ทุกคนต่างรู้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว แต่เวลานี้กลับไม่มีคนสงสัยแม้แต่คนเดียว “ผู้ใดบังอาจปลอมตัวเป็นท่านแม่ทัพ!”
โจวเสวียนอดไม่ได้ที่จะเดินหน้าไปหลายก้าว มองไปยัง…แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง
อันที่จริงอีกฝ่ายมีความแตกต่างจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ทุกคนคุ้นเคยอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผมสีดำขลับ เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นชายหนุ่มอายุน้อย นอกจากชุดเกราะ ม้าตัวนี้และหน้ากากบนใบหน้าแล้ว ส่วนอื่นไม่เหมือนแม่ทัพหน้ากากเหล็กแม้แต่น้อย
น่าโมโหเสียจริง ฉู่อวี๋หยงไม่ใส่ใจเกินไปหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ปลอมตัวอย่างตั้งใจเหมือนแต่ก่อน
แต่เรื่องที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ ถึงแม้จะรู้ว่าผู้ใดอยู่ภายใต้เปลือกของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ถึงแม้จะเห็นถึงความแตกต่างมากมาย แต่โจวเสวียนยังคงต้องยอมรับว่าเมื่อเห็นคนตรงหน้า เขายังคงอยากเรียกว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
สิ่งที่คุ้นเคยและคล้ายคลึงไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นบารมี
ใช่ ฉู่อวี๋หยง เขาคือแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่แท้จริง หลายปีนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กคือเขาเสมอมา
“ท่านโหว!” แม่ทัพข้างตัวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ทำอย่างไรดีขอรับ”
โจวเสวียนเหลือบมองเขา “ไม่สนว่าเขาจะเป็นคนหรือเป็นผี ผีจะเข้าวังหลวงก็ต้องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้” พูดพลันหันหลังเดินจากไป “พวกเจ้าเฝ้าประตูเมืองเอาไว้! ข้าจะไปทูล…ข่าวดีนี้ต่อฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ ท่านแม่ทัพที่พระองค์ทรงเชื่อใจและให้ความสำคัญที่สุดกลับมาแล้ว พระองค์ทรงดีพระทัยหรือไม่
โจวเสวียนเดินลงจากกำแพงวังหลวง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง หัวเราะไปหัวเราะมา สีหน้าก็สงบลงอีกครั้ง เขาปลดมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอว
เขาก้มหน้ามองมีดสั้น หลายปีแล้ว มีดสั้นเล่มนี้ควรไปในที่ที่มันควรไปแล้ว
โจวเสวียนซ่อนมีดสั้นเข้าไปในแขนเสื้อ วิ่งไปทางตำหนักอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท…ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”
…
ภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ เวลานี้คนจำนวนมากต่างรู้สึกย่ำแย่
ทั้งๆ ที่องค์ชายห้าพากองกำลังลับเข้าวังหลวง เจตนาสังหารฉู่ซิวหยงต่อหน้าฮ่องเต้ซึ่งเป็นความผิดอย่างมหันต์ แต่สถานการณ์ในเวลานี้ รวมทั้งสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยออกมา เหตุใดจึงกลายเป็นฮ่องเต้กำลังซักโทษฉู่ซิวหยง
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่สนใจชีวิตของตนเอง” ฮ่องเต้พยักหน้า “เหมือนกับที่เจ้าไม่สนใจชีวิตข้า ดังนั้นจึงปล่อยให้ข้าถูกองค์รัชทายาททำร้าย”
คำพูดของฮ่องเต้ทำให้คนตกใจขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนภายในตำหนักต่างหยุดหายใจ
องค์ชายห้าที่กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นลืมแม้กระทั่งโอดครวญ เขากุมมือของตนเองเอาไว้ด้วยความดีใจ ตกตะลึงและสับสัน…เขาบอกว่าฉู่ซิวหยงใส่ร้ายองค์รัชทายาท ทำร้ายเสด็จแม่ ใส่ร้ายเขาล้วนเป็นเรื่องที่เขาพูดเอง สำหรับเขาแล้ว การมีอยู่ของฉู่ซิวหยงก็คือการทำร้ายพวกเขา แต่ไม่คิดว่าฉู่ซิวหยงจะทำร้ายพวกเขาจริง!
ฉู่จิ่นหยงจ้องมองฉู่ซิวหยง ภายในดวงตาไร้แววดีใจ มีเพียงความโหดเหี้ยมที่เพิ่มมากขึ้น ที่แท้เขาถูกฉู่ซิวหยงหลอกลวงเสมอมาอย่างนั้นหรือ
“พูดเช่นนั้นไม่ได้” ฉู่ซิวหยงส่ายหน้า “ทำร้ายชีวิตของเสด็จพ่อเป็นทางเลือกของฉู่จิ่นหยงเอง ไม่เกี่ยวกับกระหม่อม”
นี่คือปัญหา!
“อาซิว!” ฮ่องเต้ตะโกน “ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเจ้าหลอกล่อเขา”
เขานอนอยู่บนเตียง ไม่อาจพูด ไม่อาจขยับ ไม่อาจลืมตา เขาเห็นว่าฉู่จิ่นหยงเริ่มจากกังวลกระทั่งปล่อยวาง จนถึงดื่มด่ำกระทั่งอาวรณ์ สุดท้ายไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมาทีละก้าวอย่างมีสติ…
“มันคืออำนาจ” ฮ่องเต้มองฉู่ซิวหยง “ไม่มีผู้ใดทนต่อการล่อลวงเช่นนี้ได้”
ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “ดังนั้นไม่ว่าเขาทำร้ายกระหม่อม หรือทำร้ายพระองค์ ในสายตาของพระองค์ล้วนไม่ผิดอย่างนั้นหรือ”
พระสนมสวีจับมือของฉู่ซิวหยงลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท…พระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ”
พูดพลางหลั่งน้ำตา
พระสนมสวีมักร้องไห้เป็นประจำ แต่คราวนี้น้ำตาเป็นของจริง
ฮ่องเต้นั่งหลับตาอยู่บนที่ประทับ “ข้าไม่ได้บอกว่าเขาไม่ผิด ข้าแค่บอกว่าเจ้าทำเช่นนี้ก็ผิดเหมือนกัน! อาซิว…” เขาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เจ้าทำเรื่องมากมายเท่าใดกันแน่ ก่อนหน้านี้…”
ฉู่ซิวหยงไม่รอเขาถามจบก็พยักหน้า “กระหม่อมให้คนมาทูลฟ้องเรื่องคดีหมู่บ้านซ่างเหอเอง นอกจากนี้ สาเหตุที่กระหม่อมจับฉู่มู่หยงตอนลอบสังหารกระหม่อมได้เพราะกระหม่อมเตรียมกองกำลังจับพวกเขาไว้ล่วงหน้า แต่ว่าเรื่องที่น่าเสียดายคือ…”
เขามองไปทางฉู่จิ่นหยง
“คนขององค์รัชทายาทหนีไปได้”
คราวนี้ฉู่จิ่นหยงไม่ทนเงียบอีกต่อไป เขามองฉู่ซิวหยง ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “อาซิว เจ้า…”
“กระหม่อมอย่างไร ทำร้ายท่านหรือ” ฉู่ซิวหยงพูดขัดเขา น้ำเสียงยังคงอ่อนโยน มุมปากเปื้อนยิ้ม “องค์รัชทายาท กระหม่อมยืนนิ่งอยู่เสมอ มีแต่ท่านที่รับกระหม่อมไม่ได้จึงมาทำร้ายกระหม่อม มีแต่ท่านที่รับการมีอยู่ของเสด็จพ่อไม่ได้จึงทำร้ายพระองค์”
ฉู่จิ่นหยงพูด “ข้าไม่ได้ทำ หูไต้ฟูผู้นั้น รวมทั้งขันทีผู้นั้นใส่ร้ายข้าเพราะถูกเจ้าซื้อตัวไปอย่างเห็นได้ชัด!”
เรื่องที่ยอมรับก่อนหน้านี้ เวลานี้ไม่ยอมรับแล้วก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรก็เป็นความผิดของฉู่ซิวหยง
ฮ่องเต้ตะโกน “หุบปากให้หมด” เขามองไปยังฉู่ซิวหยงด้วยความเหนื่อยล้า “เรื่องอื่นข้าเข้าใจแล้ว มีเพียงเรื่องเดียวที่ข้าไม่เข้าใจ เรื่องของหมอหลวงจาง”
ฮ่องเต้กุมหน้าอก ถึงแม้รู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจเจ็บปวดได้อีกแล้ว แต่ก็ยังคงเจ็บปวดทุกครั้ง
ตามคำพูดของเขา องครักษ์ลับที่ยืนอยู่สองข้างคุมตัวอีกคนออกมา
อีกฝ่ายคือหมอหลวงจาง
หมอหลวงจางสีหน้าเรียบเฉย
ฮ่องเต้เรียกชื่อของหมอหลวงจาง “เจ้าก็หลอกข้า หากไม่มีเจ้า อาซิวไม่มีทางทำได้เช่นนี้”
ฮ่องเต้ประชวรหรือไม่ล้วนอยู่ในมือของหมอหลวง
โดยเฉพาะหมอหลวงจางที่อยู่เคียงข้างฮ่องเต้มาหลายสิบปี
หมอหลวงจางพยักหน้า “ใช่ พระอาการประชวรของฝ่าบาทเป็นฝีมือของกระหม่อม”
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาเศร้าโศก “เพราะเหตุใด”
หมอหลวงจางก้มกราบ “ไม่มีสาเหตุ กระหม่อมสมควรตาย”
เขายังคงไม่ยอมพูด ฮ่องเต้ต้องการถามอีก แต่ฉู่ซิวหยงพูดขึ้นก่อน “เสด็จพ่อ พระองค์ยังทรงจำนายน้อยใหญ่จางได้หรือไม่”
ฮ่องเต้ผงะไป เขาย่อมจำได้ บุตรชายคนโตของหมอหลวงจาง อายุใกล้เคียงกับองค์รัชทายาท เขาเห็นอีกฝ่ายเติบโตพร้อมองค์รัชทายาทต่อหน้า เสียดายที่มีอยู่ปีหนึ่งเขาตกน้ำจนป่วย รักษาไม่หายจึงตายไป
“ครั้งที่นายน้อยใหญ่ตกน้ำเป็นเพราะองค์รัชทายาท” ฉู่ซิวหยงมองฉู่จิ่นหยง
เรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว ฮ่องเต้นึกไม่ออกในทันที
ฉู่จิ่นหยงตะโกนด้วยความขุ่นเคือง “กระหม่อมก็ตกน้ำเหมือนกัน จางลู่เป็นคนเสนอว่าจะเล่นน้ำ เขากระโดดลงมาเอง กระหม่อมไม่ได้ดึงเขา กระหม่อมเกือบจมน้ำตาย กระหม่อมก็ป่วยเช่นเดียวกัน!”
เขาจำได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังแทนตัวเองด้วยความเคยชินหมือนในเวลานั้น
ฉู่ซิวหยงมองเขา “เพราะพวกท่านหลบคนไปเล่นน้ำ หลังจากที่ท่านตกน้ำ จางลู่ผลักท่านปีนขึ้นไปบนฝั่งเพื่อช่วยท่าน เขาแช่อยู่ในน้ำให้ท่านเหยียบเพื่อจะได้จับกิ่งไม้ ท่านป่วยเพราะได้รับความตกใจ แต่เขากลับป่วยเพราะความหนาว”
ฉู่จิ่นหยงต้องการพูดบางอย่าง แต่ถูกฮ่องเต้พูดขัด เขานึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้แล้ว เขาจำเด็กคนนั้นได้แล้ว
ฮ่องเต้มองไปทางหมอหลวงจาง “เรื่องของอาลู่ ข้าก็เจ็บปวดใจอย่างมาก ที่แท้เจ้าโทษข้าเพราะเรื่องนี้หรือ โทษข้า โทษองค์รัชทายาทที่ทำให้อาลู่ตกน้ำอย่างนั้นหรือ”
หมอหลวงจางยังคงส่ายหน้า “กระหม่อมไม่เคยโทษองค์รัชทายาทกับฝ่าบาท มันเป็นเพราะความซุกซนของอาลู่เอง…”
เพราะเหตุใดกัน! บนใบหน้าของฮ่องเต้ปรากฏความโกรธ
“หมอหลวงจางไม่ได้โทษองค์รัชทายาทกับเสด็จพ่อ แต่ว่าเวลานั้นภายในใจขององค์รัชทายาทกับเสด็จพ่อคงโทษอาลู่อย่างมากใช่หรือไม่” ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “กระหม่อมยังจำได้ องค์รัชทายาทเพียงแค่ตกใจ เหล่าหมอหลวงก็ตรวจดูแล้ว เพียงแค่นอนหลับก็พอ แต่เสด็จพ่อกับองค์รัชทายาทไม่ยอมให้หมอหลวงจางจากไป ข่าวอาลู่ป่วยถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง ตอนที่ป่วยหนัก พวกท่านบังคับให้หมอหลวงจางเฝ้าองค์รัชทายาทอยู่ในวังหลวงห้าวัน หลังจากห้าวัน หมอหลวงจางกลับไปถึงจวน พบอาลู่เป็นครั้งสุดท้าย…”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงตรงนี้ ร่างกายของหมอหลวงจางที่เงียบสงบอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา แม้จะผ่านไปนานหลายปี แต่เขายังคงจำเวลานั้นได้ อาลู่ของเขา…
สายตาของฮ่องเต้เหม่อลอยเล็กน้อย คาดโทษหรือ นานเกินไป เขาจำความรู้สึกในเวลานั้นไม่ได้แล้ว
บางทีอาจใช่…เวลานั้น แม้จิ่นหยงจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาก็รู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงมา