มีดในมือขององค์ชายห้ายกขึ้น ตามเสียงตะโกนของเขา เสียงกรีดร้องของพระสนมสวีก็ดังขึ้นเช่นเดียวกัน
แทบจะในเวลาเดียวกันที่พระสนมสวีพุ่งตัวไปทางฉู่ซิวหยง นางไม่สนใจว่าฉู่ซิวหยงจะถูกองครักษ์รายล้อมอยู่หรือไม่ ถึงแม้องครักษ์เหล่านั้นจะหันอาวุธมาทางนาง นางก็เหมือนไม่เห็น แม้อาวุธเหล่านั้นจะแทงทะลุผ่านลำตัวของนาง นางก็จะปกป้องบุตรชายของตนเอง
พระสนมสวียังไม่ทันได้พุ่งตัวใส่อาวุธเหล่านี้ก็มีเสียงดังขึ้นก่อน
ลูกธนูคมลอยออกมาจากสองฝั่ง เฉียดตัวของพระสนมสวีพุ่งตรงไปยังองครักษ์เจ็ดแปดคนนั้น พวกเขายังไม่ทันได้ยกอาวุธทำร้ายฉู่ซิวหยง คนก็ร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลง
สีหน้าขององค์ชายห้าเปลี่ยนไปทันที สายตาของเขายิ่งโกรธเคืองมากขึ้น เขายกมีดทำท่าจะพุ่งเข้ามา แต่เวลาต่อมาแส้ขนหางจามรีก็กระทบลงบนข้อมือของเขา
องค์ชายห้าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มือของเขาคล้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง มีดหล่นลงบนพื้น
พระสนมสวีเกือบสะดุดล้มลงบนร่างขององครักษ์ที่ตายไป ฉู่ซิวหยงยื่นมือพยุงนางเอาไว้
พระสนมสวีกอดเขาพลันส่งเสียงร้องไห้ “อาซิว อาซิวของข้า ข้าตกใจแทบแย่”
ฉู่ซิวหยงปลอบนาง “ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด มีเสด็จพ่ออยู่”
นับแต่องค์ชายห้ายกมีดตะโกน จนกระทั่งพระสนมสวีกระโจนตัวเข้ามา จากนั้นองครักษ์เจ็ดแปดคนถูกธนูยิงตาย องค์ชายห้าถูกแส้ขนหางจามรีตีจนมือหักก็เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
ผู้คนในตำหนักต่างหัวใจเต้นแรง หายใจแทบไม่ทัน
“ข้าเดาว่าเจ้าอาจคิดไม่ซื่อ” เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น ไม่มีความโกรธหรือตกตะลึง “เพียงแค่ยังมีความหวังว่าจะไม่ได้ใช้การคนเหล่านี้”
ความหมายของคนเหล่านี้คือ ทุกคนมองไปรอบด้านถึงได้พบว่าสองข้างมีองครักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาสองแถว…แตกต่างจากองครักษ์ทั่วไป พวกเขาไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายขององครักษ์ แต่อาวุธและธนูที่ถือในมือของพวกเขาน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าองครักษ์อีก
คนเหล่านี้คือองครักษ์ลับของฮ่องเต้
นอกจากองครักษ์ที่ถูกยิงตายแล้ว องครักษ์บริเวณหน้าประตูก็ถูกองครักษ์ลับรายล้อมเอาไว้
ทุกคนหายใจทั่วท้องขึ้นมาทันที
พระสนมเสียนกุมหน้าอกพลันล้มนั่งลงกับพื้น นางตะโกน “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ท่านอ๋องเยียนชี้ไปที่องค์ชายห้าบนพื้น…ชี้จากระยะไกล “ฉู่มู่หยง เจ้าไม่รู้จักสำนึกเสียจริง! ช่างทำให้เสด็จพ่อทรงผิดหวัง!”
ท่านอ๋องหลูส่งเสียงไม่พอใจตามสองที ถือว่าตำหนิด้วยแล้ว
มือของฉู่มู่หยงถูกตีจนหัก เขาพยายามดันตัวลุกขึ้น พลางตะโกนด่าทอต่อ “ฉู่ซิวหยงสมควรตาย! ฉู่ซิวหยงทำร้ายองค์รัชทายาทสมควรตาย! เสด็จพ่อ พระองค์ทรงอย่าลืม ตอนนั้นเหล่าท่านอ๋องทำให้เสด็จปู่ต้องตายอย่างไร อีกทั้งยังจงใจทำร้ายพระองค์! ฉู่ซิวหยงคิดไม่ซื่อ!”
ฉู่จิ่นหยงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืน เขาเดินเข้ามาตบหน้าองค์ชายห้า “หุบปาก!”
องค์ชายห้าที่เพิ่งลุกขึ้นยืนถูกตบจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ปากและจมูกของเขามีเลือดไหลออกมา
“เสด็จพี่องค์รัชทายาท!” เขาเงยหน้า ดวงตาของเขาไม่มีความแค้น มีเพียงความเศร้า “ท่านดูว่าตนเองถูกรังแกอย่างไร กระหม่อมถูกใส่ร้าย เสด็จแม่ก็ถูกลอบทำร้าย เวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่แตกต่างจากตายไปแล้วอย่างไร!”
ฉู่จิ่นหยงยกมือขึ้นจะตีเขา แต่ก็คล้อยลงราวกับหมดแรง “เสด็จพ่อ กระหม่อมมีความผิด ขอพระองค์โปรดคุมตัวพวกเรากลับไปเถิด พวกเราไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้อีกแล้ว”
ฮ่องเต้ตอบรับ “ไม่รีบ ก่อนไปพูดเรื่องที่มาก่อน”
เรื่องที่มา?
ดวงตาภายใต้ผมกระเซิงของฉู่จิ่นหยงฉายแววโหดเหี้ยม ฮ่องเต้ระแวงอยู่จริงด้วย โชคดีที่เขาก็ระวังอยู่เหมือนกัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของฉู่มู่หยง อีกทั้งมีเพียงฉู่มู่หยงที่ทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉู่มู่หยงถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนโหดเหี้ยมที่ไร้สมอง เสด็จพ่อก็ทรงรู้ดี ต่อไปก็แค่ถาม…
ความคิดของเขาแล่นไป เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ซิวหยง องค์ชายห้านำคนเข้ามาได้อย่างไร”
ไม่ถามองค์ชายห้า หากแต่ถามฉู่ซิวหยงหรือ กำลังถกเถียงอย่างสนิทสนมระหว่างบิดาและบุตรหรือ กำลังสอนเรื่องในราชสำนักหรือ เหมือนกับที่เคยสอนเขาแต่ก่อน สายตาภายใต้ผมยุ่งของฉู่จิ่นหยงมองไปทางฉู่ซิวหยงอย่างโหดเหี้ยม
ฉู่ซิวหยงกำลังพยุงพระสนมสวีที่ร้องไห้นั่งลง เมื่อได้ยินฮ่องเต้ซักถาม พระสนมสวีพูดพลันร้องไห้ “ฝ่าบาท ซิวหยงตกใจเพียงนี้ อย่าทรงให้เขาคิดเรื่องแบบนี้เลยเพคะ เรื่องแบบนี้ องค์ชายห้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”
ฮ่องเต้ไม่พูด ไม่รู้เป็นเพราะองครักษ์ลับที่ยังยืนถือคันธนูอยู่ภายในตำหนัก หรือเพราะร่างขององครักษ์ที่ตายไปแล้วแต่ยังไม่ถูกยกออกไป ภายในตำหนักแม้จะสว่างดุจกลางวัน แต่บรรยากาศวังเวงพิกล
ฉู่ซิวหยงตบไหล่ของพระสนมสวี เขาพูดกับฮ่องเต้ “ในจวนขององค์ชายห้าซ่อนกำลังคนเอาไว้ องครักษ์ของเสด็จพ่อถูกพวกเขาฆ่าและสลับตัวเมื่อไปคุมตัว อีกทั้งฉวยโอกาสติดตามองค์ชายห้าเข้าวัง”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ฆ่าองครักษ์จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าไม่ง่ายก็ไม่ง่าย ด้านนอกก็คงมีการเตรียมการเอาไว้หรือไม่”
ฉู่ซิวหยงอมยิ้มพลันพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ต้องเตรียมการเอาไว้ อย่างน้อยต้องสร้างโอกาสให้พวกเขาไม่ถูกคนพบเห็น”
ยิ่งฟังยิ่งผิดปกติ ฉู่จิ่นหยงเงยหน้าขึ้น เขาไม่ปิดบังสายตาภายใต้ผมยุ่งนั้นอีก หมายความว่าอย่างไร
ฮ่องเต้พูด “เจ้าไม่กลัวฉู่มู่หยงฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ”
ฉู่ซิวหยงหัวเราะเสียงเบา “กระหม่อมเชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงปกป้องกระหม่อมได้”
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน “หรืออาจบอกว่า ถึงแม้เขาจะฆ่าเจ้า แต่เจ้าทำให้ข้าได้เห็นละครเรื่องนี้ เจ้าก็พอใจแล้ว?”
ละครหรือ หมายความว่าอย่างไร
สีหน้าของทุกคนภายในตำหนักตกตะลึง พวกเขามองไปยังฮ่องเต้และฉู่ซิวหยง
คนหนึ่งนั่งอยู่บนที่ประทับสูง รอบด้านไร้ผู้คน ราวกับแสงไฟก็ส่องไปไม่ถึง
อีกคนยืนอยู่ใจกลางตำหนัก รอบด้านนอนกองไปด้วยร่างขององครักษ์ แสงไฟที่เผาไหม้ปกคลุมเขาเอาไว้
เสียงโหวกเหวกภายในตำหนักเงียบลงไปทันที ทุกคนก็ราวกับหายตัวไป มีเพียงฮ่องเต้และฉู่ซิวหยงเผชิญหน้ากัน
…
เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ทั้งกะทันหันและแปลกประหลาด คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างคิดไม่ถึง คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งคิดไม่ถึง
แต่โจวเสวียนคาดเดาเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังรอดูอยู่เสมอ เพียงแต่เวลานี้เขาไม่อาจไปดูได้
เมื่อองค์ชายห้ายกมีดขึ้นมาในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ เขายืนอยู่บนหอสูงที่สุดในวังหลวง มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนระยะไกล
ประตูเมืองทั้งสี่ด้านสว่างเป็นพิเศษ แต่ก็ราวกับมีเมฆดำปกคลุม ท่ามกลางความมืดมิดราวกับมีสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องปรากฏขึ้น
แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงฟ้าร้องจริงๆ หากแต่เป็นเสียงเกือกม้า
ทหารนำข่าวล่าสุดมารายงาน “กองทัพเหนือขอรับ กองทัพเหนือเข้าเมืองมาแล้วขอรับ”
โจวเสวียนพูด “ข้าอยู่ตรงนี้ พวกเขารับคำสั่งผู้ใดเข้าเมืองกัน” แต่ว่าบนใบหน้าของเขาไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย หากแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ข้ารู้จักหรือไม่”
ทหารด้านข้างตื่นตระหนก “ท่านโหว พวกเขามุ่งหน้ามาทางวังหลวงขอรับ”
“มาก็มา” โจวเสวียนพูด สายตามองไปยังนอกวังหลวง “ข้ากำลังรอเขาอยู่พอดี”
เดิมทีเขายังกังวลว่าฉู่อวี๋หยงจะไม่มา
ฉู่อวี๋หยงยังถูกคาดโทษว่าลอบทำร้ายฮ่องเต้ เวลานี้อยู่ระหว่างหนีการจับกุม เวลานี้เขานำกองกำลังบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว
ภายในวังหลวง องค์ชายทั้งสามกำลังปะทะกัน นอกวังหลวง องค์ชายผู้หนึ่งกำลังโจมตีวังหลวง บรรดาโอรสของฮ่องเต้ต่างพร้อมหน้าแล้ว ฮ่องเต้จงดื่มด่ำกับความสุขที่จะได้อยู่กันอย่างถ้วนหน้าแบบพิเศษนี้เสียเถิด
ให้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้เห็น ฮ่องเต้องค์นี้ช่างไม่เหมือนองค์ใดที่ผ่านมา
โจวเสวียนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา รีบบุกเข้ามาเถิด ยิ่งดุเดือดยิ่งดี เขาจะได้ไปบอกข่าวดีนี้แก่ฮ่องเต้
“ท่านโหว!” ขุนนางด้านข้างขัดเสียงหัวเราะของเขา พลันชี้ไปด้านหน้า “มาแล้ว!”
ทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกวังหลวงรู้ข่าวการเข้าเมืองของกองทัพเหนือแล้ว แต่บริเวณประตูเมืองไม่ได้เกิดการปะทะ เมืองหลวงก็ไร้ซึ่งความโกลาหล เมืองหลวงที่ออกคำสั่งห้ามออกจากจวนในยามวิกาลเงียบสงัด กองทัพเหนือเข้าเมืองก็เปรียบเสมือนกับฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่สร้างบรรยากาศอันน่าอึดอัดให้กับยามค่ำคืน
เมฆฝนเคลื่อนตัวมาทางประตูเมือง
เสียงเกือกม้าเร่งรีบขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังหลั่งไหลมารอบด้านปรากฏภายใต้การส่องสว่างของคบเพลิง
บรรดาทหารยามนอกประตูเมืองต่างจับอาวุธให้มั่น เตรียมท่าทีตั้งรับการปะทะ
“บังอาจ…ผู้ใดกล้า…”
ทหารยามวังหลวงตั้งทัพ แม่ทัพมองไปด้านหน้าพลันตะโกน
เสียงของเขาลอยออกไปตามสายลมในยามค่ำคืน มีคนเดินออกมาจากตรงกลางอย่างช้าๆ ม้าสีดำกับผ้าคลุมสีดำ ผ้าคลุมพลิ้วไหวเผยให้เห็นชุดเกราะสีแดงเข้ม
ชุดเกราะนี้เต็มไปด้วยลวดลายสัตว์สีทอง ความมืดในยามค่ำคืนถูกขจัดโดยลวดลายสัตว์สีทอง แต่เปลวเพลิงก็ถูกสีแดงเข้มของชุดเกราะปกคลุม ตามเสียงเกือกม้า สายตาของทุกคนราวกับเปื้อนไปด้วยสีเลือด
ท่ามกลางสีเลือด แม่ทัพด้านหน้ามองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ใบหน้านั้นก็เป็นสีแดงเข้ม ด้านบนก็เต็มไปด้วยลวดลายสัตว์สีทอง
มันไม่ใช่หน้า แต่เป็นหน้ากากเหล็ก!
แม่ทัพขนลุกในทันที
“แม่ แม่…” เสียงของเขาสั่นเครือ ตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “แม่ทัพหน้ากากเหล็ก!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
โจวเสวียนยืนอยู่บนกำแพงวังหลวง เขามองตามเสียงตะโกนนี้ ขบวนทัพที่ตั้งอยู่หน้าวังหลวงราวกับกอหญ้าที่ถูกลมพัดผ่าน เกิดความสั่นไหวในทันที ไม่เพียงพวกเขา บรรดาทหารยามบนกำแพงวังก็ต่างมองลงไปด้านล่าง
“ท่านแม่ทัพ…”
“แม่ทัพหน้ากากเหล็ก…”
เสียงตะโกนดังขึ้นนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้อง ทำให้คนจำนวนมากต่างตกตะลึง
โจวเสวียนยืนอยู่บนกำแพงด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ฉู่อวี๋หยง เจ้ามีความสามารถเสียจริง!
เขาคิดจะทำให้เรื่ององค์ชายบุกเมืองก่อกบฏกลายเป็นผีหลอกในวังหลวงอย่างนั้นหรือ