หมอหลวงหลิวตอบตกลง
แต่สืออีเหนียงกลับหน้าแดงจนแทบจะพูดไม่ออก
“มั่วเหยียน…” สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว
สืออีเหนียงหันหน้าไปทางอื่น พูดเสียงเบาราวกับเสียงยุง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินไม่ชัดเลยโน้มตัวเข้าไปใกล้ จึงสังเกตเห็นว่าสืออีเหนียงหน้าแดงจนไปถึงคอ
เขาลูบใบหน้านาง ใบหน้าร้อนผ่าวจนรู้สึกได้
“กับข้าก็บอกไม่ได้หรือ” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม สีหน้าอ่อนโยน
สืออีเหนียงก้มหน้า “ท่าน ท่านให้คนอื่นมาถามข้าแทนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง
เพราะเหตุใดเล่า
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
“ทำไมข้าถึงถามไม่ได้” เขาจ้องมองสืออีเหนียง ท่าทางค่อนข้างจริงจัง น้ำเสียงทุ้มที่ถูกเปล่งออกมาเบาๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น
เพราะมันน่าอายเกินไป!
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขาอย่างไร พูดเพียงว่า “ท่านให้คนอื่นมาถามดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ท่าทางดูเอาแต่ใจเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยความออดอ้อน
สายตาของสวีลิ่งอี๋จับจ้องไปที่นาง “เช่นนั้นข้าจะให้ป้าซ่งนำความมาบอก”
สืออีเหนียงคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไปว่า “เช่นนั้นก็ให้ป้าซ่งเป็นคนมาถามเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม ค่อยๆ กอดนางไว้ในอ้อมแขน “เด็กโง่!”
ปลายนิ้วสัมผัสที่แผ่นหลังของนาง จนรู้สึกกระดูกสันหลังค่อนข้างชัดเจน รู้สึกไม่สบายมือเล็กน้อย
“มั่วเหยียน…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงผอมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สวีลิ่งอี๋รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ให้คนอื่นมาถาม แม้ว่าจะน่าอายเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหมือนกับที่สวีลิ่งอี๋ถามนาง ทำให้นางทำตัวไม่ถูกและรู้สึกอึดอัด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นางยอมให้ป้าซ่งมาถามดีกว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน จึงไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดบางอย่างในชีวิตของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้กระมัง
สืออีเหนียงถูกสวีลิ่งอี๋กอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก นางผลักสวีลิ่งอี๋ออกเบาๆ แล้วกระซิบเตือนเขาว่า “หมอหลวงหลิวยังรออยู่นอกม่าน!”
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ปล่อยตัวนาง
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็โน้มตัวไปหอมแก้มนางแล้วถามคำถามที่หมอหลวงหลิวถามไปเมื่อครู่
“ท่านโหว…” สืออีเหนียงประหลาดใจ
เหตุใดถึงได้เปลี่ยนใจเสียแล้ว
สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
“อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “จิ่นเกอยังเล็กอยู่เลย!”
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็หลั่งน้ำตาออกมา
นางนึกถึงหยวนเหนียงที่จากไปเพราะอาการป่วย แล้วนึกถึงจุนเกอผู้อ่อนแอ…
สืออีเหนียงเข้าไปกระซิบที่ข้างหูสวีลิ่งอี๋ ตอบคำถามของหมอหลวงหลิวเบาๆ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางกอดสืออีเหนียงไว้ในอ้อมแขน “หลับตาลงก็จะไม่รู้สึกอายแล้ว”
******
“เป็นอาการตกเลือด!” ครั้งนี้หมอหลวงหลิวให้คำตอบอย่างมั่นใจ “ลองใช้ตำรับยาปู่จงอี้ชี่ดูก่อน หากไม่ได้ผลค่อยเพิ่มฟู่จื่อเข้าไป”
สวีลิ่งอี๋สงบลงแล้ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “สถานการณ์ของนางเป็นเช่นนี้ สามารถฝังเข็มได้หรือไม่”
หมอหลวงหลิวตกใจเป็นอย่างมาก นิ่งตะลึงอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หากจะฝังเข็มต้องฝังที่จุดผีอวี๋ หยิ่นไป๋ ไป่ฮุ่ย ชี่ไห่ จู๋ซานหลี่…”
ผีอวี๋อยู่ที่หลัง หยิ่นไป๋อยู่ที่เท้า ไป่ฮุ่ยอยู่ที่หัว ชี่ไห่อยู่ที่ท้อง จู๋ซานหลี่อยู่ที่ขา
สวีลิ่งอี๋ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ถามขึ้นมาว่า “จะได้ผลหรือไม่”
หมอหลวงหลิวกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่สวีลิ่งอี๋พูดแทรกขึ้นมา ตอบไปว่า “แน่นอนว่าย่อมเร็วกว่าการทานยา”
“เช่นนั้นก็ฝังเข็มเถิด” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างหนักแน่นว่า “ทางด้านของฮูหยินข้าจะพูดให้เอง”
หมอหลวงหลิวมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโหวช่วยส่งคนไปเอาเข็มที่จวนของข้าที ข้าจะฝังเข็มให้ฮูหยินประเดี๋ยวนี้”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เข้าไปในม่าน
เป็นเรื่องที่สืออีเหนียงคิดไม่ถึง
นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน
“ข้ารู้ว่ามันค่อนข้างน่าตกใจ” สวีลิ่งอี๋กลัวว่านางจะไม่เห็นด้วยจึงพูดโน้มน้าวนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เพียงแต่ว่าลูกยังเล็ก อาการตกเลือดก็อันตรายอย่างยิ่ง เพื่อลูกแล้วอย่างไรเสียเจ้าก็ควรจะลองดู” จากนั้นก็กุมมือนาง “หมอมีจิตใจดั่งบิดามารดา ในใจของผู้รักษา ผู้ป่วยก็เหมือนกับบุตรของตัวเอง ไม่แบ่งแยกชายหญิง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่หมอหลวงหลิวฝังเข็มข้าก็จะอยู่ด้วย หากเจ้าอายจริงๆ ข้าจะให้หมอหลวงหลิวสั่งยาให้เจ้าทาน พอเจ้าหลับแล้วค่อยฝังเข็ม!”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางกุมมือสวีลิ่งอี๋กลับ “ข้าแค่ทำตามที่ท่านโหวบอกก็พอแล้ว”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก เห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าคนที่ไปเอาเข็มที่จวนของหมอหลวงหลิวจะกลับมา จึงเชิญหมอหลวงหลิวไปดื่มชาที่ห้องโถงเรือนหลัก แล้วถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องระวังสำหรับอาการป่วยของสืออีเหนียง
“แม้ว่าอาการป่วยของฮูหยินจะเกิดจากผลกระทบจากการคลอดบุตร แต่ว่าโรคนี้สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือการคิดมาก” หมอหลวงหลิวพูดต่ออีกว่า “แล้วก็มักจะรู้สึกง่วงนอนเมื่อยล้า รู้สึกว่านอนเท่าไรก็นอนไม่พอ บางครั้งก็นอนไม่หลับ ท่านโหวต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินให้พักผ่อนมากๆ กังวลให้น้อยลง ทั้งฝังเข็มทั้งทานยา เชื่อว่าจะดีขึ้นในไม่ช้าอย่างแน่นอน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า แล้วถามเกี่ยวกับอาหารที่ควรระวัง
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน หลังจากนั้นบ่าวรับใช้ก็นำเข็มเงินเข้ามา
หมอหลวงหลิวกลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
แต่สวีลิ่งอี๋นั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลุกขึ้นแล้วไปที่ห้องเอ่อร์ฝังทันที
สืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋เสียงเบาว่า “ต้องถอดเสื้อคลุมซับในด้วยหรือ”
“เจ้าเคยเห็นใครฝังเข็มผ่านเสื้อผ้าหรือไม่เล่า” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดอีกว่า “เหลือแค่เสื้อซับในไว้ก็พอ”
ก็ได้! ถือเสียว่าไปว่ายน้ำ
สืออีเหนียงถอดเสื้อออกแล้วนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน
สวีลิ่งอี๋เห็นแผ่นหลังบางๆ ของนาง จึงอดโน้มตัวลงไปจูบหลังนางเบาๆ ไม่ได้
การฝังเข็มนั้นรู้สึกเช่นเดียวกับเท้าของผีเสื้อ แม้ว่าจะเบาจนแทบจะไม่รู้สึก แต่ก็เหมือนกับมีไฟจี้อยู่ที่หลัง ร้อนจนทำให้รู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
นางตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย
******
มือของหมอหลวงหลิวไม่ได้สัมผัสโดนผิวของสืออีเหนียง แต่กลับสามารถฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ และหลังจากที่ฝังเข็มแล้ว บริเวณที่ถูกฝังเข็มก็รู้สึกเจ็บปวดร้าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆ หายไป มีเพียงความรู้สึกสบายเหมือนแช่อยู่ในน้ำพุร้อน
ในชาติที่แล้วนางก็เคยพบแพทย์แผนจีนมาก่อน จึงรู้ว่าตัวเองได้พบกับปรมาจารย์เข้าแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจจึงได้ผ่อนคลายลง รู้สึกมั่นใจกับการรักษามากขึ้น
นางหลับตาลง จากนั้นก็รู้สึกง่วงแล้วผล็อยหลับไป
หมอหลวงหลิวเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
ตอนแรกเขายังกังวลว่าจะต้องฝังเข็มผ่านเสื้อผ้า คิดไม่ถึง…เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะฝังเข็มได้แม่นยำขึ้น
หมอหลวงหลิวหายใจด้วยความโล่งอก
การฝังเข็มนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความกังวลใจของผู้ป่วย ไม่เพียงแต่จะทำให้ไม่ได้ผล ซ้ำยังมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาด
สวีลิ่งอี๋กังวลเล็กน้อย เขาสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงอย่างละเอียดอยู่เรื่อยๆ เห็นว่าในตอนแรกใบหน้าของนางมีความตึงเครียดเล็กน้อย แต่ไม่นานสีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายจนกระทั่งหลับไป เขาถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หมอหลวงหลิวบีบเข็มเบาๆ “หลับไปแล้วก็ดี”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก พอหมอหลวงหลิวฝังเข็มเสร็จแล้วก็ให้หู่พั่วคอยอยู่ปรนนิบัติ ส่วนเขาก็พาหมอหลวงหลิวออกจากห้องปีก
มีบ่าวรับใช้เดินเข้ามา เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ก็รีบก้มหน้า ยกมือขึ้นคำนับแล้วหลบไปยืนอยู่ด้านข้างติดผนัง
“ต้องฝังติดต่อกันกี่ครั้ง หรือว่าต้องเว้นทุกๆ สามถึงห้าครั้ง” สวีลิ่งอี๋พูดคุยกับหมอหลวงหลิวพลางเดินไปที่เรือนหลัก
“ทางที่ดีควรจะฝังติดต่อกัน!” ตอนนี้หมอหลวงหลิวกลับมามีไหวพริบเช่นเคย “แต่หากจะเว้นทุกๆ สามถึงห้าครั้งก็ได้เช่นกัน!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เช่นนั้นก็ฝังติดต่อกันเถิด” ขณะที่พูดก็หันกลับไปเรียกให้สาวใช้ไปยกอาหารจากห้องครัว แต่กลับเห็นหญิงเฒ่าเดินเข้าไปที่ห้องของสืออีเหนียง
เรื่องในเรือนมีไท่ฮูหยินเป็นคนดูแล เพื่อให้สืออีเหนียงรักษาตัวอย่างสบายใจ ไท่ฮูหยินจึงรับสวีซื่อเจี้ยมาไว้ข้างกาย ที่ห้องเอ่อร์ฝังก็มีเพียงสาวใช้ที่สืออีเหนียงมักเรียกใช้งานอยู่ไม่กี่คน…หญิงเฒ่าผู้นั้นเข้าไปทำอะไร แล้วนึกขึ้นได้ว่าหมอหลวงหลิวบอกว่าไม่ควรให้สืออีเหนียงต้องเป็นกังวล…จึงชี้ไปที่หญิงเฒ่าผู้นั้น “มีอะไร”
ฟังซีที่พาพวกนางมาที่เรือนหลักตอบอย่างนอบน้อมว่า “เป็นคนที่ฮูหยินให้นำความไปบอกที่ตรอกกงเสียนเจ้าค่ะ”
เกี่ยวกับงานแต่งของสือเอ้อร์เหนียงหรือ
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ถามอะไรมาก หลังจากที่ส่งหมอหลวงหลิวไปแล้วก็เรียกหู่พั่วมา
หากไม่มีคำสั่งของสืออีเหนียงหู่พั่วก็ย่อมไม่พูดอะไร “บอกเพียงแค่ว่าให้คุณนายสี่สกุลหลัวมาหา ส่วนเรื่องอื่นบ่าวก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
นิสัยของสืออีเหนียงก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเท่าไรก็ยิ่งเก็บเป็นความลับไว้มากเท่านั้น
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อยแล้วไปที่ห้องเอ่อร์ฝัง
จิ่นเกอพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ สืออีเหนียงกำลังเล่นกับเขา
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋เข้ามา นางก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่สวีลิ่งอี๋ “ดูสิ ท่านพ่อมาแล้ว!”
นัยน์ตาสีดำขลับของจิ่นเกอจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ใจอ่อนยวบ ลูบศีรษะจิ่นเกอ ถามเขาเสียงเบาว่า “เจ้าทานอิ่มหรือยัง”
จิ่นเกอมองเขาตาไม่กระพริบ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางหอมแก้มน้อยๆ ของเขา อุ้มเด็กน้อยมานั่งข้างเตียงแล้วเอ่ยถามสืออีเหนียง “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่”
“ตอนฝังเข็มรู้สึกสบายมาก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย” เมื่อพูดจบก็เห็นจิ่นเกอบิดตัวไปมาอยู่ในผ้าอ้อม “เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า” นางรีบเข้ามาอุ้มเด็กน้อย “จิ่นเกอของเราจะถ่ายหนักแล้ว” พูดพลางแก้ผ้าอ้อมที่รัดไว้
ของเหลวสีเหลืองทองไหลเป็นสายตกลงบนพื้นอิฐสีเขียวมันเงา
“เจ้าเด็กคนนี้!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “นับว่าฉลาดมาก!” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋อุ้มเด็กน้อยอีกครั้ง “ข้าเห็นเจ้าตัวน้อยจวนซุ่นอ๋อง คลอดออกมาตั้งครึ่งเดือนกว่าจะลืมตา ฉี่รดผ้าอ้อมอยู่ทุกวัน ไม่ฉลาดเหมือนจิ่นเกอของพวกเราเลยสักนิด!”
แน่นอนว่าลูกตัวเองมักดีที่สุด!
สวีลิ่งอี๋หยอกเด็กน้อยด้วยความสนอกสนใจ แต่จิ่นเกอกลับไม่ให้ความร่วมมือเท่าไร่ เขาหาวพลางทำปากยู่แล้วหลับไป
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็จัดผ้าห่ม “วางจิ่นเกอลงเถิดเจ้าค่ะ หากอุ้มไว้แบบนี้ระวังจะเคยตัวเอาได้ พอไม่มีคนอุ้มก็จะร้องไห้โวยวาย”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย “ให้ลูกนอนกับเจ้าหรือ”
สืออีเหนียงไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ข้าไม่อยากห่างจากเขา!”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงตอนนั้นที่สืออีเหนียงหลับไปแล้ว เขากำลังจะเอื้อมมือไปลูบจิ่นเกอนางก็ตื่นขึ้นมา…เหมือนกับแม่สิงโตก็ไม่ปาน เวลามีคนมาจับลูกสิงโตก็จะกางเขี้ยวเล็บ…
สวีลิ่งอี๋วางเด็กน้อยลงในผ้าห่มอย่างอ่อนโยน หันไปกำชับชิวอวี่ที่อยู่ด้านข้าง “ให้สาวใช้น้อยตักน้ำเข้ามาให้ข้าล้างหน้า!”
ทันใดนั้นทั้งห้องก็เงียบสงบ
ป้าเถียนรีบส่งสายตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกไม่สะดวก หากคืนนี้เขาพักอยู่ที่นี่ แล้วแม่นมกู้จะทำอย่างไร หากแม่นมกู้ไม่อยู่แล้วจิ่นเกอตื่นมากลางดึกจะทำอย่างไร
“ท่านโหว!” นางยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นเกอมักจะตื่นกลางดึกอยูบ่อยๆ เสียงดังเป็นอย่างมาก…”
หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นสืออีเหนียงจึงไม่ได้พักผ่อนดีๆ สักที คนอื่นมักจะอวบอ้วนหลังจากคลอดบุตร มีเพียงนางที่ผอมลงเรื่อยๆ!
“ตอนนี้ข้าว่างอยู่ที่เรือน ไม่จำเป็นต้องไปว่าราชการตอนเช้า” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “หากตอนกลางคืนเขาส่งเสียงดังข้าก็จะได้ช่วยเจ้ากล่อมเขานอน!”