จางเหยาไม่ได้ไม่เคยประสบกับอันตราย เมื่อเขายังเด็กเขาถูกพ่อพาขึ้นไปบนภูเขาเผชิญหน้ากับงูพิษ เมื่อเขาโตขึ้น เขาวิ่งไปทั่วจนถูกฝูงหมาป่าสกัดไว้ใต้ต้นไม้ การล้มลุกคลุกคลานยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เขาเพิ่งรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก
กลัวความตายอย่างมาก
กลัวที่จะตายในตอนนี้อย่างมาก
เขาพยายามยืนให้มั่น เดินจากไปทีละก้าวตามกระแสและจังหวะการไหลของลำธาร เดินจากไปไกลและไกลขึ้นกว่าเดิม เขาต้องเดินผ่านป่าทึบ ตามหาม้าของเขา เพื่อไปบอกทุกคน…
ความเจ็บปวดใต้ฝ่าเท้าทำให้ร่างของเขาเซในทันที ในเวลาเดียวกันเสียงหนึ่งดังขึ้น เชือกเส้นหนึ่งกระเด้งออกมาจากริมลำธารที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด…
แย่แล้ว!
จางเหยาลืมความเจ็บปวดในทันใด เขาพุ่งตัวออกจากลำธาร วิ่งเข้าไปในป่าทึบอย่างโซซัดโซเซ
เมื่อเขาหายตัวเข้าไปในป่าทึบ มีร่างของคนหลายคนกระโดดออกมาจากหุบเขากำลังก้มหน้าตามหา ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาถึงด้านหน้าของเชือกที่กระเด้งขึ้นมา มองซ้ายมองขวาพลางถกเถียงเสียงเบา “มีคนหรือ”
“กระต่ายป่ามากกว่า”
“จะมีคนอยู่ในป่าลึกยามดึกเช่นนี้ได้อย่างไร” เมื่อจุดคบเพลิงเดินดูตามริมลำธาร ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับเมื่อไม่พบสิ่งใด คนผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา พลันชี้ไปที่พื้น คนอื่นต่างล้อมเข้ามา บนก้อนหินก้อนหนึ่งมีรอยเท้าเปื้อนเลือด…
พวกเขามองไปทางป่าทึบ ดวงตาภายใต้แสงไฟดุร้าย ผิวปากเสียงแหลม
…
เสียงลมพัดอยู่ข้างหู จางเหยาขี่อยู่บนม้า ในที่สุดก็พุ่งออกมาจากความมืด
เขาสามารถมองเห็นเมืองที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างเลือนราง
ถึงเมืองเฟิ่งแล้ว ถึงเมืองเฟิ่งแล้ว
ก่อนเข้าเมืองเฟิ่งมีทหารรักษาป้อมรั้งเขาเอาไว้ ในฐานะเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดน การกวดขันจึงเข้มงวดกว่าที่อื่น โดยเฉพาะเวลานี้ที่องค์หญิงและองค์รัชทายาทซีเหลียงต่างรวมตัวกันที่นี่ อีกทั้งชายหนุ่มที่รีบร้อนผู้นี้ก็ดูประหลาด…
“เร็ว เร็ว พาข้าไปพบผู้คุมของพวกเจ้า!”
พวกเขายังไม่ทันสั่งให้ชายหนุ่มลงจากม้า ชายหนุ่มผู้นั้นก็ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังด้วยความบ้าคลั่งขึ้นมาก่อน
บรรดาทหารยามต่างขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นผู้ใด”
“ข้า จางเหยา” จางเหยารีบพูด เสียงของเขาแหบพร่า
จางเหยาคือผู้ใด บรรดาทหารยามไม่มีทางรู้ สายตาที่ว่องไวมองรอยเลือดบนขาของเขา
“ลงจากม้า!” พวกเขาตวาด จ่อหอกไปทางเขา
จางเหยารู้ว่าเวลานี้ไม่มีเวลาอธิบาย ยิ่งไม่อาจอธิบายได้ทีละขั้นตอน เขามองบรรดาทหารเหล่านี้ ก่อนจะนึกถึงเฉินตันจู…คุณหนูตันจูทำสิ่งใดล้วนเด็ดขาด ไม่เคยสนใจชื่อเสียง
“ข้าเป็นทาสรักขององค์หญิงจินเหยา!” เขาตะโกนเสียงดัง “รีบส่งข้าไปพบองค์หญิง!”
…
ตอนที่บรรดาขุนนางของเมืองเฟิ่งมาเข้าเฝ้าองค์หญิงจินเหยา องค์หญิงจินเหยาเพิ่งเสวยพระกระยาหาร กำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
“นายน้อยจาง?” นางตกตะลึงเล็กน้อย “จะพบข้าหรือ” ก่อนจะรู้สึกขบขัน “อยากมาพบข้าก็มา ข้าไม่ได้ไม่พบเขาเสียหน่อย”
เมื่อฟังน้ำเสียงขององค์หญิง สีหน้าของบรรดาขุนนางก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“นายน้อยจางต้องการให้องค์หญิงเสด็จไปพบเขาพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้หนึ่งพูด ก่อนจะตัดสินใจพูดอีกประโยคเพื่อเป็นการเตือน “เหมือนว่านายน้อยจางกำลังโกรธ”
โกรธหรือ องค์หญิงจินเหยายิ่งผงะ เดิมทีนางคิดจะถาม แต่ทันใดนั้นนางก็ฉุกคิดได้ว่าการกระทำที่ประหลาดเช่นนี้ ต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน
นางพยักหน้า “ได้ ข้าจะไป”
เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาเดินออกมา องค์รัชทายาทซีเหลียงที่ยืนถือคันธนูอยู่นอกกระโจมรีบถวายบังคม “องค์หญิง” ก่อนจะมองราชรถที่รอคอยอยู่ด้านข้าง พลางหมุนคันธนูในมือ ถามด้วยรอยยิ้มมีนัย “องค์หญิงจะเสด็จไปแล้วหรือ”
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ หม่อมฉันไปดูผู้ติดตามของหม่อมฉัน เขาพักอยู่ในเมือง รู้สึกไม่พอใจนัก”
คำพูดนี้แปลกประหลาด แต่องค์รัชทายาทซีเหลียงกลับฟังเขาใจ อีกทั้งยังตระหนักถึงชายหนุ่มที่ลงมาจากรถม้าขององค์หญิงผู้นั้น เขาหัวเราะขึ้นมา พลางถาม “ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ติดตามขององค์หญิงจึงไม่พอใจ”
“ถึงแม้เรื่องงานอภิเษกขององค์รัชทายาทกับหม่อมฉันจะเป็นไปไม่ได้ แต่บุคลิกอย่างองค์รัชทายาทซีเหลียง หม่อมฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน” องค์หญิงจินเหยาพูดอย่างเปิดเผย “บรรดาสตรีในแผ่นดินล้วนถูกท่านดึงดูด ถึงแม้หม่อมฉันเป็นองค์หญิง แต่ก็เป็นสตรี ผู้อื่นอาจกังวล…”
นางยังพูดไม่ทันจบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้จบ องค์รัชทายาทซีเหลียงหัวเราะร่า ตนเองทำให้ทาสรักผู้นั้นขององค์หญิงริษยาจริงด้วย ถึงแม้เขาจะไม่เห็นบุรุษต้าเซี่ยที่ผอมแห้งนั้นอยู่ในสายตา แต่การถูกคนริษยาก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
องค์รัชทายาทซีเหลียงยกคันธนูในมือขึ้น หัวเราะพลางเชื้อเชิญ “องค์หญิงโปรดพานายน้อยท่านนี้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงของพวกเราในยามค่ำคืน”
องค์หญิงจินเหยายิ้มให้เขา พลันขึ้นรถไป บรรดาขุนนางของเมืองเฟิ่งและวัดต้าหงหลูต่างสบตากันด้วยสีหน้าซับซ้อน
“เหตุใดองค์หญิงจึงเป็นเช่นนี้” ขุนนางเมืองเฟิ่งถามเสียงเบา
ดูจากสิ่งที่พูด ไม่เหมือนองค์หญิงที่ทรงสง่าแม้แต่น้อย ช่าง…
บรรดาขุนนางวัดต้าหงหลูก็ไม่อาจพูดได้ พวกเขานึกถึงเฉินตันจู เดิมทีองค์หญิงยังดีอยู่ นับแต่รู้จักเฉินตันจู ทั้งฝึกต่อสู้ทั้งฝึกชนมุม เวลานี้ยิ่งพูดจาเหลวไหลอย่างง่ายดาย พวกเขาทำได้เพียงถอนหายใจ “ถูกคนพาเสีย”
มองราชรถขององค์หญิงจินเหยาจากไป องค์รัชทายาทซีเหลียงเหวี่ยงคันธนู พลันยิ้มขึ้นอีกครั้ง “น่าสนใจ เมื่อถึงเวลา ให้ทาสรักผู้นี้ขององค์หญิงได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขาไม่เสียแรงที่มีชีวิตอยู่ในชาตินี้”
พูดพลางดึงคันธนูต่อ
องค์หญิงจินเหยาเสด็จเข้าไปในห้องโถงของสำนักเหยาเหมินเมืองเฟิ่ง ทันใดนั้นนางก็เห็นไต้ฟูท่านหนึ่งกำลังทำแผลให้จางเหยา…
“เกิดเรื่องใดขึ้น” นางรีบถามด้วยความตกใจ “เหตุใดจึงบาด…”
นางยังถามไม่จบ จางเหยาก็กระโดดขึ้นมาอย่างไม่สนใจบาดแผลที่ถูกผ้าพันไปได้แค่ครึ่งเดียว “แย่แล้ว คนซีเหลียงซ่อนกองกำลังจำนวนมากไว้ที่หุบเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
ทันทีที่สิ้นเสียง องค์หญิงจินเหยาก็ผงะไป บรรดาขุนนางวัดต้าหงหลูและเมืองเฟิ่งที่ตามเข้ามาต่างก็ผงะไป
อย่างไร!
“กระหม่อมเห็นกับตา” จางเหยาพูดต่อ “เพียงแค่ที่กระหม่อมเห็นก็มีไม่น้อยกว่าพันนาย ไม่รู้มีอีกมากเท่าใดที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไป พวกเขาแต่ละคนล้วนพกพาอาวุธสิบกว่าชิ้น…นอกจากนี้ พวกเขาอาจพบร่องรอยของกระหม่อมแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าไปหาองค์หญิง องค์หญิงอยู่กับทางองค์รัชทายาทซีเหลียงก็ทรงอันตรายอย่างยิ่ง”
ทางองค์รัชทายาทซีเหลียงย่อมมีกองกำลังที่พวกเขาไม่เห็นหลบซ่อนอยู่
สิ่งที่จางเหยาบรรยายคือคนซีเหลียงใช้ข้ออ้างในการสานสัมพันธไมตรี แอบนำกองกำลังเข้าเขตแดนมา
ข่าวนี้ช่างน่าตกตะลึง
หรือว่าคนซีเหลียงไม่ได้ต้องการสานสัมพันธไมตรี หากแต่เพื่อ…
“เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก พวกเราต้องสืบ…” ขุนนางท่านหนึ่งพูดเสียงสั่น
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกองค์หญิงจินเหยาขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ต้องสืบ นายน้อยจางไม่มีทางดูผิด คนซีเหลียงมีเจตนาไม่ดี พวกเขาย่อมมาอย่างมีแผนการชั่วร้าย”
เสด็จพี่หกสงสัยมานานแล้ว มิน่าถึงให้นางจับตา
เวลานี้ควรทำอย่างไร
เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป
“รีบสั่งการให้กองกำลังทุกแห่งเตรียมเผชิญหน้ากับข้าศึก” องค์หญิงจินเหยาพูด ถึงแม้นางรู้สึกว่าตนเองมีสติอย่างมาก แต่เสียงของนางก็สั่นเครือเล็กน้อย “ฉวยโอกาสที่พวกเขายังไม่ทันตั้งตัว พวกเราสามารถลงมือจับองค์รัชทายาทซีเหลียงเอาไว้ก่อน”
ใช่ จับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน องค์หญิงจินเหยากำมือแน่นพลันเดินออกไปด้านนอก
“ข้าไปจับเขาที่ค่าย”
แต่ทันทีที่นางย่างเท้าออกไปก็ถูกบรรดาขุนนางรั้งเอาไว้
“องค์หญิง” พวกเขาพูด “องค์หญิงเสด็จไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงต้องทรงหนีไปบัดนี้”
อันใดนะ องค์หญิงจินเหยาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เวลานี้ ข้าจะหนีไปได้อย่างไร”
ถึงแม้จะต้องตาย นางก็จะตายอยู่ตรงนี้
“องค์หญิง” ขุนนางชราของวัดต้าหงหลูท่านหนึ่งมองนาง “องค์หญิงต้องทรงหนีไป ถึงแม้เมืองเฟิ่งจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่ก็เป็นแค่เมืองเฟิ่งเมืองเดียว หากองค์หญิงทรงถูกคนซีเหลียงจับตัวเอาไว้ นั่นย่อมเท่ากับทั้งต้าเซี่ย เพื่อขวัญกำลังใจของกองทัพ เพื่อความหมาย องค์หญิงจะทรงถูกจับไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยามองเขา นางเข้าใจความหมายของเขา แต่…นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร นางจะทำได้อย่างไร!
“องค์หญิง” ขุนนางอีกคนพูดอย่างจริงจัง “องค์หญิงทรงเป็นองค์หญิงของต้าเซี่ย องค์หญิงกล้าเสด็จมาเพื่อต้าเซี่ย เวลานี้เพื่อต้าเซี่ย องค์หญิงก็ต้องกล้าที่จะจากไปพ่ะย่ะค่ะ”
พูดพลางถวายบังคม
ขุนนางวัดต้าหงหลูรวมทั้งบรรดาขุนนางของเมืองเฟิ่งภายในห้องโถงต่างถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียง เสียงของพวกเขาทั้งหนักแน่นทั้งแน่วแน่ “ขอองค์หญิงโปรดทรงหนีไปพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางชราของวัดต้าหงหลูมององค์หญิงจินเหยาด้วยสายตาเมตตาราวกับมองหลานสาวของตนเอง “องค์หญิง กระหม่อมจะไปพบองค์รัชทายาทซีเหลียง จับและกักขังเขาเอาไว้ ขอองค์หญิงโปรดตักเตือนเมืองตามทางให้ตั้งป้อมปราการทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขึ้นไป เพื่อป้องกันแผนการชั่วร้ายของคนซีเหลียง!”
องค์หญิงจินเหยากำมือแน่น นางมองบรรดาขุนนางตรงหน้าเหล่านี้ พลางกัดฟัน น้ำตาหลั่งไหลลงมา