ตอนที่ 467 นักข่าวไร้ยางอาย
หลินม่ายเบนสายตากลับไปมองหญิงวัยกลางคนประมาณสิบกว่าคนที่มาสร้างปัญหาก่อนหน้านี้
จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มซ่อนคมมีด “เมื่อกี้นี้พวกคุณส่งเสียงประท้วงดังสุดไม่ใช่เหรอคะ งั้นก็รีบเข้าไปเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ถึงยอดขั้นต่ำห้าสิบหยวนสิคะ จะได้ใช้บัตรกำนัลแลกเป็นส่วนลดเงินสดกับทางร้านของเรา”
มนุษย์ป้าเจ้าปัญหาหลายคนต่างปิดปากแน่น นิ่งเงียบไม่ยอมเคลื่อนไหว
หลินม่ายจึงมองพวกหล่อนเหมือนเป็นตัวตลก “พวกคุณไม่ได้มาเอะอะโวยวายหน้าร้านฉันเพราะอยากใช้บัตรกำนัลหรอกเหรอ ทำไมตอนนี้ถึงเอาแต่เงียบเป็นเป่าสากล่ะ? หรือว่าพวกคุณไม่ได้มีบัตรกำนัลอยู่ในมือ แต่มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหากันแน่?”
ป้าคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วเถียงข้าง ๆ คู ๆ “ใครบอกว่าพวกเราไม่มีบัตรกำนัล? ฉันเพิ่งจะซื้อเสื้อผ้าจากร้านเธอไปได้ไม่นาน ตอนนี้เธอกลับมาบอกให้เราซื้อซ้ำอีก ฉันยังเลือกแบบเสื้อที่ต้องการไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
ผู้สมรู้ร่วมคิดของหล่อนเห็นด้วยทันที “ถูกต้อง เสื้อผ้าไม่ใช่อาหารนะ อาหารยังต้องกินทุกวัน แต่เสื้อผ้าชุดหนึ่งต้องใส่อีกนานหลายปี!”
นักข่าวสาวไร้ยางอายคนเดิมรีบปรี่เข้าไปหาหลินม่าย แล้วเริ่มทำการสัมภาษณ์โดยจดเนื้อหาลงในสมุดเล่มเล็ก “ผู้จัดการหลิน คุณบังคับให้ลูกค้าของคุณซื้อเสื้อผ้าร้านตัวเองอยู่เหรอคะ?”
ใบหน้าสวยงามของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด “คุณไม่เห็นหรือไงว่าฉันแค่ให้คำแนะนำกับพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทขึ้นในอนาคตอีก ทำไมคุณถึงตีความว่าเป็นการบีบบังคับไปซะได้? เมื่อกี้นี้ที่คุณคาดคั้นจะให้พนักงานขายของฉันรับบัตรกำนัลที่ยังไม่ถึงกำหนดใช้งาน นั่นต่างหากที่เป็นการบังคับขู่เข็ญ!”
เธอลองพูดในสิ่งที่ตัวเองคาดเดาออกไป “คุณเองก็เป็นถึงนักข่าว แต่กลับพูดและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเจตนาร้าย อย่าบอกนะว่าคุณก็มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเหมือนกัน?”
แววตื่นตระหนกฉายวาบผ่านดวงตาของนักข่าวสาว แต่แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะโต้กลับว่า “ทำไมฉันต้องมาสร้างปัญหาด้วย? ฉันไม่มีสิทธิ์สัมภาษณ์คุณหรือไง? แม้แต่ผู้อำนวยการสำนักหนังสือพิมพ์ของฉันยังไม่เคยแทรกแซงสิทธิ์การสัมภาษณ์ของฉันเลย แล้วคุณกล้าดียังไง? อย่าคิดว่าตัวเองมีเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคฯ คอยหนุนหลัง แล้วคุณจะวางอำนาจยังไงก็ได้นะ!”
หลินม่ายเยาะเย้ยกลับ “ฉันไม่เคยวางอำนาจแค่เพราะเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯ คอยหนุนหลังฉันหรอก คุณต่างหากที่ตีความสารที่ฉันสื่อออกไปไม่แตกเอง คุณเป็นนักข่าว กลับเอาแต่พูดพล่ามไร้สาระ กล้าอ้างว่าผู้อำนวยการสำนักหนังสือพิมพ์ไม่กล้าแทรกแซงสิทธิ์การสัมภาษณ์ของตัวเอง นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าคุณใช้วิชาชีพมาสร้างปัญหามากกว่า ถ้าเขารู้ว่าคุณเอางานสัมภาษณ์มาบังหน้า อยากรู้จังว่าเขาจะสั่งพักงานคุณหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะไล่คุณออกด้วยซ้ำ!”
สีหน้าของนักข่าวสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังทำตัวเป็นเป็ดปากแข็ง เถียงฉอด ๆ โดยไม่สนเหตุผล “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด! คุณก็แค่ต่อต้านการทำงานของฉัน แค่เพราะเนื้อหาการสัมภาษณ์มันส่งผลร้ายต่อคุณยังไงล่ะ!”
“ส่งผลร้ายต่อฉันเนี่ยนะ?” หลินม่ายหัวเราะ “คุณก็รู้ว่าบัตรกำนัลจากร้านUniqueของเราระบุระยะเวลาการใช้งานไว้อย่างชัดเจนเป็นวันที่ 10 กันยายน แต่คุณก็ยังจงใจยั่วยุปลุกปั่นลูกค้า ฉันถึงต้องยอมให้พวกเขาใช้บัตรกำนัลภายในวันนี้ ลองคิดดูสิว่าคุณทำอะไรลงไปบ้าง? ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายสร้างความเสื่อมเสีย?”
นักข่าวสาวกลอกตา พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “แต่ลูกค้าของคุณก็ใช้บัตรกำนัลก่อนถึงวันที่กำหนดแค่สองวันเองไม่ใช่เหรอ? จะกำหนดวันที่ให้ยุ่งยากเองทำไม!”
หลินม่ายตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันควรบอกว่าคุณไม่มีการศึกษา หรือควรบอกว่าคุณภาพการศึกษาของคุณมันต่ำดี? รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่ก็ยังพยายามโต้แย้งอยู่นั่นแหละ วันที่ที่ระบุไว้บนบัตรกำนัลถือเป็นข้อจำกัดตามเงื่อนไขของเรา เมื่อกำหนดระยะเวลาการใช้งานแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ถ้าคุณถามว่าทำไมถึงต้องรออีกตั้งสองวันถึงจะใช้งานได้ นั่นก็เพราะมันจะได้เป็นไปตามระเบียบการไงล่ะ ยกตัวอย่างถ้าคุณตาย มีกำหนดการเผาศพในอีกสองวัน แต่ฉันจะผลักศพคุณเข้าปล่องภายในวันนี้ซะเลย เพราะไม่ว่าจะเผาวันนี้ เผาในอีกสองวัน หรือเผาในอีกสิบปีข้างหน้าก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี แบบนั้นคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาโกรธฉันเหมือนกัน!”
ขณะที่หลินม่ายกำลังรับมือกับนักข่าวสาวไร้ยางอายอย่างดุเดือด ลูกค้าบางคนที่เลือกซื้อเสื้อผ้าเรียบร้อยก็แลกบัตรกำนัลเสร็จแล้ว
ลูกค้ารายอื่นที่ยังเลือกเสื้อผ้าไม่เสร็จ พอเหลือบไปเห็นว่าบัตรกำนัลจากร้านUniqueสามารถใช้ได้จริงก็รู้สึกโล่งใจมาก
ทุกคนจึงให้ความสนใจกับหลินม่ายเป็นพิเศษว่าเธอจะตอบโต้นักข่าวนิสัยไม่ดีคนนั้นยังไง
พอพวกเขาได้ยินคำเปรียบเทียบอันเจ็บแสบของหลินม่าย ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าถากถาง
เมื่อกี้นี้ พวกเขาต่างกลัวว่าบัตรกำนัลอาจเป็นแค่กุศโลบายหลอกลวง เลยไม่คิดว่าการสัมภาษณ์ของนักข่าวสาวคนนั้นมีตรงไหนที่ผิดปกติ
อาจเป็นเพราะหล่อนพยายามจะเป็นกระบอกเสียงแทนพวกเขา ทุกคนจึงไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติ แถมยังคิดว่าสิ่งที่หล่อนพูดสมเหตุสมผล
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นแล้วว่าบัตรกำนัลไม่ใช่กุศโลบายหลอกลวงของทางร้าน มุมมองของลูกค้าเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป
พวกเขาลองตัดสินคำพูดของนักข่าวสาวคนนี้ด้วยทัศนคติที่เป็นกลางมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าทุกประโยคที่หล่อนพูดออกมาแทบไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย
ดังนั้นเมื่อเห็นหลินม่ายตอกกลับ ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะหล่อน
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
เมื่อใดที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ เมื่อนั้นถึงจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยความยุติธรรมและเป็นกลาง
ถึงนักข่าวสาวคนนั้นจะถูกฝูงชนหัวเราะเยาะจากรอบทิศ แต่หล่อนก็ยังไม่ยอมแพ้
ถามหลินม่ายกลับ “คุณเข้าใจเสรีภาพของสื่อดีพอหรือยัง?”
พูดไม่ทันขาดคำ หลินม่ายก็เอื้อมมือไปคว้าสมุดบันทึกการสัมภาษณ์จากมือหล่อนด้วยความไวปานสายฟ้า
“เสรีภาพสื่อเหมารวมถึงการพูดเรื่องไร้สาระและใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นด้วยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่เข้าใจหรอก แต่หัวหน้าของคุณอาจจะเข้าใจก็ได้นะ ฉันจะได้รายงานพฤติกรรมของคุณให้หัวหน้าของคุณทราบ จะได้ขอให้เขาอธิบายให้ฟังซะเลยว่าเสรีภาพสื่อคืออะไร!”
นักข่าวสาวหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ พยายามจะยื้อแย่งสมุดบันทึกมาจากหลินม่ายให้ได้
ฟางจั๋วหรานซึ่งรีบไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง และกำลังเฝ้าดูหลินม่ายจากมุมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก พอเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็กลัวว่าหลินม่ายอาจถูกอีกฝ่ายทำให้เจ็บตัว จึงรีบก้าวยาว ๆ เข้าไปหาหลินม่ายอย่างรวดเร็ว
เขาเหยียดแขนออกไปขวางนักข่าวสาวขาสั้นป้อมคนนั้น พอหล่อนเดินชนเข้ากับท่อนแขนอันแข็งแกร่งของเขาก็ถึงกับล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
นักข่าวสาวไร้ยางอายได้แต่ทำปากขมุบขมิบด้วยความหงุดหงิด ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆ ก็มีหนุ่มหล่อโผล่เข้ามาปกป้องหลินม่าย
หนุ่มหล่อคนนั้นยังหันมาตะคอกหล่อนอย่างเย็นชาด้วยว่า “ผู้หญิงเฮงซวย อย่ามาแตะต้องแฟนผม!”
นักข่าวสาวน้ำตาแทบไหล
ถ้าคนที่ดุด่าหล่อนเป็นผู้หญิง หล่อนคงไม่รู้สึกหน้าม้านขนาดนี้
แต่คนที่ด่าหล่อนด้วยถ้อยคำรุนแรงกลับเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อมาก หล่อนจึงรับความอัปยศในครั้งนี้ไม่ได้ “คุณ คุณมาด่าฉันแบบนี้ได้ยังไง? ฉันเป็นผู้หญิงนะ!”
ฟางจั๋วหรานโต้กลับด้วยความดูถูก “ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นชายหรือหญิง ผมสนแค่ว่าใครก็ตามที่กล้าหาเรื่องแฟนผม ผมจะจัดการทุกคนอย่างไม่ไว้หน้า! อย่าว่าแต่ด่าผู้หญิงเลย ต่อยผู้หญิงผมก็ทำได้!”
นักข่าวสาวที่นั่งกองอยู่กับพื้นเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ
ผู้ชายคนนี้มีบุคลิกภูมิฐานมาก แต่การกระทำของเขากลับไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ไม่มีความเห็นใจกันเลยสักนิด
หลินม่ายเดินเข้ามาจับมือฟางจั๋วหราน “ช่างเถอะ อย่าต่อปากต่อคำกับมดแมลงพวกนี้เลย จะเป็นประสาทเอาเปล่า ๆ”
ฟางจั๋วหรานก้มลงไปพูดกับเธอ “ใครใช้ให้มดแมลงตัวนี้มายั่วโมโหคุณกันล่ะ”
นักข่าวสาวไร้ยางอายเหมือนถูกฟางจั๋วหรานลากมาตบหน้าแล้วโดนหลินม่ายกระทืบซ้ำ หล่อนต้องเผชิญความอับอายขายขี้หน้า แล้วยังต้องมาดูพวกเขาแสดงความรักต่อกันอีก น้ำตาจึงแทบไหลรินออกมาเพราะความโกรธ
ปกติร้านเสื้อผ้าUniqueมอบหมายให้พนักงานขายประจำสาขาในห้างจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเอง ไม่ว่าจะเป็นการปรับราคา หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการโชว์สินค้า
พนักงานขายของร้านUniqueจึงมีผู้ชายปะปนอยู่ด้วย
นั่นเป็นเพราะผู้ชายมีแรงมากกว่าผู้หญิง จึงสามารถขนของ ย้ายของ และกระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
หลินม่ายส่งสมุดบันทึกในมือให้กับพนักงานขายชายที่อยู่ในร้าน ขอให้เขาไปร้องเรียนพฤติกรรมของนักข่าวสาวคนนี้ต่อหัวหน้างานของหล่อนโดยตรง
พนักงานขายชายคนนั้นรับสมุดบันทึกมาแล้วก็ขอตัวออกไป
พอนักข่าวสาวไร้ยางอายเห็นแบบนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นจากพื้นทันที วิ่งตามไปข้างหลัง ทั้งขอร้องทั้งอ้อนวอนให้เขายอมคืนสมุดบันทึกให้
แต่พนักงานชายกลับไม่สนใจ ยิ่งเดินจ้ำไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าในมือฟางจั๋วหรานถือกระติกน้ำอยู่ หลินม่ายจึงรู้ทันทีว่าเขามาส่งอาหารกลางวันให้เธอถึงที่
เธอยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา เห็นว่าเลยเวลามามากแล้ว จึงรีบรับกระติกน้ำจากฟางจั๋วหราน แล้วบอกให้เขากลับไปที่ห้องส่วนตัวในโรงพยาบาลเพื่องีบหลับก่อนจะไปเข้าเวรในตอนบ่าย
เธอไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เพราะเรื่องไร้สาระของตัวเอง
ฟางจั๋วหรานเห็นพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของหลินม่ายกับตาตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ดึงดันอยู่ต่อ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมหันไปบอกพนักงานของหลินม่ายให้ช่วยดูแลเจ้านายของพวกหล่อนให้ดี
มุมปากของพนักงานสาวทุกคนกระตุก พวกหล่อนเองก็อยากเป็นดอกไม้ที่บอบบางรอการปกป้องเหมือนกันนะ
แต่พวกหล่อนก็ตอบรับคำขอของเขาด้วยเสียงอันดัง
หลินม่ายหันกลับไปมองกลุ่มมนุษย์ป้าเจ้าปัญหาที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมจากไปไหน ถามว่า “พวกคุณจะใช้บัตรกำนัลอยู่หรือเปล่า? หลังจากนี้ก็อย่ามาหาว่าฉันไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจนอีกแล้วกัน ถ้าบัตรกำนัลหมดอายุขึ้นมา ต่อให้พวกคุณมาเอะอะโวยวาย เราคงไม่ยอมผ่อนปรนให้เหมือนวันนี้อีกแล้ว”
มนุษย์ป้าเจ้าปัญหานับสิบคนหันมาสบตากันทันที
ป้าร่างกำยำคนหนึ่งโบกมือแล้วพูดพลางลอยหน้าลอยตา
“เราใช้บัตรกำนัลแน่ แต่เราจะไม่ซื้อเสื้อผ้า จะขอแลกบัตรกำนัลที่เรามีอยู่เป็นเงินสดเท่านั้น!”
ลูกค้าหลายคนที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าหันขวับกลับมามองทีละคน
สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ต้องเป็นพวกอันธพาลแน่ ถึงอุกอาจขอแลกบัตรกำนัลเป็นเงินสดเอาดื้อ ๆ ใจคอจะให้ผู้ประกอบการล้มละลายหรือยังไงกัน?
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกเห็นด้วย แอบคำนวณในใจไปพลาง ๆ ว่าถ้าหญิงวัยกลางคนพวกนี้สามารถบีบบังคับให้Uniqueแลกบัตรกำนัลเป็นเงินสดได้ พวกเขาก็จะแลกบัตรกำนัลเป็นเงินสดด้วยเหมือนกัน
พวกเขาเพิ่งจะซื้อเสื้อผ้าไปได้ไม่นาน ยังไม่อยากจ่ายเงินซื้อเพิ่มอีก
สมมุติแลกบัตรกำนัลมูลค่าห้าหยวนเป็นเงินสดได้ อย่างน้อยยังสามารถซื้อไก่ตัวอ้วนพีได้ถึงสองตัวสำหรับทำอาหารในวันไหว้พระจันทร์และวันชาติ
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดหลินม่ายก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของมนุษย์ป้าเจ้าปัญหาพวกนี้แล้ว
ก่อนหน้านี้การเรียกร้องขอใช้บัตรกำนัลล่วงหน้าเป็นแค่การเสแสร้ง ความตั้งใจจริงของพวกหล่อนคือการเอาบัตรกำนัลมาขอเบิกเป็นเงินสดต่างหาก
ยายป้าพวกนี้ชักจะหัวหมอเกินไปแล้ว!
พนักงานขายคนหนึ่งของหลินม่ายโกรธมากจนอยากทุบอีกฝ่ายสักป้าบ สวนกลับทันควันว่า “คิดจะเอาบัตรกำนัลมาแลกเงินสด แบบนี้เดินเข้ามาปล้นกันโต้ง ๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอ?”
กลุ่มมนุษย์ป้าได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ราวกับถูกถลกหนังทั้งเป็น
พวกหล่อนปรี่เข้าไปผลักพนักงานขายคนนั้น “ในเมื่อบัตรกำนัลใช้แทนส่วนลดจำนวนห้าหยวนได้ แล้วทำไมถึงจะใช้แลกเป็นเงินสดไม่ได้?”
พนักงานขายอีกสองคนรีบเข้ามาอธิบายเหตุผลให้มนุษย์ป้ากลุ่มนี้ฟังทันที
บัตรกำนัลจากทางร้านสามารถใช้สำหรับเป็นส่วนลดในการซื้อขายเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนเงินสดได้ และไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นเดียวกัน
มนุษย์ป้าเจ้าปัญหาเริ่มมองซ้ายมองขวาหาแนวร่วมทันที
พวกหล่อนต้องการกดดันให้หลินม่ายยอมรับข้อเสนอ ไม่ว่ายังไงก็จะแลกบัตรกำนัลเป็นเงินสดให้ได้
คนส่วนใหญ่มีความเห็นแก่ตัวอยู่พอประมาณ พวกเขาไม่มีทางสนับสนุนแนวคิดอะไรก็ตามที่มากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีใครตอบสนองเลยสักคน
ถึงแม้จะมีบางคนที่โลภมากจนอยากเข้าไปสนับสนุนให้มนุษย์ป้ากลุ่มนี้สร้างปัญหา แต่เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างไม่เอาด้วย ก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายริเริ่มเพราะกลัวหน้าแหก
ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครแสดงท่าทางเห็นด้วยกับกลุ่มมนุษย์ป้าเจ้าปัญหาเลยสักคน
หญิงวัยกลางคนเหล่านี้รู้สึกหัวเสียมาก ตั้งท่าจะเดินจากไป
แต่หลินม่ายกลับเดินออกไปขวางทางพวกหล่อนไว้ “พวกคุณแสดงละครกันพอหรือยัง?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอออกโรงช่วยม่ายจื่อแล้ว ทำยังไงถึงจะได้แฟนประเสริฐอย่างนี้บ้างคะ
ไหหม่า(海馬)