่อข้าว่าจี้อู่จื่อ ท่านพ่อ ท่านเรียกข้าว่าอู๋น้อยก็ได้”
……………………………………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท