ทันทีที่คำพูดประโยคสุดท้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวยจบลง บนใบหน้าที่จองหองอวดดีอยู่เสมอของเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ปรากฏความวิตกกังวลและความไม่สบายใจที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา
ซูเหยียนโม่ก็ลนลานไม่ต่างกัน นางรีบเข้าไปหาเฮ่อเหลียนกวงเย่าเหมือนจะถามเขาว่าตอนนี้พวกเขาควรทำอย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า ครั้งหนึ่งนางก็เคยถูกไล่ออกจากตระกูลเช่นนั้นเหมือนกัน
นางถูกบังคับให้ออกจากตระกูล และจำต้องสูญเสียทุกอย่างที่เคยมีไป หลงเหลือเอาไว้ก็แค่เพียงความเจ็บปวดทรมาน ความเกลียดชัง และความเสียใจที่ท่านแม่ของนางทิ้งไว้ก่อนสิ้นใจเท่านั้น ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความเย็นชาที่ก่อตัวขึ้นในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย
“ผู้นำจาง ท่านกลายเป็นใบ้ไปแล้วหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าจะประกาศผลคะแนนอย่างไรดี”
บรรยากาศกดดันที่เฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่ออกมาในยามที่นางรู้สึกไม่พอใจนั้นใกล้เคียงกับบรรยากาศของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยทีเดียว
ผู้นำจางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวขณะเอ่ยเสียงสั่นว่า ”ข้าขอประกาศให้…”
“เดี๋ยวก่อน!” เฮ่อเหลียนกวงเย่าขัดผู้นำจาง เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”เดิมทีข้าก็ไม่อยากประกาศเรื่องนี้เร็วถึงเพียงนี้ แต่ท่านผู้นำทั้งหลายยังจำคำที่นายท่านคนก่อนพูดก่อนสิ้นใจได้หรือไม่ เขาบอกเอาไว้ว่าหากใครได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังลับ คะแนนเสียงคะแนนเดียวจากพวกเขาจะมีค่าเท่ากับคะแนนเสียงสิบคะแนน”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบรรดาผู้นำเหล่านั้น เพราะทันทีที่พวกเขาได้ยินชื่อของกองกำลังลับ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่อ้าปากค้างเท่านั้น
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้ดีว่ากองกำลังลับหายสาบสูญไปนานนับสิบปีแล้ว
ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้มาซึ่งที่อยู่ของกองกำลังลับ แต่ก็ไม่เคยพบเลยสักครั้งเดียว
แม้จะมีข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาแว่วมาบ้างในบางครั้ง แต่สุดท้ายข้อมูลนั้นก็กลับกลายเป็นเพียงแค่ข้อมูลอันไร้ประโยชน์
เพราะแรกเริ่มเดิมทีนั้น กองกำลังจะทำตามคำสั่งของนายท่านคนเก่าและเชื่อฟังเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!
“กวงเย่า ท่าน… ท่านเอ่ยถึงกองกำลังลับ หรือ… เป็นเพราะว่าท่านรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ” หนึ่งในผู้นำเหล่านั้นยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้นราวกับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ได้
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา ”แน่นอน ความจริงแล้วตลอดสองสามวันมานี้ ข้าเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนกับแม่ทัพคนปัจจุบันของกองกำลังลับอยู่ เขาเองก็มาร่วมในการประชุมครั้งนี้เช่นกัน และคงจะอยู่ในหมู่ผู้ชมข้างล่างนั่น”
“เป็นความจริงรึ?!” ผู้นำทุกคนเริ่มกระซิบกัน
เฮ่อเหลียนกวงเย่าหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ”ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกพวกท่าน เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลเฮ่อเหลียน การค้นหากองกำลังลับนั้นย่อมเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าจึงทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการค้นหากองกำลังลับ แต่กลับดูเหมือนว่าจะมีคนเอาเปรียบข้าในตอนที่ข้ามัวแต่ง่วนอยู่กับเรื่องนั้น”
ทุกคนรู้ว่าคนที่ว่านั่นคือใคร
ผู้นำทุกคนมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างลังเล แล้วลดเสียงลง ”พระชายา หากอ้างอิงจากคำสั่งก่อนที่นายท่านจะสิ้นใจ กองกำลังลับนั้นมีความสำคัญกว่า เช่นนั้น… ท่านช่วยลุกขึ้นจากเก้าอี้ประมุขได้หรือ..”
“กองกำลังลับยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ผู้นำซวีกลับบอกให้ข้ายอมแพ้เสียแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่นหัวเราะพร้อมกับเอนหลังพิงพนักแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง นางไม่สามารถปิดบังท่าทางล้อเลียนของตัวเองได้ แล้วจากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”รอจนกระทั่งเฮ่อเหลียนกวงเย่าเรียกให้กองกำลังลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แล้วจากนั้นพวกเราค่อยคุยกันดีไหม”
ซูเหยียนโม่เหยียดยิ้ม นังคนชั้นต่ำนี่ไม่รู้จักยอมแพ้เอาเสียเลย!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่รอให้เสียเวลา เขาตะโกนไปทางคนที่อยู่ข้างล่าง ”แม่ทัพชื่อ ท่านอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“ข้าอยู่นี่”
ชื่อเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาอยู่ในชุดสีดำสนิท แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากคนจำนวนมากนั้น
บางทีอาจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของเขามีเสน่ห์ดึงดูดเกินไป
เพียงแค่เขาปรากฏตัวขึ้น บรรดาเด็กสาวที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ไหวต้องหันไปมองเขาแทบจะในทันที
พวกนางมองท่าทางสุขุมเยือกเย็นและสง่างามของเขา
ในใจของพวกนางมีคำพูดประโยคหนึ่งลอยขึ้นมา
ชายหนุ่มผู้นี้มิมีผู้ใดเสมอเหมือน
ทันทีที่เห็นหน้าของชื่อเหยียน บรรดาผู้นำอาวุโสหลายคนก็นึกขึ้นได้ ”เจ้า… เจ้าคือคนของอดีตฮ่องเต้… คุณ.. คุณชายชื่อ!”
คุณชายชื่อเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลชื่อ
พวกเขาไม่รับความกรุณาจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ และยังปฏิเสธอำนาจของฮ่องเต้อีกด้วย
ทุกคนคิดว่าตระกูลชื่อซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษ ดังนั้นการได้เห็นเขาเป็นแม่ทัพของกองกำลังลับนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจทีเดียว
บรรดาผู้นำรู้สึกสับสน แต่เมื่อคิดดูอีกทีมันก็อาจจะสมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็ได้
นายท่านคนก่อนเคยช่วยชีวิตชื่อเหยียนเอาไว้ และเด็กชายคนนั้นก็คงกำลังพยายามตอบแทนบุญคุณของเขาอยู่
หากมีคนเช่นนี้เป็นแม่ทัพของกองกำลังลับละก็ เช่นนั้นคงมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวทีกองกำลังลับในปัจจุบันนี้จะทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อก่อน
ทันทีที่ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ บรรดาผู้นำเหล่านั้นก็ไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของตัวเองได้อีกต่อไป
แต่ตั้งแต่วินาทีที่เสียงฮือฮานั้นดังขึ้น กลับไม่มีใครในนั้นที่สังเกตเห็นเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ตลอดเวลานั้น นางยังคงมีท่าทางเกียจคร้านเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ที่ด้านหลังของชื่อเหยียนมีผู้บัญชาการกองทัพเดินตามมาอีกสองคน เมื่อหนึ่งในนั้นเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เกือบจะเอ่ยทักทายนางอย่างเคยตัว
อีกคนรีบคว้าเขาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วเอ็ดเสียงเบาว่า ”ต้าสง”
ชื่อเหยียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องหันไปมอง คงเป็นต้าสงเหมือนเคยที่ทำเสียเรื่องทันทีที่เขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย
ชื่อเหยียนดูจนปัญญากับสถานการณ์นี้ยิ่งนัก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แต่บนใบหน้านั้นกลับไม่มีอารมณ์ใดๆ เผยออกมา
เฮ่อเหลียนกวงเย่ารีบเข้าไปทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม แม้เขาจะนึกสงสัยว่าทำไมถึงมีคนมาถึงสามคน ในจดหมายนั้นเขาเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าขอเพียงแม่ทัพชื่อเหยียนมาร่วมการประชุมคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
แต่กระนั้นเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็รู้สึกพอใจอย่างมากที่ได้เจอสมาชิกคนอื่นจากกองกำลังลับ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็จะได้เป็นทายาทโดยชอบธรรม และนังเด็กชั้นต่ำนั่นย่อมไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็เผยความยินดีออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว เขามองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าราวกับกำลังตะโกนว่า ”ส่งเก้าอี้ตัวนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”ตอนนี้เจ้าควรจะยอมรับในความพ่ายแพ้ของตัวเองได้แล้ว”
“ยอมรับหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสลับขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง รอยยิ้มของนางดูไม่สะทกสะท้านเลยด้วยซ้ำ ”ข้าลืมบอกไปว่าข้าเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้ท่านกับฮูหยินซูในการประชุมประจำตระกูลครั้งนี้ด้วย ข้าจะนำมันออกมาให้ท่านดูตอนนี้เลยก็แล้วกัน อย่างไรเสียส่วนหนึ่งของของขวัญชิ้นนั้นก็น่าจะอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว” พอพูดจบ นางก็ส่งสัญญาณให้กับทหารที่ยืนอยู่ข้างนางทางสายตา
ทหารนายนั้นรีบส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา แล้วกวาดสายตามองเนื้อหาในนั้นก่อนจะใช้นิ้วเรียวของตัวเองชี้ไปที่มัน แล้วหัวเราะออกมา ”ลายมือสวยทีเดียว แต่เนื้อหากลับน่าเบื่อเสียไม่มี คนอ่านคงคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าคนเขียนเสแสร้งจนเกินไป และคงจะเขียนตอบกลับไปเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ฮ่าๆ มานี่สิ เอาจดหมายพวกนี้ไปให้ท่านกวงเย่าดู”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอย่างมีเลศนัย พร้อมกับที่ทหารนายนั้นนำจดหมายฉบับที่ว่าไปให้เฮ่อเหลียนกวงเย่า
ตอนแรกเฮ่อเหลียนกวงเย่าตั้งใจจะโยนมันทิ้งทันที แต่ลายมือที่อยู่บนนั้นกลับดูคุ้นตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ!
นี่มัน… นี่มันลายมือของเขาเอง!
มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าคว้าจดหมายทุกฉบับขึ้นมาแล้วเปิดอ่านคร่าวๆ ดวงตาดำขลับของเขาสั่นอย่างรุนแรง
จดหมายพวกนี้คือ…
พวกมันคือจดหมายที่เขาเขียนถึงกองกำลังลับมิใช่หรือ?!
พวกมันมาอยู่ในมือนางได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงแค่ยิ้มออกมา นางไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับกระดิกนิ้วใส่ชื่อเหยียนที่ยืนอยู่ห่างออกไปเป็นสัญญาณบอกให้เขาก้าวออกมาข้างหน้า นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า ”มานี่สิ…”