เฮ่อเหลียนไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรอยู่ นางอยู่ในสภาพตัวอ่อนปวกเปียกและชาหนึบไปทั้งร่างราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ความคิดเดียวที่นางมีคือความต้องการที่จะให้เขาขยับตัวเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้น
“อย่าเร่งไป ของดีต้องใช้เวลา…” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยออกมาทำเอานางถึงกับตัวสั่นสะท้าน
เฮ่อเหลียนเวยเวยใกล้ถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ นางร้องขอความเห็นใจจากเขาด้วยเสียงอันสั่นเทา
องค์ชายสามย่อมเมตตานาง หากเทียบกับรอบที่ผ่านมา ระยะเวลาที่พวกเขาใช้ไปกับกิจกรรมนี้ก็ถือว่าลดลงแล้ว
แต่… ก็ยังถือว่าใช้เวลานานอยู่ดี!
หากเทียบเป็นเวลาปกติ มันก็ยาวนานถึงหนึ่งชั่วยาม!
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือค้ำเอวของตัวเองหลังจากกิจกรรมนั้นสิ้นสุดลง นางรู้สึกปวดเอวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ มันน่าจะเป็นฤทธิ์ของขี้ผึ้งชนิดนั้นหรือไม่ก็คงเป็นเพราะยาเม็ดอสูร นางรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นเสียด้วยซ้ำ
เมื่อทหารนายนั้นเห็นนายน้อยของตัวเองปรากฏตัวขึ้น เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนายน้อยแล้วเสียอีก เพราะผ่านมาครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่เห็นนางออกมาเสียที
แต่ตอนนี้แผนการทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างราบรื่น
“การประชุมประจำตระกูลจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วยาม” เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกม้วนกระดาษโบราณในมือ ”เดินไปคุยไปก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” ทหารนายนั้นก้มหน้าลงด้วยความเคารพ แล้วเดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยไป
มันเพิ่งเลยเที่ยงมาเท่านั้น อีกทั้งอากาศก็ยังสดชื่นแจ่มใสยิ่งนัก
มีบ้านหลังหนึ่งถูกปลูกเอาไว้ในซอยเม่าเอ่อร์อันเป็นซอยใหญ่ลำดับที่แปดของเมืองหลวง
นอกจากใช้เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ในยามปกติแล้ว บ้านหลังนี้ก็ยังถูกใช้ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษของตระกูลเฮ่อเหลียนอีกด้วย ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน ที่แห่งนี้จะมีการจัดประชุมประจำตระกูลขึ้นต่อหน้าเหล่าบรรพบุรุษเพื่อประเมินว่าผู้เป็นทายาทมีคุณสมบัติพอที่จะดูแลรับผิดชอบตระกูลหรือไม่
เมื่อช่วงเวลานี้มาถึง เก้าอี้ทุกตัวในบ้านมักจะถูกจับจองจนเต็มพื้นที่ นอกจากที่นั่งสำคัญแล้ว ที่นั่งที่เหลือล้วนแต่เป็นของบรรดาผู้นำจากตระกูลสาขาทั้งสิ้น
“พวกเจ้าดูนั่นสิ นายท่านมาถึงแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของผู้นำ ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นทันที ในมือของพวกเขายังคงถือถ้วยชาของตนเอาไว้ สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาของพวกเขาคือภาพของเฮ่อเหลียนกวงเย่าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ามั่นใจ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่นายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อนเคยนั่ง เขามองข้ามเหล่าผู้นำที่ยืนอยู่ด้านล่างไปอย่างอวดดี เขาดูอารมณ์ดียิ่งนัก
ซูเหยียนโม่ผู้เป็นฮูหยินนั่งลงข้างกายเขาด้วยท่าทางสูงส่ง เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความโอบอ้อมอารี
ทันทีที่ทั้งสองนั่งลง ทุกคนก็หยุดดื่มชาแล้วเงียบเสียงลง ทุกสายตาจับจ้องไปยังเฮ่อเหลียนกวงเย่า
เฮ่อเหลียนกวงเย่ากวาดตามองและสังเกตเห็นว่ามีเก้าอี้ตัวหนึ่งว่างอยู่ เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”การประชุมประจำตระกูลครั้งนี้มีความสำคัญต่อตระกูลของเราเป็นอย่างมาก ผู้เข้าร่วมทุกคนได้รับแจ้งว่าให้มาถึงตรงเวลามิใช่หรือ”
ผู้นำคนที่นั่งถัดไปจากเฮ่อเหลียนกวงเย่ากล่าวเสียงเบาว่า ”นายท่านขอรับ เก้าอี้ตัวนั้นเป็นของคุณหนูใหญ่ มีข่าวมาจากวังหลวงว่านางอาจจะมาสายขอรับ แต่นายท่านโปรดวางใจ ยังเหลือเวลาอีกราวครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงการประชุมประจำตระกูล คุณหนูใหญ่จะต้องมาถึงทันเวลาอย่างแน่นอน”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่ผู้นำคนนั้นบอก
ในทางกลับกัน ซูเหยียนโม่แสร้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจ นางเอ่ยว่า ”เวยเวยไม่มีวินัยมาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งตอนนี้ที่นางได้กลายเป็นพระชายาแล้ว นิสัยของนางย่อมเลวร้ายลงอย่างแน่นอน นอกจากรอแล้วพวกเราจะทำอะไรได้หรือ แต่ท่านลองคิดดูสิผู้นำหลี่ ต่อให้ตอนนี้เวยเวยจะเป็นพระชายา แต่ที่นี่ก็ยังมีผู้นำที่อายุมากกว่านางอยู่หลายคน นางไม่ควรปล่อยให้คนจำนวนมากรอนาน”
นางเพิ่งจะพูดจบ ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกเสียงดัง ’ปัง!’
กลิ่นกายหอมๆ และน้ำเสียงของนางดังขึ้นก่อนที่นางจะก้าวเข้ามาในบ้านเสียอีก ”การประชุมประจำตระกูลยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ ท่านไม่ควรบอกว่าข้ามาสาย”
ทุกคนหันหน้าไปมองทางประตูทันทีที่ได้ยินเสียงดัง หญิงรูปร่างผอมบางเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มในเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
แม้บนใบหน้าของนางจะไม่ได้รับการแต่งแต้มสีชาด แต่ทุกคนต่างก็นึกถึงคำว่าเทพธิดาขึ้นมา
ท่าทางอันเฉยชา เกียจคร้าน และมีเสน่ห์เช่นนี้ หากไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
แต่ครั้งนี้นางไม่ได้มาคนเดียว นางพาทหารจากกองกำลังลับในชุดสีดำและปืนคู่ใจมาด้วย พวกเขาดูเหมือนคนธรรมดา แต่แท้จริงนั้นกลับเก่งกาจทีเดียว แต่กระนั้นกลับไม่มีใครในบ้านรู้ตัวตนของพวกเขา
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏตัวขึ้น ซูเหยียนโม่ก็แทบจะไม่สามารถปิดบังความเกลียดชังที่วาบขึ้นในดวงตาของตัวเองเอาไว้ได้ แต่นางก็รู้ว่าเวลาที่นางจะได้บดขยี้นังเด็กชั้นต่ำคนนี้ยังมาไม่ถึง
ทันทีที่การประชุมประจำตระกูลจบลง นางจะไล่นางออกไปให้เหมือนกับไล่สุนัขจรจัดตัวหนึ่งเลยทีเดียว!
อย่างไรการไล่ใครสักคนออกจากตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หากเกิดขึ้นอีกครั้ง ชื่อของนังเด็กชั้นต่ำคนนี้จะต้องถูกลบออกไปจากตระกูลเฮ่อเหลียนตลอดกาล!
ซูเหยียนโม่จิบชาอึกใหญ่ แล้วเตือนตัวเองว่าแทนที่จะบุ่มบ่ามลงมือ สู้ใจเย็นเข้าไว้เสียยังดีกว่า มันคงดีกับนางมากกว่าหากนางนั่งอยู่เงียบๆ คอยดูเฮ่อเหลียนกวงเย่าทำให้นังคนชั้นต่ำนี่ต้องอับอายต่อหน้าทุกคน!
เฮ่อเหลียนกวงเย่ามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขากวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนจะเอ่ยขึ้นในฐานะผู้เป็นประมุขประจำตระกูลว่า ”ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มการประชุมประจำตระกูลได้”
แต่นอกจากบรรดาผู้นำที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนั้น บรรดาคุณชายจากที่อื่นที่มาเข้าร่วมพิธีต่างก็ไม่มีใครจำเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ พวกเขาเริ่มขยับศีรษะเข้าหากัน
“นางเป็นใครกัน ช่างงดงามยิ่งนัก”
“ไม่รู้สิ แต่ดูจากท่าทางทรงอำนาจนั่นแล้ว ดูเหมือนว่าฐานะของนางในตระกูลนี้จะสูงทีเดียว”
“มีฐานะสูงในตระกูล แต่กลับไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินซูหรือ ถึงข้าจะไม่ได้ยินว่าเมื่อครู่นี้ฮูหยินซูพูดว่าอะไร แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนคงจะไม่ค่อยถูกกันเท่าใดกระมัง”
“ตอนนางมาแล้วเราค่อยถามนางก็แล้วกัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นหญิงที่งดงามขนาดนี้ สงสัยจริงๆ ว่านางแต่งงานแล้วหรือยัง”
“พวกเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ นางก็คือเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไรเล่า พวกเราเคยเจอนางที่การประเมินมาแล้ว!”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนเวยเวยออกมา
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” บรรดาคุณชายที่มาจากนอกเมืองถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่เชื่อว่านางคือเฮ่อเหลียนเวยเวย
“พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นคงไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ใบหน้าเดิมของนางกลับคืนมาตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นองค์ชายสามก็ยังเลือกนางเป็นพระชายาสาม นอกจากนั้นร้านเวยเจ๋อที่พวกเจ้าอยากไปตอนที่เพิ่งมาถึงเป็นครั้งแรกก็ยังเป็นร้านของนางอีกด้วย…”
ยิ่งได้ฟัง สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งแสดงอาการตื่นเต้น
พวกเขายังจำหน้าตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยในตอนที่นางอายุเพียงสิบขวบได้ นางไม่ได้แค่อัปลักษณ์ แต่กลับไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย นางเป็นคนอารมณ์ร้าย หยาบคาย อวดดี และมักจะได้ที่โหล่ในการทดสอบอยู่เสมอ จะบอกว่านางเป็นความอับอายของตระกูลเฮ่อเหลียนก็คงไม่ผิดนัก
พวกเขาให้ความเคารพนางเพราะนางเป็นหลานสาวของนายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อน แต่ในใจนั้นพวกเขาต่างก็ดูถูกนางกันทั้งนั้น
มิหนำซ้ำผู้นำจากตระกูลของนางก็ยังถอดถอนสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประชุมประจำตระกูลของนางไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในหลายๆ ด้านของพวกเขาอีกด้วย
ครั้งหนึ่งนางเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไร้ค่า และคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้แม้นางจะเป็นถึงทายาทที่มีสายเลือดโดยตรงก็ตาม
แต่ตอนนี้…