นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปทันทีที่เขาพูดจบ จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วหนาของตัวเองเข้าหากัน ”ออกมา”
ร่างกึ่งโปร่งแสงของกิเลนอัคคีปรากฏกายออกมา มันมองเข้าไปในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเป็นกังวล ”นายท่านขอรับ กลิ่นอายของท่าน…”
“มันจะกลับมาเหมือนเดิมในอีกสองวัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดกิเลนอัคคีเพราะเขารู้ว่ามันต้องการจะบอกอะไร เขาหันหน้ากลับมา แล้วใช้เสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองห่มให้นาง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แต่กิเลนอัคคีกลับยังไม่คลายความกังวลแม้จะได้ยินดังนั้น มันเข้าใจผิดไปเองหรือ
ดูเหมือนในระยะนี้บนร่างของนายท่านจะมีกลิ่นเลือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มันบอกไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับนายท่านกันแน่…
สิ่งเดียวที่มันรู้ก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องปลอดภัย
หากเฮ่อเหลียนเวยเวยตกอยู่ในอันตราย นายท่านจะต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปอย่างแน่นอน เพราะเขายังขาดสิ่งที่เรียกว่าชิ้นส่วนวิญญาณอยู่
เขาต้องหาชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นสุดท้ายให้เจอโดยเร็วที่สุดก่อนที่ผนึกจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์
แต่แม้ว่ามันจะเปิดตาทิพย์ และสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้จนแทบจะอยู่ในสภาพเดิมแล้ว แต่มันก็ยังหาข้อมูลของชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นสุดท้ายของนายท่านไม่เจอ
มันไม่รู้ว่าในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นนายกันแน่
สิ่งเดียวที่มันมั่นใจก็คือมันรู้ดียิ่งกว่าชิงหลงและอสูรกลืนเวหาว่าผู้เป็นนายของมันยังไม่ตาย แต่เลือกที่จะเข้าสู่การหลับใหล หรือจำเป็นต้องเข้าสู่สภาพหลับใหลด้วยเหตุผลบางประการ มิหนำซ้ำยังกระจายชิ้นส่วนวิญญาณของตนไปทั่วแผ่นดินเพื่อไม่ให้ใครหามันเจอในขณะที่แก่นวิญญาณเข้าสู่สังสารวัฏ
เวลานั้นมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงทำให้ไม่สามารถค้นหาเบาะแสใดๆ ได้ในตอนแรก แต่เพราะมันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ทำพันธสัญญากับนายท่าน และนายท่านได้ให้คำแนะนำเป็นพิเศษแก่มันด้วยตัวเอง ดังนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งพันปี ในที่สุดมันก็สามารถกลับมาหาผู้เป็นนายได้…
ตอนนี้ชิงหลงถูกกักขังเอาไว้ใต้ทะเลสาบชิงหลง และไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันทั้งสองอยู่แตกต่างกันคนละขั้ว ดังนั้นทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชิงหลง พวกมันสองตัวเป็นได้เริ่มทะเลาะกันเวลาที่นายท่านไม่อยู่ทุกที
อสูรกลืนเวหาเป็นตัวเดียวที่สามารถหยุดการต่อสู้นั้นได้ และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน
อสูรกลืนเวหาแตกต่างจากพวกมัน เพราะโชคชะตาของมันผูกติดอยู่กับนายท่านมาตั้งแต่เกิด
ตามหลักการแล้วอสูรกลืนเวหาควรจะอยู่ในที่ที่นายท่านอยู่
แต่หากเป็นเช่นนั้น ทำไมผ่านมาหลายปีแต่มันก็ยังสัมผัสถึงกลิ่นอายของอสูรกลืนเวหาไม่ได้เลยล่ะ
เป็นไปได้หรือเปล่าว่ามันตายไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกกักขังเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง
หรือเป็นเพราะว่าวิญญาณของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ เขาจึงไม่สามารถอัญเชิญมันออกมาได้
จนกระทั่งตอนนี้กิเลนอัคคีก็ยังไม่เข้าใจ สายตาของมันดูลึกล้ำ และแล้วในที่สุดมันก็ตัดสินใจว่าจะไปแดนปีศาจเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจ
เพราะอย่างไรมันก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นสุดท้ายของนายท่านเป็นอะไรกันแน่…
ยามค่ำคืนมาเยือน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มฝันร้ายอีกครั้ง
ทุกอย่างในความฝันนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ หรือแม้กระทั่งผู้คน
แต่ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันรู้สึกดีขึ้นกว่าครั้งก่อน นางไม่ได้ผอมบางและดูอ่อนแอจนแค่ถูกลมพัดก็ปลิวเหมือนเดิมอีกต่อไป
ราวกับว่านางค่อยๆ มีตัวตนขึ้นมา นางสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ส่งผ่านมาทางนิ้ว
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสคอตัวเอง นางก็ตื่นขึ้นจากการปลุกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน กลิ่นหอมจากร่างของเขาชวนให้จิตใจสงบทีเดียว ”ดูเหมือนช่วงนี้เจ้าจะฝันร้ายอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเจ้าไม่ชินกับการนอนในวังหรือ”
“ก็นิดหน่อย” ว่ากันว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่มีปราณแห่งความโกรธแค้นหนาแน่นที่สุด คนที่ดวงตกไม่ควรก้าวเข้ามาที่นี่ตอนกลางคืน จำนวนคนที่ตายเพราะการจมน้ำในวังหลวงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะบรรดาคนที่ถูกบรรดาสนมนางในวางแผนเล่นงาน พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่ต้องตายโดยไม่ทราบสาเหตุกันทั้งนั้น
สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ปราณแห่งความโกรธแค้นอันหนาแน่นย่อมไม่ใช่ข่าวดีสำหรับนาง
นางสิงร่างของคนอื่นอยู่ ดังนั้นปราณแห่งความโกรธแค้นจึงส่งผลต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยในความฝันราวกับมันกำลังส่งสารอาหารให้กับนาง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงแล้วยื่นมือไปรับแก้วน้ำขณะที่คิดเรื่องนั้นอยู่ในหัว
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นว่าเขาหยิบแก้วที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมา และนำมันมาจ่อไว้ที่ปากของนางก่อนแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม จากนั้นนางจึงก้มหน้าลงจิบน้ำไปสองอึก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางแก้วลง และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากและเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากให้กับนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเบี่ยงตัวหลบมือของเขาเพราะนางไม่อยากให้เขาทำความสะอาดให้ จากนั้นนางก็ซุกหน้าเข้ากับวงแขนของเขา นางถูไถมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
ครั้งนี้นางไม่ได้ฝันร้ายอีก แต่ตอนที่นางตื่นขึ้น นางก็เห็นคราบน้ำลายที่อยู่บนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงหลับอยู่ประกอบกับคราบน้ำลายนั้น จากนั้นนางก็ตัดสินใจว่าจะ ’หนี’ ออกไปจากสถานการณ์นี้
หากดูจากระดับอาการคลั่งความสะอาดขององค์ชายแล้ว สิ่งแรกที่เขาจะทำตอนที่ตื่นขึ้นคงเป็นการคว้าตัวนางไว้ก่อนจะกดนางลงกับฟูก แล้วตามด้วยบทลงโทษอันโหดร้ายอย่างแน่นอน
นางไม่อยากเปลืองแรงไปกับเรื่องพรรค์นี้ เพราะนางยังมีการประชุมประจำตระกูลที่ต้องเข้าร่วมในช่วงบ่ายอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางแผนการอย่างรอบคอบ และพยายามที่จะย่องออกไป
แต่ทันทีที่นางคว้าเสื้อคลุมตัวนอกได้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ”เจ้าจะไปไหน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก จากนั้นนางก็ถูกเขากอดจากทางด้านหลัง ”เจ้าคิดจะหนีหลังจากทำเสื้อข้าเปื้อนหรือ” เสียงขององค์ชายทุ้มลึกกว่าทุกครั้งเพราะเขาเพิ่งตื่นนอน
“ข้าแค่จะไปเตรียมอาหารเช้าให้ท่านต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง แล้วจูบใบหูของนางอย่างกะทันหัน ตำแหน่งนั้นเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของนาง
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังตัวสั่นด้วยความเสียวซ่าน เขาก็กระชากนางกลับไปนอนบนฟูกแล้วเอ่ยว่า ”แทนที่จะคิดหนี ทำไมเจ้าไม่ยอมให้ข้าลงโทษก่อนแล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างให้ข้าปล่อยเจ้าไปในคืนนี้แทนล่ะ”
“ข้า… อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกผลักจนจมหายเข้าไปในผ้าห่มสีแดงผืนใหญ่ ใบหน้าแดงระเรื่อที่อยู่ใต้ผ้าไหมสีเข้มนั้นยิ่งทำให้นางดูงดงามขึ้นอีก
สิ่งที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลงใหลที่สุดคือท่าทางของนาง เขามองดูนางเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงหอบหายใจแหบพร่าออกมา จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ฉีกชุดของนางออก และกระแทกร่างเข้าหานางอย่างรุนแรง
ทั้งสองเคลื่อนไหวสอดประสานกันได้เป็นอย่างดีหากเทียบกับเมื่อครั้งก่อน สัมผัสอันแนบชิดนั้นทำให้ทั้งสองมีความสุขอย่างถึงที่สุด
องค์ชายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น บทลงโทษของเขาจบลงภายในรอบเดียว
แต่ระยะเวลาของมันกลับยาวนานกว่าปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่านางเกือบกรีดร้องออกมากี่ครั้งขณะที่ถูกเขากระแทกเข้าใส่
แต่องค์ชายกลับยังมีพลังล้นเหลือ คงเป็นเพราะว่ามันยังเช้าอยู่นั่นเอง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านยังอยู่ข้างในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หรือว่าออกไปแล้ว” ขันทีคนหนึ่งเรียกเฮ่อเหลียนเวยเวยจากนอกห้อง
แปลกยิ่งนัก เวลานี้ฝ่าบาทควรจะไปเข้าร่วมการประชุมราชสำนักในช่วงเช้าแล้ว
ยิ่งกว่านั้นพระชายาก็สั่งให้เขามาปลุกนางให้ตรงเวลา เพราะนางมีเรื่องสำคัญต้องทำ แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงตอบกลับมาล่ะ
ขันทีคนนั้นรู้สึกว่ามันแปลกทีเดียว และคิดว่าเขาไม่ควรทำเพียงแค่ยืนคอยอยู่นอกห้อง ดังนั้นเขาจึงเพิ่มเสียงขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอเชิญแขกเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“รอ รอเดี๋ยวก่อน…”