ข้อสันนิษฐานนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ แท้จริงแล้วเป็นการจัดเตรียมที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกระดับ
เช่นนั้นเหตุใดโลกศิลาแห่งนี้ถึงกลายเป็นกระดานหมากรุก ต่อให้จักรพรรดิเสวียนเฉินจะมีพลังเทพมากมายเพียงใดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมหาเทพ แต่กลับจัดการให้ทายาทมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้อย่างแม่นยำ
ส่วนเขาก็ก่อกำเนิดดวงจิตขึ้นในโลกศิลาแห่งนี้ ก่อตัวเป็นจิตวิญญาณของตน และเดินทางมาจนถึงระดับในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้…เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือ
เป็นไปได้ไหมว่าในหนึ่งแสนโลกที่ก่อตัวขึ้นจากหนึ่งแสนร่างแยกมหาเทพจะมีตัวเขาอยู่ในทุกๆ โลก เพราะตะปูไม้สีดำก็แบ่งออกเป็นหนึ่งแสนเล่มอยู่ในหนึ่งแสนโลกเช่นกัน
สงครามกับมหาเทพนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการชี้นำ เขาคิดว่าร่างกายตนเองพิเศษ แต่ความจริงแล้ว…ในทุกๆ จักรพิภพย่อยไม่รู้สิ้นล้วนมีตัวเขา ร่างกายก็เป็นเพียงหนึ่งในร่างของตะปูไม้สีดำนับแสน!
การคาดเดานี้ทำให้สัมผัสสวรรค์หวังเป่าเล่อคำรามอย่างรุนแรง แม้แต่จักรวาลจักรพิภพในร่างกายเขาก็ยังสั่นไหวในชั่วพริบตาและเริ่มปรากฏสัญญาณความไม่เสถียร
ยังมีหมอกสีดำแผ่ออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดของหวังเป่าเล่อลอยไปบรรจบกันในจักรวาล…
ในสัมผัสสวรรค์ของเขาตอนนี้มีเสียงนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เกิดเป็นเสียงคำรามเขย่าวิญญาณเทพของเขา
“เจ้าก็เป็นแค่หนึ่งในแสน!”
“จะชนะหรือพ่ายแพ้ก็ไม่มีความหมาย!”
“ไม่ว่าเจ้าจะออกไปได้หรือไม่ เจ้าก็จะถูกร่างของเจ้าดูดกลืน เจ้า…เป็นแค่ความคิดของร่างเจ้าเท่านั้น!”
“ไม่ตลกหรือ นี่…ก็คือความจริงอย่างไรล่ะ!”
“ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าพยายามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ สงครามระหว่างเจ้ากับมหาเทพแผ่ขยายไปจนไร้คืนวันก่อตัวเป็นจักรวาลนับไม่ถ้วน เจ้าเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างกู่กับเซียนไหม การต่อสู้ที่วนเวียนกลับชาติมาเกิดนับไม่ถ้วน นั่นก็คือการต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์!”
“เจ้าเป็นใคร ก็แค่ความคิดของร่างเจ้าเท่านั้น!”
เสียงเหล่านี้ประเดประดังเข้ามาจนเกิดเป็นระลอกคลื่นบ้าคลั่งปะทุอยู่ในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อราวกับจะทำให้เขาจมดิ่งลงไปและแทรกซึมเข้าไปในจักรวาลจักรพิภพในร่างหวังเป่าเล่อ คล้ายจะทำให้มันสั่นคลอนจากรากฐานและทำลายมันทิ้ง
นี่คือความพินาศของเต๋า อิสรเสรีคืออะไร หากการดำรงอยู่ของตัวเองเป็นเพียงความคิดของผู้อื่น เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าอิสระก็คงเป็นการหลอกตนเอง และสิ่งที่เรียกว่าเสรีนั้นก็เป็นเรื่องไร้สาระ!
สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อพลันคำรามขึ้นมาอีกครั้งราวกับฟ้าร้องก้องกังวาน เขาเริ่มดิ้นรน สิ่งที่เขากำลังคิดไม่ใช่ความคิดว่าจริงหรือปลอม แต่คิดว่าเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนี้!
“ไม่ ไม่สิ เหตุใดจู่ๆ ข้าถึงมีความคิดเช่นนี้ สันนิษฐานไปเช่นนี้…”
“แล้วเหตุใดทันทีที่ข้อสันนิษฐานนี้เกิดขึ้นถึงได้ทำให้สัมผัสสวรรค์ของข้าสั่นคลอนรุนแรงเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นเช่นนั้นจริงข้าก็ไม่ควร! ปั่นป่วนมากขนาดนี้”
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าบิดเบี้ยว หมอกสีดำเหนือศีรษะเขาเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ภาพนี้ยังทำให้โจวเสี่ยวหยากับเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าลาน้อย และศิษย์พี่รอง รวมทั้งอู๋น้อยที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
“จิตมาร!!” ศิษย์พี่รองเอ่ยขึ้นทันที เขาคือเครื่องหอมบรรลุเต๋าจึงมีญาณพิเศษ เมื่อมองหวังเป่าเล่อในตอนนี้จึงเห็นจิตมารทันที!
ขณะร้อนใจ ศิษย์พี่รองก็เข้ามาใกล้ในพริบตา ก่อนจะยกมือขวากดที่ไหล่ของหวังเป่าเล่อเพื่อพยายามแบ่งภาระให้ทุเลาลง ทว่าในพริบตาเดียวเขาก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ร่างกายพลันพร่าเบลอ ก่อนจะเซถอยออกไป
“นี่คือการช่วงชิงร่าง!!” เห็นได้ชัดว่าอู๋น้อยเองก็มองเห็นอะไรบางอย่างจนอุทานออกมา หน้ากากในอกหวังเป่าเล่อวาบแสงสีขาว ร่างของแม่นางน้อยพลันปรากฏขึ้นด้วยความร้อนใจ ก่อนจะกดมือลงบนหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อ
ทว่าในทันทีที่สัมผัส ร่างของแม่นางน้อยก็สั่นสะท้านและเซถอยไปหลายก้าวเช่นกัน
ทั้งนางและศิษย์พี่รองต่างก็ไม่สามารถหยุดมันได้แม้แต่น้อย หมอกสีดำบนร่างหวังเป่าเล่อยิ่งแผ่ขยายออกมารวมกันที่เหนือศีรษะมากขึ้น
ในเวลาเดียวกันก็เกิดลมกรรโชกแรงไปทั่วบริเวณ ปรมาจารย์แห่งไฟที่หนีไปพักผ่อนปรากฏตัวขึ้นทันที ศิษย์พี่หญิงใหญ่กับวัวเฒ่าก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี สายตาปรมาจารย์แห่งไฟเผยแววกรุ่นโกรธ ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นกดไปยังจุดรวมปราณเทียนหลิงของหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและส่งเสียงคำรามต่ำออกมา
“เจ้ามายากลกล้าดีนัก!!” ขณะที่กล่าวเคล็ดวิชาคำสาปของเขาก็ปะทุออกมา มือขวาทำผนึกมุทราชี้ไปยังหมอกเหนือศีรษะหวังเป่าเล่อ
ทว่าในพริบตาที่เขาชี้ไป หมอกสีดำนั่นก็พลิกม้วนอย่างรวดเร็ว สีแดงเลือดไหลออกมาและย้อมหมอกให้กลายเป็นสีแดง ขณะเดียวกันร่างมายาตะขาบตัวหนึ่งก็ส่องแสงอยู่ข้างใน มันชนกับนิ้วของปรมาจารย์แห่งไฟโดยตรง
การชนกันครั้งนี้ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะถอยไปสามก้าว แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววเย็นยะเยือก แล้วระเบิดจิตสังหารออกมาจ้องมองตะขาบสีโลหิตด้านในหมอกเลือด ส่วนตะขาบตัวนั้นหลังจากชนกันแล้วก็ถอยไปหลายก้าวเช่นกัน ยามที่จ้องมองปรมาจารย์แห่งไฟ ดวงตาฉายแววดุดัน
“เป็นเจ้า!” จิตสังหารของปรมาจารย์แห่งไฟพลันรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนที่เขาสัมผัสกับกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของตะขาบสีโลหิตตัวนี้แล้ว เมื่อได้เห็นเองกับตา คำสาปที่สะสมอยู่ในตัวเขาก็กำลังจะระเบิดออกมา
ปรมาจารย์แห่งไฟมองออกแล้วว่าความจริงตะขาบสีโลหิตตัวนี้ไม่มีอยู่จริง ทว่ากลับมีความเกี่ยวโยงกับหวังเป่าเล่อที่บุคคลภายนอกไม่สามารถทำลายมันได้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ทำได้ หากเขาคิดจะขัดขวางก็มีทางเดียวคือ…คำสาป!
สำหรับปรมาจารย์แห่งไฟในตอนนี้ หากตนระเบิดคำสาปและตายไปพร้อมกับอีกฝ่ายก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ถึงอย่างไรด้วยอายุของเขา ความเป็นความตายนั้นไม่สำคัญแล้ว แต่หวังเป่าเล่อยังเด็กมาก เขาจะทนดูหวังเป่าเล่อถูกช่วงชิงร่างไปได้อย่างไรกัน
ท้ายที่สุดพลังแห่งคำสาปที่ไหลเวียนไปมาอยู่ในร่างปรมาจารย์แห่งไฟก็ทำให้ตะขาบสีโลหิตตัวนั้นระแวงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในตอนที่ปรมาจารย์แห่งไฟระเบิดคำสาปโดยไม่ลังเลนั้นเอง จู่ๆ…ก็มีเสียงแหบพร่าแต่หนักแน่นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ข้าเองดีกว่า” ผู้ที่เอ่ยขึ้นมาก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาลืมขึ้น เผยให้เห็นริ้วเลือด ขณะเดียวกันดวงตาก็กระจ่างชัด เงยหน้ามองตะขาบสีโลหิตที่อยู่เหนือศีรษะตน
ตะขาบสีโลหิตมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด มันมองหวังเป่าเล่ออย่างตื่นตระหนก
“เจ้าตื่นขึ้นมาเองหรือ?! เข้าใจแล้วหรือ นี่มันเกิดความคาดหมายของข้า…”
“เข้าใจแล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา ระดับการฝึกตนในร่างกายพลันระเบิดขึ้น หมัดขวาที่ยกขึ้นพุ่งออกไปทันที
หมัดนี้ดูดปราณวิญญาณในระบบสุริยะมาก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายหลุมดำในพริบตา ตะขาบสีโลหิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น
เนื่องจากตะขาบสีโลหิตตัวนี้ไม่มีอยู่จริง บุคคลภายนอกจึงไม่สามารถทำร้ายมันได้ แต่หวังเป่าเล่อมีบางอย่างเกี่ยวโยงกับมัน ดังนั้นสำหรับตะขาบสีโลหิต การโจมตีของเขาจึงมีพลังจริงๆ
การระเบิดระดับการฝึกตนไปถึงพลังต่อสู้ระดับจักรวาลในโลกศิลาของเขานั้น ทำให้ร่างของตะขาบสีโลหิตถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา หมอกสลายไปแต่กลับไม่มีความตายเกิดขึ้น นี่เป็นเพียงดวงจิตเทพของมันเท่านั้น
“น่าสนใจดีนี่ หวังเป่าเล่อ ครั้งหน้า…ข้าต้องทำได้แน่!” หลังจากประโยคนี้ลอยมา หมอกก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ หวังเป่าเล่อปลอบใจพวกปรมาจารย์แห่งไฟที่เป็นกังวล ปรมาจารย์แห่งไฟที่สภาพเหนื่อยล้าจากไป เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาก็จากไปพร้อมความเป็นห่วง
เมื่อเหลือเพียงอู๋น้อยกับเจ้าลาน้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังจักรวาลอันแสนไกล
เขาครุ่นคิดจนเข้าใจแล้วจริงๆ ไม่ว่าความคิดก่อนหน้านี้จะจริงหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ เขา…ก็ยังเป็นเขา
ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่ว่าโลกศิลาคือกระดานหมากรุกก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะในโลกศิลามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สามครั้ง หนึ่งคือการเข้ามาของกู่ซึ่งส่งผลต่อวิวัฒนาการของสถานที่แห่งนี้ สองคือการผนึกหลัวซึ่งทำให้เกิดสำนักแห่งความมืดและได้เปลี่ยนโครงสร้างของที่นี่ไป สามคือบิดาของหวังอีอีได้เปิดรอยร้าวนอกโลกศิลาทำให้พวกเขาสองพ่อลูกเข้ามา
จากนั้นแม่นางน้อยก็วาดภาพอธิบายสิ่งมีชีวิต และขัดขวางการพัฒนาตามปกติของที่นี่ จึงเป็นเหตุให้มีโลกศิลาอย่างในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้…ไม่สามารถเลียนแบบได้จึงน่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว
“โลกนี้คือสมอเรือของข้า ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร มันก็มีเพียงหนึ่งเดียว ข้าก็มีเพียงหนึ่งเดียว!” สายตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ สงบลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบากับอู๋น้อยที่กำลังกังวลเล็กน้อยอยู่ด้านหลังเขา
“อู๋น้อย ร่างของเจ้าสามารถทำให้กาลเวลารอบตัวเปลี่ยนไป ทำให้เรื่องในอดีตดูแปลกไปจริงๆ ข้าอยากรู้และต้องการความร่วมมือจากเจ้า และข้าจะพยายามสุดความสามารถเพื่อส่งเจ้ากลับบ้านเป็นการตอบแทน ตกลงไหม”
……………………………..