หลังจากส่งอี๋เหนียงหกออกไปแล้ว สืออีเหนียงก็นั่งเหม่อลอย
บางครั้งเมื่อนางเห็นอี๋เหนียงหกก็จะคิดถึงอี๋เหนียงห้า แม้ว่าวิธีการจะแตกต่างกัน ความคิดแตกต่างกัน แต่ก็เพียงหวังให้บุตรสาวมีชีวิตที่ดีเหมือนกัน
หลัวเจิ้นซิ่งควักเงินห้าพันตำลึงเพื่อส่งคนมาที่เยี่ยนจิง ต่อให้คุณนายสี่สกุลหลัวจะมีความสามารถแค่ไหน แต่หากไม่มีเส้นสายก็ทำไม่สำเร็จ มีบางเรื่องเกรงว่าจะต้องขอให้นางช่วย
สืออีเหนียงคิดว่าวันนี้คุณนายสี่สกุลหลัวคงไปเยี่ยมอู่เหนียงกับสือเหนียงแล้ว จึงให้หู่พั่วส่งป้ารับใช้ให้นำข้อความไปบอกที่ตรอกกงเสียน เชิญให้คุณนายสี่สกุลหลัวมาหานางในวันถัดไป หลังจากตื่นนอนในตอนเที่ยงก็ให้คนนำโต๊ะมาตั้งบนเตียงเตา นั่งเขียนจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนให้ชีเหนียง ขอให้จูอานผิงช่วยซื่อที่ดินในซานตงให้ อีกฉบับหนึ่งเขียนให้ซื่อเหนียง ขอให้อวี๋อี๋ชิงช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับเรือนให้
พอหยุดเขียนก็เริ่มลายตาเล็กน้อย
ตั้งแต่คลอดบุตร ดูเหมือนว่าสุขภาพจะแย่ลงกว่าเดิม
สืออีเหนียงครุ่นคิดก่อนที่จะให้บ่าวรับใช้นำกระจกมา
ใบหน้าซีดขาว ดวงตากลมโต คางแหลม ริมฝีปากสีเหมือนดอกสาลี่อ่อนๆ มีเพียงคิ้วโก่งที่ยังคงสีดำขลับเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งสะดุดตาเป็นพิเศษ
นางค่อยๆ วางกระจกลงบนผ้าห่ม สิ่งที่เห็นได้ชัดคือมือขาวซีดที่วางอยู่บนผ้าห่มสีแดง กำลังถือกระจกโบราณสีเงิน เห็นเส้นเลือดสีเขียวเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเปราะบาง
สืออีเหนียงเงียบอยู่นานก่อนจะให้สาวใช้น้อยเรียกป้าวั่นเข้ามา
นางกระซิบบอกป้าวั่นเกี่ยวกับสภาพร่างกายของตัวเองในช่วงนี้ “…เจ้าว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
นี่ก็ผ่านมาเจ็ดแปดวันแล้ว แต่เลือดเสียกลับไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของสืออีเหนียงอ่อนแอมาก บางเรื่องก็บอกอย่างคลุมเครือ พวกนางจึงคิดว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการคลอดบุตร จึงเพียงแค่ปรับเปลี่ยนและระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยคิดว่า…สีหน้าป้าวั่นจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบพูดขึ้นมาว่า “บ่าวว่าไปเชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรให้เถิดเจ้าค่ะ!”
หมายความว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
สืออีเหนียงให้ฟังซีไปนำป้ายหยกคู่มา “ไปเชิญหมอหลวงหลิวมา”
ฟังซีตอบรับแล้วถอยออกไป แต่พอเปิดผ้าม่านออกกลับเห็นสวีลิ่งอี๋กำลังยืนอยู่
เมื่อเห็นป้ายหยกคู่ในมือของฟังซี เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อยจึงให้ฟังซีไปเชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจดูอาการเจ้าค่ะ” ท่าทางของสืออีเหนียงเหมือนไม่เต็มใจที่จะพูดไปมากกว่านี้ จึงตอบไปเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วถามเขาว่า “ทำไมวันนี้ท่านโหวกลับมาเร็วล่ะเจ้าคะ ได้อะไรกลับมาบ้างหรือไม่”
หลายวันมานี้สวีลิ่งอี๋อารมณ์ดีอย่างมาก พาบ่าวรับใช้ไปเดินเล่นที่ถนนตงต้าในตรอกพันโหลวเซี่ยงเพื่อชมการประดิษฐ์อักษรโบราณและภาพวาดมาหลายวันติดกันแล้ว ทุกครั้งก็จะกลับมาตอนยามโหย่ว แต่วันนี้กลับมาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
“ไม่ได้อะไรพิเศษ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วนั่งลงที่ข้างเตียง “ก็เป็นเพียงแค่ของเลียบแบบเท่านั้น” เมื่อเห็นจิ่นเกอหลับสนิทอยู่ในผ้าห่มของสืออีเหนียง เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม เขาก็นอนไปแล้วสิบเอ็ดชั่วยาม” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
“เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ เหวินจู๋ที่อยู่ลั่วเย่ว์มาหาเจ้าค่ะ บอกว่าได้รับคำสั่งจากคุณชายน้อยสองให้นำของมามอบให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ”
เพราะว่าสวีซื่ออวี้ต้องอยู่ไว้ทุกข์ที่ลั่วเย่ว์จึงไม่สามารถกลับจวนมาเยี่ยมจิ่นเกอได้
สืออีเหนียงคิดถึงตอนที่เจินเจี่ยเอ๋อร์นำของมามอบแทนสวีซื่ออวี้ก็อดยิ้มไม่ได้ กำชับสาวใช้น้อยว่า “ให้เหวินจู๋เข้ามาเถิด” ครุ่นคิดอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าสวีซื่ออวี้จะรู้หรือไม่…หากมอบสร้อยข้อมือทองคำมาให้เช่นกัน…หันไปพูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “ไม่รู้ว่าเขาส่งอะไรมา”
ดวงตาเปล่งประกาย ท่าทางราวกับว่ารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
แววตาของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ตอนคลอดนั้นลำบากยากเย็น แม้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งแม่และเด็กจะปลอดภัย แต่ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของสืออีเหนียงจะถูกทำลายไป ไม่เพียงแต่ซีดเซียวและดูอ่อนแอ ทั้งยังดูไม่มีชีวิตชีวา บ่อยครั้งที่พูดคุยกันสีหน้าจะเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า ยากนักที่จะเห็นนางอารมณ์ดีเช่นนี้ เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แล้วเจ้าอยากได้อะไรล่ะ”
“อะไรนะเจ้าคะ” เมื่อครู่สืออีเหนียงใจลอยไปพักหนึ่ง
สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะนางเบาๆ ยิ้มพลางกระซิบถามอีกรอบ “เจ้าชอบอะไร”
จะมอบสิ่งของให้นางหรือ
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
สวีลิ่งอี๋จับมือนางเอาไว้
มือของสืออีเหนียงเรียวนุ่ม เมื่อก่อนอบอุ่นเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ปลายนิ้วเย็นเล็กน้อย มือของนางถูกโอบอุ้มด้วยฝ่ามือของเขา
“ข้าเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่ตรอกพันโหลวเซี่ยง” เขาพูดเสียงเบาว่า “มีปลาแกะสลักจากไม้ฮว่าแล้วสวมด้วยด้ายถัก แขวนไว้ข้างขอบเตียงเป็นเครื่องประดับ มีแจกันปากแคบที่ทำจากแก้ว เมื่อเป่าลมเข้าไปเบาๆ ก็จะได้ยินเสียง ‘วู้ วู้’ มีไก่จิกข้าวที่ทำมาจากเครื่องลายคราม พอไก่จิกข้าวก็จะได้ยินเสียงเครื่องลายครามกระทบกัน แล้วก็ยังมีตลับเครื่องประทินผิวที่ทำจากแก้วขายเป็นโถขนาดใหญ่ สวยงามยิ่งนัก…”
สืออีเหนียงค่อยๆ ผ่อนคลาย “เช่นนั้นท่านโหวคิดว่าอะไรน่าสนใจก็ซื้ออันนั้นเถิดเจ้าค่ะ!”
ยากนักที่เขาจะใจดีเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เหวินจู๋เข้ามาพอดี
“ฮูหยิน ท่านโหว” นางย่อเข่าคำนับ มอบสิ่งที่สวีซื่ออวี้ส่งมา “พระอรหันต์ที่คุณชายน้อยสองแกะสลักเองกับมือเจ้าค่ะ บอกว่าเพื่ออวยพรให้คุณชายน้อยหกมีแต่รอยยิ้มเจ้าค่ะ”
เป็นพระอรหันต์เปลือยอกที่แกะสลักจากไม้ไผ่ ลวดลายแกะสลักมีความละเอียดอ่อน ความความปิติร่าเริงได้เผยให้เห็นจากใบหน้าของพระอรหันต์ เห็นได้ว่าสวีซื่ออวี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแกะสลัก
“แกะสลักได้ดีมาก!” สืออีเหนียงเอ่ยชื่นชม ยิ้มพลางรับพระอรหันต์มาแล้ววางไว้บนหัวเตียง ถามถึงสวีซื่ออวี้ “…ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว ถ่านที่นั่นพอใช้หรือไม่ ปลอกหูกับเสื้อขนสัตว์ของคุณชายน้อยสองได้นำไปด้วยหรือไม่ ลั่วเย่ว์อยู่ห่างไกล ข้าให้คนนำผักสุ่ยสดใหม่ไปให้ทุกสามวัน เหล่าผู้ดูแลทำงานกันเต็มที่หรือไม่”
“เรียนฮูหยิน” เหวินจู๋ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เมื่อต้นเดือนเก้าโรงเย็บปักได้เตรียมเสื้อผ้าฤดูหนาวของคุณชายน้อยสองไว้ครบถ้วนแล้ว เมื่อเข้าฤดูหนาวผู้ดูแลเฉาก็จะไปหาทุกๆ สามวัน ผักสุ่ยกับไข่ไก่ล้วนสดใหม่ ทุกครั้งที่ไปก็จะไปดูที่ห้องเก็บถ่านว่ามีถ่านพอใช้หรือไม่ คุณชายน้อยยังบอกอีกว่า ‘หากสวรรค์ต้องการจะมอบความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ให้กับใครบางคน ก่อนอื่นต้องทำให้เกิดความเจ็บปวดทุกทรมาน เพื่อทำให้เขาผู้นั้นมีกำลังฮึดสู้ขึ้นมา’ นอกจากจะใช้ละลายหมึกแล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ถ่านมากนัก ไม่เพียงแต่พอใช้ซ้ำยังมีเหลือเฝือเจ้าค่ะ” อธิบายอย่างชัดเจนและเป็นระเบียบ
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองนาง
เมื่อเหวินจู๋ถอยออกไปแล้วก็ถามสืออีเหนียงว่า “สาวใช้น้อยผู้นี้นามว่าอะไร”
“นางมีนามว่าเหวินจู๋เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เป็นคนที่ไท่ฮูหยินเลือกเองกับมือ คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอวี้เกอมาสามสี่ปีแล้ว ตอนนี้ได้ค่าแรงรายเดือนของสาวใช้ระดับสองแล้ว”
สาวใช้ระดับสูงที่สุดที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายน้อยและคุณหนูก็คือสาวใช้ระดับสอง
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “ข้าว่าสาวใช้ผู้นี้ท่าทางเป็นมิตรและสุภาพเป็นอย่างมาก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไปอยู่กับอวี้เกอที่เล่ออาน ได้เรียนรู้โลกกว้าง แน่นอนว่าสาวใช้ธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้”
“มิน่าล่ะถึงได้รู้จักเมิ่งจื่อ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเกี่ยวกับเหวินจู๋ ส่วนเหวินจู๋ที่ออกมาจากเรือนของสืออีเหนียงแล้วก็ไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์ต่อ
“คุณชายน้อยสองบอกว่าหากบ่าวเข้าจวนมาจะต้องไปขอบคุณคุณหนูใหญ่แทนเขาให้ได้ บ่าวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณอย่างไรจึงจะไม่เสียมารยาท” พูดพลางคุกเข่าลงกับพื้น “คงมีเพียงโขกหัวคำนับคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่นางคุกเข่าลง เสี่ยวหลีก็ได้เข้าไปประคองนางขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างโกรธเคือง “ทำราวกับว่าข้าเป็นคนใจแคบถือสาเอาความคน”
เหวินจู๋รีบพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้เข้าใจผิดคุณชายน้อยสองนะเจ้าคะ นี่เป็นความคิดของบ่าวทั้งหมดเจ้าค่ะ” ขณะที่พูดก็น้ำตาคลอ “ในยามตกทุกข์ได้ยากก็จะรู้ได้ว่าใครคือมิตรแท้ นอกจากคุณหนูใหญ่แล้วจะมีใครรู้ถึงความยากลำบากของคุณชายน้อยสอง แล้วยังคิดช่วยมอบของขวัญให้คุณชายน้อยหกแทนคุณชายน้อยสองอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อรับน้ำใจข้าไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก” เจินเจี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจเล็กน้อย “พี่สองอยู่ที่ลั่วเย่ว์สบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ!” เหวินจู๋หลั่งน้ำตาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “จะตื่นแต่เช้าแล้วเข้านอนเร็วทุกวัน เรียนหนังสือ ฝึกเขียนตัวอักษร ในวันที่หนึ่ง วันที่สิบห้า และทุกๆ ครบรอบเจ็ดวันจะไปจุดธูปหลังหมู่บ้านหน้าป้ายศพของฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ฉินอี๋เหนียงเสียชีวิตก็ไม่ได้ฝังไว้ที่หลุมศพบรรพบุรุษของสกลุสวี แต่กลับทำศพไว้ที่ที่ดินผืนหนึ่งใกล้กับหมู่บ้านในลั่วเย่ว์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ
******
ยามพลบค่ำหมอหลวงหลิวก็รีบมาที่จวน
เมื่อจับชีพจรแล้วก็ไปดูยาที่สืออีเหนียงกำลังทานอยู่ พูดพึมพำว่า “ฮูหยินมีภาวะม้ามบกพร่อง ข้าจะสั่งยาบำรุงเลือดให้ฮูหยิน ลองทานดูก่อนสักสองสามชุด”
ลองทานดูก่อน? แสดงว่าไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้!
สืออีเหนียงไม่แสดงสีหน้าใดๆ พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าเป็นโรคอะไรหรือ”
“เป็นภาวะอ่อนแอหลังคลอด” หมอหลวงหลิวพูดต่ออีกว่า “บำรุงเลือดลมให้ดีก็พอแล้ว!” จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงกระซิบกำชับหู่พั่วว่า “อีกสักครู่เจ้าไปที่เรือนนอก ให้บ่าวรับใช้ที่ไปซื้อยาถามมาให้ชัดเจนว่าหมอหลวงหลิวสั่งยาอะไรให้ข้าบ้าง!”
หู่พั่วอยู่กับสืออีเหนียงมาห้าหกปีแล้ว เป็นบ่าวรับใช้ใกล้ชิดและเข้าใจสืออีเหนียงมาตลอด ยิ่งสืออีเหนียงสงบนิ่งเช่นนี้ แสดงว่าสถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น ใจนางตกลงไปที่ตาตุ่ม สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่เรือนนอกทันที
หมอหลวงหลิวที่มาถึงประตูฉุยฮวาก่อนหู่พั่วได้ถูกหลินปัวเชิญไปที่ห้องหนังสือเรือนนอก
“ฮูหยินป่วยเป็นอะไร”
หมอหลวงหลิวเห็นสีหน้าที่วิตกกังวลของสวีลิ่งอี๋ก็แอบถอนหายใจ พูดเสียงเบาว่า “มีอาการตกเลือด!”
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืน “ตกเลือดได้อย่างไร อาการตกเลือดไม่ได้เป็นเฉพาะหลังคลอดเท่านั้นหรือ นี่ก็ผ่านมาตั้งเจ็ดแปดวันแล้ว!”
หมอหลวงหลิวพูดอย่างลังเล “ชายหญิงแตกต่างกัน มีบางอาการที่ข้าก็ไม่สามารถถามมากได้…แต่ดูจากชีพจรแล้วคล้ายกันมาก”
สวีลิ่งอี๋นิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาไม่สามารถคาดเดาได้
หลังจากเงียบไปนานก็พูดเสียงเบาว่า “หากเป็นอาการตกเลือดจริงๆ …เจ้ามีความมั่นใจที่จะรักษาได้มากแค่ไหน!”
ใครจะกล้าให้คำสัญญาเรื่องนี้!
หมอหลวงหลิวพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ลองทานยาดูก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ รักษาไป ใช้เวลาสามถึงห้าปีร่างกายของฮูหยินก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว”
สวีลิ่งอี๋สีหน้านิ่งเฉย
หมอหลวงหลิวส่ายหน้าเบาๆ โค้งคำนับกล่าวลา “หากท่านโหวไม่มีธุระอื่นแล้ว ผู้น้อยขอตัวลาก่อน พรุ่งนี้จะกลับมาติดตามอาการของฮูหยินอีกmu”
สวีลิ่งอี๋กลับเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ามากับข้า” พูดพลางเดินออกไปนอกประตู
หมอหลวงหลิวไม่รู้เจตนาของเขา รีบเดินตามไปติดๆ
เมื่อออกจากห้องหนังสือเล็กๆ สวีลิ่งอี๋ก็ไปที่ทางเดินระเบียงทางด้านตะวันออก ผ่านซอยเล็กๆ ไปก็จะเห็นประตูหรูอี้เคลือบสีดำขลับของเรือนหลัก
หมอหลวงหลิวตกตะลึง
สวีลิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบว่า “อีกสักครู่หากเจ้ามีอะไรอยากถามก็ให้บอกข้ามาได้เลย ข้าจะไปถามฮูหยินเอง!” ขณะที่พูดน้ำเสียงของเขาค่อยๆ เคร่งขรึมมากขึ้น “ตรวจโรคนี้ให้ชัดเจน อย่าเอาแต่คาดเดา!”