ตอนที่ 476 อุ้มท่าเจ้าหญิงไปหาหมอ
แพทย์ของแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลผู่จี้ในเวลานี้เลิกงานไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแพทย์ของแผนกฉุกเฉินเท่านั้น
หลินม่ายรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมาอีกครั้ง และก็เป็นเพราะกินของไม่ดีจนท้องเสียนั่นเอง
เธอรีบร้อนมาหาหมอแผนกฉุกเฉิน ราวกับเป็นผู้ป่วยที่อาการหนักจนไม่อาจรอได้แล้ว
ต่อให้ฟางจั๋วหรานจะรักหลินม่ายแค่ไหน แต่ก็ยังมีจรรยาบรรณแพทย์อยู่
เขาไม่มีทางให้สิทธิพิเศษพาเธอไปที่แผนกฉุกเฉินแย่งชิงกับผู้ป่วยฉุกเฉินเหล่านั้นด้วยเพราะเธอกำลังทรมานได้
แต่เขาเองก็ไม่อาจยืนมองหลินม่ายเจ็บปวดอยู่เฉยๆ ได้
เขาจึงอุ้มหลินม่ายในท่าเจ้าหญิง แล้วเดินไปยังแผนกผู้ป่วยใน ดึงดูดให้ผู้คนระหว่างทางพากันชำเลืองมอง
เห็นสาวน้อยแสนสวยที่ใบหน้าซีดเซียว สีหน้าเซื่องซึมในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน ก็นึกว่าเธอคงเป็นโรคที่รักษาไม่หายอะไรสักอย่าง
ในดวงตาของใครหลายคนเผยความสงสารออกมา ในใจคิดว่า หญิงงามมักอาภัพจริงๆ
หลินม่ายถูกอุ้มท่าเจ้าหญิงอย่างกะทันหัน พลันกอดคอของฟางจั๋วหรานเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
กลัวว่าเขาจะจับไม่แน่นแล้วทำเธอก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ตกลงมากลายเป็นอัมพาตครึ่งตัว ครึ่งชีวิตที่เหลือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แบบนั้นมันน่าอนาถเกินไป
จนเมื่อเธอได้สติกลับมา ก็เขินอายจนใบหน้าเล็กแดงเห่อ
นี่มันกลางที่สาธารณะนะ
เธอรีบเอ่ยเสียงเบา “พอแล้วๆ! รีบปล่อยฉันลงเร็วค่ะ!”
ฟางจั๋วหรานเดินเร็วจนตัวแทบปลิว “คุณตัวอ่อนปวกเปียกขาอ่อนอย่างกับกุ้ง ถ้าปล่อยคุณลง ผมก็ยังต้องประคองคุณ ไม่สู้อุ้มคุณไปจะง่ายกว่า”
หลินม่ายรู้สึกว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผลดี เธอไม่มีอะไรจะโต้แย้ง จึงได้แต่ปล่อยให้เขาอุ้มไป
สายตาของเธอมองไปยังแขนของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
คงจะเป็นเพราะออกแรงมาก กล้ามแขนของฟางจั๋วหรานจึงนูนใหญ่ขึ้นมา แข็งราวกับก้อนหิน แขนเสื้อเชิ้ตยืดจนตึงแน่น ดูแมนสุดๆ
หลินม่ายลอบกลืนน้ำลายสองอึก
ไม่นึกเลยว่าตัวเองอายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมีความบ้าผู้ชายอยู่อีก
เธอถามอย่างสงสัย “คุณอุ้มฉันไปที่แผนกผู้ป่วยในทำไมเหรอ? แค่ท้องเสียเท่านั้นเอง หรือว่าคุณคิดจะให้ฉันนอนโรงพยาบาล? ทำเกินไปแล้วนะ”
ฟางจั๋วหรานก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงพูดประโยคหนึ่ง “อีกเดี๋ยวคุณก็รู้แล้วล่ะ”
หลินม่ายน้ำหนักตัวเบามาก แม้เธอจะมีส่วนสูง165เซนติมเตร แต่หนักเพียง46กิโลกรัมเท่านั้น
ฟางจั๋วหรานอุ้มเธอเอาไว้ก็อุ้มได้สบายๆ เหมือนกับหอบช่อดอกกุหลาบช่อหนึ่งอย่างนั้น แล้วมาถึงแผนกระบบทางเดินอาหารของแผนกผู้ป่วยในอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของกลุ่มพยาบาล ฟางจั๋วหรานก็อุ้มหลินม่ายเดินอวดเรียกความสนใจไปทั่ว แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าแพทย์ที่รับหน้าที่อยู่เวรในคืนนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หัวหน้าแพทย์เห็นฟางจั๋วหรานอุ้มสาวน้อยสีหน้าเซื่องซึมคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทีเคร่งขรึมก็ตกใจอย่างมาก ถามอย่างตื่นตระหนก “สาวน้อยในอ้อมแขนของคุณเป็นอะไรไปเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานพูดไปตามตรง “วันนี้ตอนเที่ยงแฟนสาวของผมกินอาหารที่ใกล้เสียแล้วเข้าไป แล้วท้องไส้ปั่นป่วนตลอดเวลา ผมอยากให้คุณช่วยตรวจให้สักหน่อยครับ”
หลินม่ายชอบที่ฟางจั๋วหรานเจอใครก็บอกว่าเธอคือแฟนสาวของเขา
ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เธอมักจะรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจอย่างยิ่ง
การที่ผู้ชายเต็มใจที่จะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนต่อหน้าคนอื่น คือการบอกได้ว่าอย่างน้อยเขาก็จริงจัง ไม่ได้คิดจะเล่นๆ กับคุณ และยิ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์จากคุณ
หัวหน้าแพทย์มุมปากกระตุกยิกๆ อยากจะคุกเข่าให้กับฟางจั๋วหราน
ฉันรู้ว่านายรักสาวน้อยในอ้อมแขนมาก แต่ช่วยอย่าเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้จะได้ไหม
ถึงกับอุ้มมาตรวจอาการแบบนี้ ทำฉันนึกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายอะไรแล้วเสียอีก!
หัวหน้าแพทย์ในวัยกลางคนเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากที่ก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาด้วยซ้ำ
ในใจแอบนึกยินดี โชคดีนะที่เธอถามไปว่าหลินม่ายเป็นอะไรไป?
ไม่อย่างนั้นฟางจั๋วหรานที่หลงแฟนสาวขนาดนี้คงเดินฟึดฟัดออกไป คิดว่าหล่อนกำลังแช่งแฟนสาวของเขาแน่ ถ้าหล่อนถามว่าแฟนสาวของเขาเป็นโรคร้ายอะไรบางอย่างใช่ไหม
หัวหน้าแพทย์พูดเกินจริง “โธ่เอ๊ย แบบนั้นคงแย่เกินทน! สาวน้อย เธอนั่งเองไหวไหม ถ้าไม่มีแรงนั่งเอง คุณอุ้มหล่อนไว้แล้วตรวจก็ได้นะ”
หลินม่ายอายจนแดงเถือกไปทั้งหน้า “ฉันนั่งเองได้ค่ะ” พูดจบเธอก็กระโดดลงจากอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน
หัวหน้าแพทย์ช่วยดูอาการให้หลินม่ายอย่างละเอียด ก่อนวินิจฉัยว่าเกิดการอักเสบของกระเพาะและลำไส้เฉียบพลันจากการกินอาหารที่เสื่อมคุณภาพ
ซึ่งคล้ายกับการคาดการณ์ของฟางจั๋วหราน
หัวหน้าแพทย์สั่งให้น้ำเกลือที่มีแต่ผู้ป่วยในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับ และยังสั่งยาสำหรับรับประทานให้อีกชุดหนึ่ง
หล่อนตำหนิฟางจั๋วหรานอย่างจริงจัง “ดูสิคุณอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว แม้แต่แฟนสาวคนหนึ่งก็ยังดูแลได้ไม่ดี”
ฟางจั๋วหรานเองก็ไม่ได้แก้ต่าง เขาหัวเราะพลางขอบคุณหัวหน้าแพทย์ แล้วพาหลินม่ายไปรับน้ำเกลือ
หลินม่ายถูกเขาจูงมือเล็กไว้ แล้วเดินตามเขาไปอย่างไม่เต็มใจนัก “ไม่ฉีดยา แค่กินยาอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?”
แม้ว่าเธอจะกินขมเก่ง แต่ก็กลัวเข็มมากเช่นกัน
ความกลัวเช่นนั้นเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
เมื่อชาติที่แล้วเพื่อที่จะได้ฉีดยาให้น้อยที่สุด เธอกินยาได้แต่ไม่ยอมฉีดยาเด็ดขาด
ในชาตินี้ได้เจอกับฟางจั๋วหราน ถูกเขาเอ็นดู ถูกเขารัก หลินม่ายก็รู้สึกบอบบางขึ้นมาไม่น้อย จึงยิ่งกลัวเข็มมากขึ้นไปอีก
“แค่ฉีดยาเอง ไม่ได้ควักเครื่องในออกมาเสียหน่อย ไม่ต้องกลัวหรอก”
เมื่อเจอกับการดิ้นรนของหลินม่าย ฟางจั๋วหรานก็เอ่ยคำพูดที่ตัวเองคิดว่าเป็นคำปลอบโยนออกมา
เครื่องหน้าของหลินม่ายขมวดรวมกัน นั่งอยู่ในห้องทำงานของพยาบาลแผนกผู้ป่วยใน จ้องมองพยาบาลสาวที่แทงเข็มให้เธอราวกับเจอศัตรูคู่อาฆาต
พยาบาลสาวเป็นเพียงเด็กใหม่ที่เข้าทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปี เดิมทีก็ฝีมือไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งมีศาสตราจารย์รูปหล่อมาเยือนโดยกะทันหันอีก หล่อนก็ยิ่งทั้งเขินทั้งประหม่า จึงพยายามแสดงความสามารถได้อย่างเลวร้ายมาก แทงเข็มให้หลินม่ายไปสองครั้งแล้วก็ยังแทงไม่เข้าเส้นเลือด
ตอนที่หล่อนเตรียมที่จะแทงเป็นครั้งที่สาม ใบหน้าของฟางจั๋วหรานก็ดำทะมึนจนกลายเป็นเปาบุ้นจิ้นแล้ว
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เอาเข็มไปส่งที่ห้องพักของฉัน”
จากนั้นก็อุ้มหลินม่ายขึ้นมาเดินไปท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอยู่
เมื่อมาถึงห้องพัก เขาก็วางหลินม่ายนั่งพิงอยู่บนเตียง
พยาบาลคนนั้นเองก็เอาเข็มมาให้เช่นกัน
ฟางจั๋วหรานให้หล่อนวางเข็มไว้บนโต๊ะหนังสือ แล้วให้หล่อนออกไปทันที
เขาจับมือเล็กทั้งสองข้างของหลินม่ายขึ้นมาดูที่หลังมืออย่างระมัดระวัง เส้นเลือดของมือขวาเห็นได้ชัดกว่ามือซ้ายเล็กน้อย
เขาจับมือขวาของเธอ แล้วตบลงที่หลังมือทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายถามอย่างประหลาดใจ “คุณฉีดยาเป็นด้วยเหรอ?”
“จะไม่เป็นได้ไงล่ะ?” ตบหลังมือเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็แทงหัวเข็มไปที่เส้นเลือดอย่างระมัดระวัง
หลินม่ายหลับตาทั้งสองข้างไว้แน่น
ยังไม่ทันเจ็บอย่างที่คาดคิดเอาไว้ ก็กลับได้ยินฟางจั๋วหรานพูดขึ้น “เสร็จแล้ว”
หลินม่ายลืมตามอง แทงเข็มเสร็จแล้วจริงๆ
เธอนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา หรือนี่จะเป็นเพราะความรัก ขนาดแทงเข็มก็ยังไม่เจ็บเลย?
หลินม่ายเริ่มท้องไส้ปั่นป่วนตั้งแต่บ่ายสามโมงกว่าๆ
ด้วยความเคยชินที่บ่มเพาะมาจากชาติก่อน หากไม่ได้ป่วยหนักเธอก็จะไม่ไปโรงพยาบาล เลยยืนหยัดเรียนหนังสือในขณะที่ปวดท้องไปด้วย
เธอฝืนรั้นมาจนถึงห้าโมงเย็นกว่าๆ และเป็นโจวฉายอวิ๋นนั่นเองที่มาพบเธอในสภาะแทบคลานไปกับพื้น ตอนนั้นเองถึงได้โทรศัพท์หาฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานนั้นแม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่สนใจจะกิน แล้วพาเธอไปหาหมอทันที
หลินม่ายรับน้ำเกลือแล้ว ก็ให้ฟางจั๋วหรานไปกินซาลาเปากินเกี๊ยวที่ร้านเปาห่าวชือรองท้องไปก่อน
เธอเจ็บปวดใจที่ผู้ชายอย่างเขาต้องทนหิวมาถึงตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นตอนบ่ายเขายังทำการผ่าตัดมาด้วย
แต่ฟางจั๋วหรานกลัวว่าเธอจะรู้สึกไม่สบาย จึงคอยอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ
หลังให้น้ำเกลือไปครึ่งหนึ่ง ท้องของหลินม่ายก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแม้แต่น้อย จึงคิดไปเองว่าไม่จำเป็นต้องให้คนดูแลก็ได้ แล้วให้ฟางจั๋วหรานไปกินอะไรที่ร้านเปาห่าวชืออีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานยังคงปฏิเสธ แต่ก็ออกไปโทรศัพท์ ให้โจวฉายอวิ๋นต้มโจ๊กข้าวขาวเอาไว้รอหลินม่ายกลับไปกิน
ท้องไส้เธอปั่นป่วนมาทั้งบ่าย จนตอนนี้ยังไม่ได้กินข้าวเย็น หลังให้น้ำเกลือเสร็จ ท้องคงต้องหิวแน่
ฟางจั๋วหรานคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องพัก ก็ได้ยินเสียงสาวน้อยเอ่ยพึมพัมขณะกำลังหลับตา
เขาเข้าไปฟังใกล้ๆ ได้ความคร่าวๆ คืออยากกินไก่ยั่วน้ำลาย ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานแล้วก็เป็ดตุ๋นเบียร์ เขาทำได้เพียงไม่สนใจ
คงเป็นเพราะสาวน้อยหิวแล้ว จึงอยากกินอะไรขึ้นมา
แต่โรคกระเพาะอักเสบเฉียบพลันนั้นไม่สามารถกินของมันเกินไปได้ เขาจึงไม่อาจเติมเต็มความต้องการของเธออย่างช่วยไม่ได้
เมื่อให้น้ำเกลือเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ส่งหลินม่ายกลับบ้าน
โจวฉายอวิ๋นไม่เพียงต้มโจ๊กข้าวขาวเสร็จแล้วเท่านั้น ยังผัดผักเขียวเอาไว้อีกสองอย่างด้วย
ฟางจั๋วหรานกลัวว่าหลินม่ายจะไม่กินอาหารจืดชืดเหล่านี้ เมื่อครู่ตอนที่ให้น้ำเกลือ เธอก็เอาแต่นึกถึงของกินอร่อยๆ
เขาเตรียมที่จะบังคับป้อนให้เธอกินเรียบร้อยแล้ว
ไม่นึกว่าสาวน้อยนั้นเพียงแค่บอก ก็ประคองโจ๊กข้าวขาวที่โจวฉายอวิ๋นตักให้เธอ กินคู่กับผัดผักอย่างรู้ความ
หลินม่ายกินโจ๊กไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็พบว่าฟางจั๋วหรานกำลังกินโจ๊กด้วยกันเป็นเพื่อนเธออยู่
เธอถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมคุณก็มากินอันนี้ด้วยล่ะ? คุณต้องกินของอร่อยๆ หน่อยสิ”
ฟางจั๋วหรานไม่กล้ากินของอร่อย เขากลัวว่าหลินม่ายจะอยากกินแต่ก็กินไม่ได้ แบบนั้นมันจะไม่ทรมานเหรอ?
เขาแหงนหน้ากินโจ๊กที่เหลืออยู่ในถ้วยจนหมด
เขาวางถ้วยลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนเย็นกินของจืดๆ หน่อยจะดี”
หลินม่ายไม่เชื่อที่เขาพูด แล้วคิดจะเข้าห้องครัวไปทอดไข่ดาวให้เขาสองฟอง
โจวฉายอวิ๋นโบกมือให้เธอ “เธอกินไปดีๆ เถอะ เดี๋ยวฉันไปทอดไข่ดาวสักสองสามฟองเอง”
เธอเข้าห้องครัวไปทอดไข่ดาวสามฟองแล้ววางไว้ตรงหน้าฟางจั๋วหราน
หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็กำลังจะไป ก่อนจะออกไปก็กำชับหลินม่ายอีกครั้งว่าให้รีบพักผ่อน ท้องไส้ปั่นป่วนมาตลอดทั้งบ่ายก็ทำร้ายร่างกายมากแล้ว
หลินม่ายนั้นเบื้องหน้าสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่เมื่อฟางจั๋วหรานไปแล้ว เธอก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการเรียนอย่างไม่อาจปล่อยวาง
เธอยังอายุน้อย ร่างกายแข็งแรง แถมให้น้ำเกลือมาแล้วด้วย ข้าวก็กินแล้ว ร่างกายฟื้นฟูไปได้เจ็ดแปดส่วนนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องตั้งใจพักฟื้นร่างกายก็ได้
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่หมอมาแจกอาหารหมาให้บุคลากรในโรงพยาบาลเหรอคะ? น่าหมั่นไส้คนคลั่งรักจริงๆ
ไหหม่า(海馬)