เมื่อเห็นขบวนขุนนางและทหารรายล้อมหญิงสาวรายหนึ่งเดินมา เด็กผู้หนึ่งยืนอยู่บริเวณปากทางชุมชนถือไม้ไผ่เดินออกมาด้วยความใจกล้า
“ผู้ใด” เขาตะโกนเสียงแหลม “กล่าวรหัสลับมา”
หยวนไต้ฟูหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กนี่ ไม่รู้ว่าข้าคือผู้ใดหรือ คราวหน้าหากเจ้าปวดท้องอีก ข้าจะจิ้มเจ้าอีกเข็ม”
เด็กผู้นั้นเก้อเขิน เขาย่อมรู้จักหยวนไต้ฟู แต่ในกองทัพมักเป็นเช่นนี้ ไม่จำคน จำแต่รหัสลับ
“ข้าคือองค์หญิงจินเหยา มาพบท่านลุงเฉิน” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอนายทหารน้อยช่วยรายงานด้วย”
นายทหารน้อย! เด็กผู้นั้นใบหน้าแดงก่ำ จึงรีบหลีกทางให้
องค์หญิงจินเหยาให้ทหารรออยู่ด้านนอกชุมชน มีเพียงตัวเองและหยวนไต้ฟูเดินทางมายังเรือนของเฉินเลี่ยหู่ เฉินตันเหยียนยืนรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูอย่างน่าประหลาด
“องค์หญิงเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ” นางถาม “ทรงมาเยี่ยมนายน้อยจางหรือเพคะ”
พูดพลางชี้ไปด้านข้าง
“นายน้อยจางพักอยู่ในเรือนของท่านลุงหม่อมฉัน หม่อมฉันนำพวกท่านไป”
องค์หญิงจินเหยาพูด “นายน้อยจางเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้ามาเพื่อพบท่านลุงเฉิน ข้าขอพบเขาก่อนค่อยไปเยี่ยมนายน้อยจาง”
เฉินตันเหยียนไม่ได้หลบออกไป นางพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “บิดาหม่อมฉันไม่สะดวกนัก พวกท่านไปรอที่เรือนของท่านลุงหม่อมฉันเสียก่อนเถิด หม่อมฉันกับท่านพ่อจะตามไป”
ปฏิเสธการพบองค์หญิงหรือ องค์หญิงจินเหยาไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เฉินตันเหยียนเรียกขานหาเสี่ยวเตี๋ยผู้เป็นสาวรับใช้ เสี่ยวเตี๋ยนำองค์หญิงจินเหยาและหยวนไต้ฟูเดินไปทางเรือนด้านข้าง
“นายน้อยจางลงจากเตียงได้แล้ว ตอนเช้ายังช่วยให้อาหารไก่ด้วย” เสี่ยวเตี๋ยพูดคุยกับพวกเขาอย่างอารมณ์ดี
หยวนไต้ฟูไม่ได้พูดสิ่งใด เขาหันกลับไปมองเฉินตันเหยียน เฉินตันเหยียนมองเขากลับก่อนจะหลุบตาลงแล้วปิดประตู
หยวนไต้ฟูปล่อยแขนเสื้อลง มีดเล่มหนึ่งหล่นลงมาบนมือ เขาเดินตามองค์หญิงจินเหยาอย่างไร้เสียง ติดตามอยู่ข้างกายนาง
เมื่อเฉินตันเหยียนปิดประตูลง นางเดินไปยังใต้ซุ้มองุ่น บนโต๊ะหินมีน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จวางเอาไว้ นางมองอย่างนิ่งงันสักพัก ราวกับตัดสินใจบางอย่าง พลันยื่นมือยกมันขึ้นมาเดินไปทางเรือนด้านหลัง
เฉินเลี่ยหู่พักอยู่เรือนด้านหลัง เขามักวุ่นอยู่กับอุปกรณ์การเกษตร นอกจากครอบครัวของตนเอง เขาก็มักจะซ่อมแซมอุปกรณ์ให้คนในชุมชน หากเฉินเลี่ยหู่อยู่ เรือนด้านหลังมักมีเสียงก๊องแก๊ง แต่ในเวลานี้เรือนด้านหลังกลับสงบอย่างมาก เฉินเลี่ยหู่ก็ไม่ได้นั่งเหม่ออยู่บนก้อนหินในลาน
เมื่อปิดประตูลง ห้องนี้แทบจะไม่มีแสงสว่างใด ทั้งแคบทั้งมืด
ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในห้องมองไปรอบด้านพลางถอนหายใจ “ท่านมหาราชครูตกต่ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉินเลี่ยหู่นั่งอยู่ที่โต๊ะ สีหน้ามืดสลัว “ไม่ต้องสงสารข้า พวกเจ้ายังสู้ข้าไม่ได้ ท่านอ๋องฉีถูกปลดเป็นสามัญชน พวกเจ้าล้วนเป็นนักโทษที่กำลังหลบหนี จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวัน”
ชายผู้นี้สะอึกกับคำพูดของอีกฝ่าย เขายิ้มพลางพยักหน้า “พวกเราล้วนอนาถเช่นนี้ เป็นผู้ใดก็อย่าหัวเราะเยาะผู้อื่น ไม่ต้องสงสารผู้อื่น”
“มีเรื่องใดก็รีบพูดมา” เฉินเลี่ยหู่พูด “ข้ากับท่านอ๋องของพวกเจ้าก็ไม่มีเรื่องใดต้องพูดแต่เดิมอยู่แล้ว”
ชายผู้นั้นพูด “ตอนนั้นท่านอ๋องของพวกเราทรงอิจฉาท่านอ๋องอู๋อย่างมาก พระองค์มักบอกว่าหากฮ่องเต้เกาจู่พระราชทานท่านมหาราชครูเฉินให้พระองค์ก็คงดี ท่านมหาราชครูไม่ทรยศต่อท่านอ๋อง ท่านอ๋องย่อมไม่ทรงทรยศต่อท่านมหราชครู หากเป็นอย่างนั้น วันนี้พวกเราคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
เฉินเลี่ยหู่พูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่ก่อนแล้ว ล้วนผ่านไปแล้ว”
“เพียงแค่คนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีวันผ่านไป” ชายผู้นั้นเดินขึ้นหน้า กดเสียงต่ำลง ดวงตาของเขาทั้งเศร้าโศกทั้งร้อนแรง “ท่านมหาราชครูเฉิน เวลานี้ถึงคราวที่พวกเราต้องแก้แค้นแล้ว”
ดวงตาในความมืดของเฉินเลี่ยหู่ไม่ขุ่นมัวอีกต่อไป มันเปล่งประกายแวววาว “ที่แท้ท่านอ๋องฉีอยู่ซีเหลียง ท่านอ๋องซีเหลียงบุกโจมตีต้าเซี่ยในคราวนี้ก็เป็นฝีมือของเขา”
ชายผู้นี้ไม่คิดจะปิดบัง เขาพยักหน้าตอบรับ “ท่านอ๋องของพวกเราทรงกล่าวไว้ พระองค์จะทำให้ฮ่องเต้ได้เห็นว่าแผ่นดินนี้วุ่นวายอย่างไร”
“วุ่นวายอย่างไรหรือ ฮ่องเต้เกาจู่ทรงใช้เวลาสิบปีในการสร้างความมั่นคงให้แผ่นดิน ขับไล่ซีเหลียง” เฉินเลี่ยหู่ขมวดคิ้ว “บุตรหลานของพระองค์กลับสมรู้ร่วมคิดกับคนซีเหลียงอย่างนั้นหรือ”
ชายผู้นั้นยิ้มเย้ยหยัน “ฮ่องเต้เกาจู่ทรงกล่าวไว้ในเวลานั้น แผ่นดินนี้มีเพียงบรรดาพี่น้องกลมเกลียวจึงจะมั่นคง แผ่นดินนี้จึงแบ่งให้บรรดาท่านอ๋อง หากฮ่องเต้ทรงต้องการครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ก็ต้องทำให้เขารู้ว่าเมื่อไม่มีเหล่าท่านอ๋อง แผ่นดินจะกลายเป็นอย่างไร”
เฉินเลี่ยหู่ไม่ตอบโต้ เพราะเขาก็เคยพูดเช่นเดียวกัน
ชายผู้นี้จับแขนเสื้อของเฉินเลี่ยหู่ “ท่านมหาราชครู ฮ่องเต้ทรงทรยศต่อพวกเรา บีบบังคับจนทุกคนไร้หนทาง เขาต้องการกำจัดสายเลือดของทุกคนที่เป็นบุตรหลานของฮ่องเต้เกาจู่ให้สิ้นซาก ท่านมหาราชครู พวกเราต้องทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าเขาผิดไปแล้ว ท่านมหาราชครู มันเป็นโอกาส ซีเหลียงมีกองกำลังห้าหมื่นนาย อีกทั้งยังมีกองกำลังหลบซ่อนของท่านอ๋อง เพียงแค่ท่านมหาราชครูท่านยื่นมือ กองกำลังทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในกำมือของท่าน ท่านอ๋องซีเหลียง รวมทั้งท่านอ๋องของพวกเราล้วนฟังท่านมหาราชครู ท่านยังเป็นท่านมหาราชครูเฉินผู้ยิ่งใหญ่เหมือนเคย ตอนนั้นท่านยืนอยู่หน้าประตูเมืองซีจิง ไม่มีผู้ใดกล้ารั้ง เพียงแค่มีท่านอยู่ ท่านอ๋องอู๋ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแก…”
ตอนนั้นหรือ เฉินเลี่ยหู่เงยหน้ามองไปด้านหน้า เดินออกจากชุมชนนี้ไปก็สามารถมองเห็นทิศทางของประตูเมืองซีจิง ตอนนั้นเขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้งพร้อมกับชุดเกราะและดาบคู่กาย ด้านหลังเต็มไปด้วยนายทหารผู้แข็งแกร่ง มองดูฮ่องเต้องค์น้อยแสดงท่าทีเคารพ…
“ท่านมหาราชครู” ชายผู้นั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พลันจับแขนเสื้อของเขา “เพียงแค่เรื่องนี้สำเร็จ ท่านย่อมลบล้างความอัปยศได้ ท่านอ๋องอู๋ก็สามารถกลับมาอย่างมีเกียรติ”
ความอัปยศหรือ เฉินเลี่ยหู่เงยหน้าด้วยความเศร้าโศก
ชายผู้นั้นออกแรงเขย่าแขนของเขา “ท่านมหาราชครู นี่ไม่ใช่ความปรารถนาของท่านหรือ”
ความปรารถนาหรือ เฉินเลี่ยหู่หลุบตามองเขา “ความปรารถนาของข้าไม่ใช่เรื่องนี้”
ไม่ใช่หรือ ชายผู้นั้นผงะ เอ่ยถาม “ท่านมหาราชครูท่านต้องการสิ่งใด”
เฉินเลี่ยหู่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้เจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้เกาจู่ทรงกล่าวไว้ในตอนนั้น บนแผ่นดินนี้มีเพียงบรรดาพี่น้องกลมเกลียวจึงจะสงบสุข ดังนั้นจึงสถาปนาเหล่าท่านอ๋อง”
ชายผู้นั้นพยักหน้า “ใช่ ดังนั้นนี่คือพระราชโองการของฮ่องเต้เกาจู่…”
“พระราชโองการของฮ่องเต้เกาจู่คือพี่น้องกลมเกลียว แผ่นดินสงบสุข” เฉินเลี่ยหู่มองเขา “ไม่ใช่ให้พี่น้องสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกก่อความโกลาหลให้ต้าเซี่ย! ไม่ใช่การทำให้ราษฎรของต้าเซี่ยตกอยู่ในความลำบากเพียงเพื่อเกียรติยศ หรือเพื่อล้างความอัปยศของคนผู้เดียว! ท่านอ๋องที่เป็นเช่นนี้ หากฮ่องเต้เกาจู่ทรงอยู่ก็ย่อมจะประหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง”
สีหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนไป เขารีบลุกขึ้นทันที แต่ยังคงสายเกินไป เฉินเลี่ยหู่ที่นั่งอยู่ยกมือขึ้นฟาดลงบนคอของชายผู้นั้น ร่างที่ลุกขึ้นมาของชายผู้นั้นร่วงลงบนพื้นเสียงดัง กระตุกสองทีก่อนจะนิ่งงันไป
เฉินเลี่ยหู่ก้มหน้ามองชายผู้นั้นด้วยความเงียบ พลันพึมพำ “อีกทั้งหากข้าทำเช่นนี้ บุตรสาวข้าคงจะทิ้งชื่อเสียในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล ไม่อาจหลุดพ้นได้แล้วจริงๆ”
เขาพูดจบก็ยกเท้าก้าวข้ามชายผู้นี้ไปเปิดประตู เผชิญหน้ากับเฉินตันเหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตู
เฉินตันเหยียนยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านอยู่นี่หรือ”
เฉินเลี่ยหู่มองนาง ก่อนจะมองชาที่ถืออยู่ในมือของนาง เขาเชิดคางเล็กน้อย “มาส่งชาให้ข้าหรือ”
เฉินตันเหยียนยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะสาดชาลงบนพื้น “ไม่ใช่ ถ้วยนี้ข้าดื่มเอง ข้าพลางดื่มพลางมองหาว่าท่านอยู่ที่ใด…ไม่อร่อยนัก เย็นหมดแล้ว”
เฉินเลี่ยหู่ถลึงตาใส่นาง เดินกระเผลกผ่านนางไป “ข้าเฉินเลี่ยหู่เลี้ยงบุตรสาวได้ดีเสียจริง คนหนึ่งกล้าแทงข้างหลังข้า คนหนึ่งกล้ายกชาที่มีพิษมาให้ข้าดื่ม”
เฉินตันเหยียนเดินตามอยู่ด้านหลัง อธิบายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “มีที่ใดกัน ไม่ใช่ชาที่มีพิษ เพียงแค่ใส่ยาสลบเล็กน้อยเท่านั้น”
เฉินเลี่ยหู่ส่งเสียงไม่พอใจ เดินกระเผลกไปด้านหน้าไม่สนใจนาง
เฉินตันเหยียนพูดขึ้น “องค์หญิงประทับอยู่ที่เรือนท่านลุงสอง”
เฉินเลี่ยหู่ยังคงไม่พูดไม่จา เขาเดินออกจากเรือนด้านหลัง เดินออกจากประตูลาน เดินไปถึงหน้าประตูเรือนด้านข้าง ประตูกึ่งเปิดไว้ เขาสามารถมองเห็นองค์หญิงจินเหยานั่งพูดคุยกับจางเหยาอยู่ในลาน
ไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องใดจึงกำลังหัวเราะอยู่ องค์หญิงจินเหยากับจางเหยากำลังหัวเราะ หยวนไต้ฟูก็กำลังหัวเราะ แต่สายตาของเขาจับจ้องมายังประตูเสมอ…เขาเห็นเฉินเลี่ยหู่ในทันที
“องค์หญิง” เขาพูด “ท่านมหาราชครูเฉินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยาหยุดหัวเราะ พลันยืนขึ้น “ท่านมหาราชครูเฉิน”
เฉินเลี่ยหู่ยืนอยู่นอกประตู “ไม่มีท่านมหาราชครู องค์หญิงมาหากระหม่อมด้วยเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยาเดินไปทางเขา หยวนไต้ฟูคิดจะห้าม แต่เมื่อเห็นเฉินตันเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินเลี่ยหู่ยิ้มให้เขา หยวนไต้ฟูก็เก็บมือกลับมา พลันยิ้มตอบเฉินตันเหยียน
องค์หญิงจินเหยายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉินเลี่ยหู่ นางหยิบป้ายรูปปลาออกมา “ทหารซีเหลียงบุกรุกชายแดนต้าเซี่ย ชีวิตของราษฎรนับหมื่นกำลังตกอยู่ในอันตราย ขอ…นักโทษเฉินเลี่ยหู่รับตราทหารควบคุมกองกำลัง นำทัพทำสงครามกับโจรซีเหลียง”
เฉินเลี่ยหู่มองป้ายรูปปลาที่ยืนมาตรงหน้า เขาคุกเข่าลงข้างเดียวด้วยความเชื่องช้าและลำบาก พลันยื่นมือออกไป “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
องค์หญิงจินเหยาวางป้ายรูปปลาลงบนฝ่ามือของเขา พลันโน้มตัวพยุง “ท่านลุงเฉิน รีบลุกขึ้น”
เฉินเลี่ยหู่ลุกขึ้นพลันหันหลัง เขาเห็นพ่อบ้านถือชุดเกราะเอาไว้ พี่น้องสองคนยกดาบยาวเล่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า สวมชุดเกราะและรับดาบยาวมาภายใต้การช่วยเหลือของพ่อบ้าน
คนจำนวนมากในชุมชนต่างมารายล้อมมุงดู เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมา มองการแต่งกายของเฉินเลี่ยหู่ด้วยความตกตะลึงและตื่นเต้น
“ตาเฒ่าเฉิน เจ้าหาชุดเกราะและอาวุธมาได้แล้วหรือ” เด็กคนหนึ่งตะโกน
เฉินเลี่ยหู่หัวเราะร่า “ใช่” เขามองเด็กกลุ่มนี้ “กล้าตามข้าไปสนามรบหรือไม่”
บรรดาเด็กๆ ต่างยกอุปกรณ์การเกษตรหรือกิ่งไม้ในมือขึ้น พลันตะโกน “กล้า!”
เฉินเลี่ยหู่หุบยิ้ม กระแทกดาบยาวไว้ด้านหน้าลำตัว “ฟังคำสั่ง…”
เด็กๆ ที่กำลังผลักกันอย่างสนุกสนานยืนเรียงแถวอย่างรวดเร็ว
เฉินเลี่ยหู่มองไปด้านหน้า พลันสะบัดดาบยาว “ฆ่าข้าศึก!”
…
การเคลื่อนไหวของกองทัพสั่นคลอนเมืองหลวง ไม่จำเป็นต้องให้ข่าวของซีจิงแพร่กระจายออกไป ทั้งราชสำนักและราษฎรต่างรู้ว่าเกิดสงครามขึ้นแล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้ซีดยิ่งกว่าตอนสลบเสียอีก
“ฝ่าบาท ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจิ้นจงพูดอย่างรีบร้อน “เรื่องการโยกย้ายกองกำลังทั้งแปดไม่มีทางถูกพบว่าเป็นเพราะมีตราทหารอีกอันพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ปิดบังขุนนางราชสำนักจะมีความหมายอันใด! ความจริงก็คือความจริง
ฮ่องเต้ตบพระหัตถ์ลงบนโต๊ะอย่างแรง “บุตรที่ดีของข้า บุตรที่ดีของข้า…”
ในขณะที่เขาพูด สายตาของเขาก็มองออกไปยังนอกตำหนัก มีคนเดินมาหยุดที่หน้าประตูอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นคนผู้นี้ เสียงของฮ่องเต้ยิ่งลากยาวและเศร้าหมอง
“บรรดาบุตรที่ดีของข้า!”