สืออีเหนียงลูบหน้าผากที่ไม่ได้มีเหงื่อแม้แต่หยดเดียว พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ไม่ ไม่ต้องหรอก มีแม่นมกู้คอยช่วยอยู่…” ไม่ทันได้รอให้นางพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็พูดยืนกรานด้วยเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด” ตัดบทพูดของนาง
ชิวอวี๋ไม่กล้ารอช้า รีบเรียกให้สาวใช้น้อยเข้ามาปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ล้างหน้า
ป้าเถียนกำชับสืออีเหนียงซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ บางเรื่องฮูหยินก็ไม่ควรตามใจท่านโหว หากไม่ได้จริงๆ ก็เรียกเหวินอี๋เหนียงมาปรนนิบัติเถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก ในใจของนางรู้สึกคลุมเครือ คิดว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ควรเป็นเช่นนี้…เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่นมกู้กำลังปูที่นอนอยู่บนเตียงไม้ จึงรีบกำชับฟังซี “ไปเอาฉากกั้นมากั้นสักหน่อยเถิด!”
ครอบครัวที่มั่งคั่ง เวลาที่สามีภรรยานอนด้วยกัน ก็มักจะมีสาวใช้คนสนิทคอยปรนนิบัตินั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าด้วยนิสัยของสืออีเหนียงทำให้รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ไม่ว่าสวีลิ่งอี๋จะพักผ่อนอยู่ที่ห้องหรือไม่ นางก็ไม่ชอบให้มีสาวใช้มาคอยเฝ้าเวรยามนอนอยู่ในห้องเดียวกันกับตัวเอง ทุกคนต่างก็เห็นจนเคยชินแล้ว ฟังซีสั่งให้ป้ารับใช้สองสามคนนำฉากกั้นไม้กฤษณาแกะสลักสี่ฤดูจากห้องปีกตะวันออกเข้ามา
แต่ว่าข้าวของเครื่องใช้ในห้องล้วนเป็นสีดำ ทำให้รู้สึกขัดหูขัดตาอยู่บ้าง
“ข้าจำได้ว่าในห้องเก็บของมีฉากกั้นแกะสลักงาช้างเคลือบสีดำอยู่” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้ไปเอามาเปลี่ยน”
ฟังซียิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ออกมาจากห้องชำระ “ไปหาอะไรมาเปลี่ยนหรือ”
เหตุใดวันนี้ถึงพูดเยอะกว่าปกติ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉากกั้นไม้กฤษณาไม่เหมาะสำหรับที่นี่ก็เลยให้พวกนางไปหาฉากกั้นสีดำที่ห้องเก็บของมาเปลี่ยนเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย นั่งมองจิ่นเกออยู่ข้างเตียง “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเขายิ่งโต ผิวก็ยิ่งดูขาวผ่อง!”
สืออีเหนียงสำรวจดูอย่างละเอียด
สีหน้าดูดีกว่าตอนพึ่งเกิดมาก แต่เรื่องผิวขาวหรือไม่นั้นยังมองไม่ค่อยออก
“อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่กับข้าทุกวัน ข้าจึงมองไม่ออกกระมัง” นางพูดอย่างอ้อมค้อม
“ดังนั้นข้าจึงได้บอกว่ายิ่งโตเขาก็ยิ่งขาวขึ้น” สวีลิ่งอี๋ยืนยันความคิดของตัวเอง ยิ้มพลางลูบศีรษะเด็กน้อย ถอดเสื้อแล้วขึ้นไปบนเตียง “ให้จิ่นเกอนอนตรงกลางเถิด” ท่าทางดูชอบใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าหากตอนกลางคืนไม่ทันระวังนอนทับเขาจะทำอย่างไร” สืออีเหนียงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “ให้เขานอนข้างๆ ข้าเถิด!”
“เช่นนั้นก็ให้นอนข้างข้าเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “มิน่าล่ะถึงได้ผอมลงเรื่อยๆ…ข้าว่าเจ้ากังวลมากไป ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะตอนกลางคืนไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่” พูดจบก็ไม่ได้สนว่าสืออีเหนียงจะเห็นด้วยหรือไม่ อุ้มเด็กน้อยมาไว้ข้างกายเขา
สืออีเหนียงสะกิดเขา “ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ!”
“วางใจเถิด!” สวีลิ่งอี๋วางจิ่นเกอไว้ข้างหมอนของตัวเองเหมือนที่สืออีเหนียงทำ “ตอนเดินขบวนกองทัพในปีนั้นต้องนอนหลับโดยไม่ได้ถอดเสื้อเกราะ วางดาบไว้ใต้หมอน เพียงแค่ลมพัดต้นหญ้าพลิ้วไหวก็ตื่นแล้ว” ขณะที่พูดก็ประคองสืออีเหนียงนอนลง “เจ้านอนหลับอย่างสบายใจเถิด”
สืออีเหนียงรู้สึกไม่ค่อยวางใจ กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เช่นนั้นท่านก็ระวังด้วย!”
“เจ้านอนหลับอย่างสบายใจเถิด!” สวีลิ่งอี๋ช่วยนางจัดมุมผ้าห่ม “ไม่ต้องคิดมาก”
สืออีเหนียงจึงทำได้เพียงหลับตาลง เพียงแค่สวีลิ่งอี๋เหลือบมองที่หางตาก็มองเห็นบุตรชายนอนอยู่ข้างหมอน รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากจึงหันหน้าจ้องมองเขาโดยตรง
ผิวเนียนนุ่ม ขนคิ้วบางๆ จมูกเล็กๆ เป็นสันตรง…ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเบาๆ
เดิมทีสืออีเหนียงก็ยังไม่ได้หลับ พอเขาขยับก็ลืมตาขึ้นมาทันที “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางก้มหน้ามองดวงตาคู่หนึ่งที่ดูเลือนลางเช่นเดียวกับดวงจันทร์ในสายหมอก ดูสงบและสวยงาม ในใจของเขาพลอยสงบตามไปด้วย “แค่รู้สึกว่าจิ่นเกอน่าสนใจเป็นอย่างมาก” จู่ๆ ก็ไม่รู้สึกง่วง นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้คุยกันอย่างสงบเช่นตอนนี้มานานแล้ว จึงหยิบหมอนอิงมาพิงหลังอย่างสบายอารมณ์ “เหตุใดถึงวางจิ่นเกอไวที่ข้างหมอน วางไว้ในผ้าห่มจะไม่อุ่นกว่าหรือ”
สืออีเหนียงเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เมื่อก่อนเวลาไปเยี่ยมเพื่อนร่วมชั้นหรือเพื่อนร่วมงานที่คลอดบุตร ทุกคนก็มักจะวางบุตรไว้ที่ข้างหมอน คิดว่าคงจะมีเหตุผลอยู่บ้างจึงได้ทำตาม ตอนนี้พอสวีลิ่งอี๋ถามขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรอยู่ชั่วขณะ พูดพึมพำว่า “เช่นนี้เวลาที่ลูกลืมตาขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าพ่อแม่ก็จะได้ไม่รู้สึกกลัว!” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความลังเล
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
ไม่ว่ามารดาจะเป็นคนมีเหตุผลและกล้าหาญเพียงใด แต่พอเป็นเรื่องของบุตรก็มักจะเผยให้เห็นด้านที่อ่อนแอ
เขานึกถึงหญิงเฒ่าที่เจอตอนที่ไปส่งหมอหลวงหลิว จึงถามนางเสียงเบาว่า “ทางด้านตรอกกงเสียนเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ หากไม่รีบร้อน ให้ข้าส่งให้พ่อบ้านไป๋ไปช่วยดูให้เจ้าดีหรือไม่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ข้าได้ยินคนพูดมาว่า หากป่วยในช่วงที่อยู่ไฟ ต่อไปก็ยากที่จะรักษาได้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ควรจะเป็นกังวลให้น้อยลงจะดีกว่า!”
เมื่อก่อนสืออีเหนียงไม่เคยคิดว่าอาการป่วยของตัวเองจะร้ายแรงเช่นนี้ นางนอนตะแคงเอามือหนุนศีรษะแล้วเล่าถึงสาเหตุทั้งหมดให้สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างละเอียด “…ข้าก็เพียงแค่ช่วยจับคู่ให้เท่านั้น พี่สะใภ้สี่เป็นคนมีความสามารถ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง”
“แม้ว่าจะเป็นเพียงการช่วยจับคู่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรต้องกังวล” สวีลิ่งอี๋เขี่ยปอยผมที่อยู่บนแก้มของนางไปทัดหู “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเขียนจดหมายถึงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรซานตง ให้เจิ้นเซิงถือจดหมายไปซานตงก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเรือน” เขาพูดเสียงเบาว่า “ร้านค้าและเรือนในย่านที่ดีของเยี่ยนจิงล้วนอยู่ในมือของผู้พักอาศัยเก่าแก่ของเยี่ยนจิง ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันย่อมมีโอกาสได้พบกันบ่อย เรื่องเช่นนี้ก็พอยอมให้กันได้ ต่อให้จะขายก็คงไม่ขอให้นายหน้าช่วยออกหน้าให้ ส่วนใหญ่ก็จะให้สหายช่วยไปสอบถามแล้วขายอย่างเงียบๆ ราคาก็ไม่แพง ซุ่นอ๋องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี สังคมกว้างขวาง ไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่องค์หญิงฉังหนิงกับจวนจงฉินปั๋วขายเรือนก็มีเขาเป็นคนกลางให้ นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ในช่วงนี้จะมีคนขายเรือนเยอะที่สุด” ขณะที่พูดเขาก็หัวเราะ “จะว่าไปนี่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของสือเอ้อร์เหนียง”
ที่แท้เส้นสายก็คือทรัพยากรอย่างแท้จริง!
“ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าหากจะให้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรช่วยหาซื้อที่ดินให้…จะถือว่าเป็นการทำการใหญ่เกินไปหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็ไม่มีสงครามต้องทำแล้ว ก็ถือเป็นการหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาทำพอดี” ขณะที่พูดก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “สกุลหลี่ส่งเทียบเชิญงานแต่งมาให้ข้าเมื่อบ่ายวันนี้ จะแต่งลูกสะใภ้วันที่ยี่สิบหกเดือนสิบ”
คนที่ชื่อแซ่เดียวกันมีเยอะแยะมากมาย สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “สกุลของผู้บัญชาการฝูเจี้ยน ใต้เท้าหลี่หรือ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ข้าคิดว่าตอนนั้นเจ้าคงยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟจึงกำชับให้ผู้ดูแลจ้าวไปแทน”
“คราวที่แล้วข้าได้ยินพี่หญิงโจวบอกว่าสกุลหลี่อยากจะแต่งลูกสะใภ้เข้ามาให้เร็วหน่อย แต่องค์หญิงอานเฉิงคิดว่าหลี่จี้อยู่ที่ฝูเจี้ยนไม่ค่อยสะดวกจึงเลื่อนงานแต่งไปช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ทำไมจู่ๆ ถึงได้รีบแต่งก่อนตรุษจีน เกิดอะไรขึ้น”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนฤดูร้อนหลี่จี้ปราบปรามโจรสลัดญี่ปุ่นกว่าห้าพันคน ฝ่าบาทจึงมีราชโองการพิเศษเลื่อนขั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการเฉวียนโจว เมื่อไม่กี่วันก่อนได้กลับเมืองหลวงมาขอบพระทัยฮ่องเต้ องค์หญิงอานเฉิงจึงเร่งให้จัดงานแต่งงานให้เสร็จสิ้น ดังนั้นจึงเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน”
ผู้บัญชาการเฉวียนโจวถือเป็นขุนนางระดับสี่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ปีนี้คุณชายหลี่พึ่งจะอายุสิบเจ็ดปีเอง!” ท่าทางทอดถอนใจอยู่เล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางหยิกจมูกนาง “ตอนข้าอายุสิบเจ็ดปีก็ได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่ค่ายใหญ่ซานซีแล้ว!”
กลัวว่านางจะมีปมในใจจึงได้ตั้งใจปลอบโยนนางกระมัง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จะมีสักกี่คนที่จะเหมือนกับท่านโหวกันล่ะเจ้าคะ!”
“ใช่แล้ว!” สวีลิ่งอี๋หยอกล้อนาง “ยืนอยู่บนตำหนักจินหลวนแล้วมองลงไป คนที่อายุน้อยที่สุดก็คือข้า…”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยไปหัวเราะไป จิ่นเกอที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นขึ้นมา
ดวงตาของเขากลอกกลิ้งไปมาอยู่นานก็ไม่มีใครสนใจ จึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง อุแว้
สวีลิ่งอี๋รีบอุ้มลูกน้อยด้วยความตื่นตระหนก “นี่เขาหิวนมหรือว่าต้องการถ่ายเบา”
แม่นมกู้ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบวิ่งมาที่หลังฉากกั้น “ท่านโหว คุณชายน้อยหกอยากทานนมแล้วเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อ้อ!” สืออีเหนียงลุกขึ้นหมายจะอุ้มบุตร “ข้าจะอุ้มไปให้แม่นม!”
“ประเดี๋ยวข้าอุ้มเอง!” สวีลิ่งอี๋อุ้มเด็กน้อยพลางใส่รองเท้า “เจ้าพักผ่อนเถิด” แล้วนำบุตรไปส่งให้แม่นมกู้
พอแม่นมกู้ป้อนนมเด็กแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็อุ้มมาไว้บนเตียงเหมือนเดิม “ทุกคืนเขากินนมกี่ครั้ง!”
“สองครั้งเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ต้นยามไฮ่หนึ่งครั้ง ยามโฉ่วหนึ่งครั้ง”
สวีลิ่งอี๋แอบจดจำเอาไว้ กล่อมเด็กน้อยเหมือนที่แม่นมทำ เมื่อเห็นว่าบุตรชายหลับแล้วก็นำไปวางไว้ที่ข้างหมอน ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้คุณนายสี่สกุลหลัวจะมาหาแต่เช้า เจ้าเองก็อย่าฝืนเลย หากรู้สึกเหนื่อย ก็พูดคุยกันผ่านฉากกั้นเถิด”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม พลันนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้หมอหลวงหลิวจะมาฝังเข็มให้นางอีก “…พรุ่งนี้ท่านโหวจะอยู่ด้วยหรือไม่”
“แน่นอนว่าข้าต้องอยู่” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว หมอหลวงหลิวชำนาญเรื่องการฝังเข็มเป็นอย่างมาก”
เรื่องนี้สืออีเหนียงเองก็มองออก
“ตอนที่ฝังเข็มให้เจ้า มีเพียงแค่หู่พั่วที่ปรนนิบัติอยู่ในห้อง” เขาพูดเสียงเบาว่า “ต่อหน้าไท่ฮูหยินข้าบอกเพียงว่าแค่มาตรวจดูอาการ…หากเจ้าเจอกับท่านแม่ก็อย่าเผลอพูดไปเป็นอันขาด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงนุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ พลอยทำให้คนรู้สึกอบอุ่น
******
วันรุ่งขึ้น ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองมาเยี่ยม
“เจ้าแค่ตั้งใจรักษาเนื้อรักษาตัวก็พอแล้ว” ไท่ฮูหยินตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “เรื่องในเรือนมีข้าคอยดูแล การบำรุงร่างกายให้ดีขึ้นจึงเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ”
ฮูหยินสองกลับพูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของอาการป่วยคือการวินิจฉัยผิดพลาด ในเมื่อรู้ต้นเหตุของอาการป่วยก็ทานยารักษาให้ถูกโรคก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณฮูหยินสอง
หลังจากนั้นป้าสือก็มาหา
“ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองก็อยู่ด้วยหรือเจ้าคะ” นางยิ้มพลางย่อเข่าคำนับ นำกล่องไม้สีแดงในมือมอบให้หู่พั่ว “ได้ยินว่าฮูหยินสี่สุขภาพไม่ค่อยดี ฮูหยินห้าจึงตั้งใจให้บ่าวนำโสมร้อยปีสองหัวที่เก็บไว้ในเรือนมาให้ฮูหยินสี่บำรุงร่างกายเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่ออีกว่า “ฮูหยินห้าของพวกเราตื่นแต่เช้า เดิมทีเตรียมจะให้บ่าวพามาเยี่ยมฮูหยินสี่ด้วยตัวเอง แต่บังเอิญว่าไม่สบายเล็กน้อย บ่าวจึงได้มาเอง ขอฮูหยินสี่โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็เป็นกังวล “ตานหยางเป็นอะไรหรือ”
แววตาของป้าสือกลับเผยให้เห็นถึงความยินดี “ฮูหยินของพวกเราตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ!”
“ตายจริง!” ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็พูดด้วยความดีใจว่า “นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” จากนั้นก็รีบถามว่า “ตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อไร ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูหรือไม่”
“สักพักหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ” ป้าสือยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วอาการรุนแรงราวกับฟ้าถล่มดินทลาย แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว วันนี้ตอนเช้าพึ่งจะเชิญหมอหลวงมาตรวจดู มิเช่นนั้นคงไม่กล้าพูดออกมาหรอกเจ้าค่ะ!”