“ในความคิดของกระหม่อม พระชายาฉลาดมากที่คิดแผนการนี้ขึ้นมาได้ นางอาจจะเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ที่คิดแผ่นการเช่นนี้ขึ้นมาได้ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ รินน้ำชาให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วสวยของตนขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”ฉลาดก็จริง แต่ยังโหดเหี้ยมไม่พอ”
ขันทีซุนถึงกับพูดไม่ออก ถ้านี่ยังโหดเหี้ยมไม่พอ เช่นนั้นคนผู้นั้นจากตระกูลซูก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง เขาคงได้มีอันเป็นไปเพราะความโกรธของตัวเองแล้วก็ได้
แต่เขาสงสัยจริงๆ ว่าผู้เป็นนายของเขาจะจัดการด้วยวิธีเช่นใด
“แล้วถ้าเป็นองค์ชายล่ะพ่ะย่ะค่ะ ท่านจะทำเช่นใดหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนเสื้อคลุมตัวนอกไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับปลดกระดุมที่คอเสื้อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า ”ข้าก็คงส่งศพของซูเหยียนโม่ไปถึงมือของอัครเสนาบดีซูโดยตรงน่ะสิ”
ขันทีซุน : …
อัครเสนาบดีซูคงได้ตกใจตายกันพอดี!
พูดถึงความหน้าด้านหน้าทน พระชายาย่อมไม่มีทางเทียบชั้นผู้เป็นนายของเขาในด้านการยั่วโมโหผู้อื่นได้…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพาดไว้บนบ่าราวกับไม่เห็นสายตาของเขา เผยให้เห็นร่างกายอันหล่อเหลาและสมส่วนของเขา ”เตรียมรถม้า เราจะออกนอกวัง”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ ออกนอกวังหรือ” ขันทีซุนรีบเดินตามอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ องค์ชายถึงนึกอยากออกนอกวังกะทันหัน
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกมานอกห้อง จู่ๆ เขาก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน และมองดอกไม้ที่ปลูกอยู่ในอุทยานหลวงด้วยสายตาราวกับไม่แยแส สองขาของเขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหันหน้าไปหาขันทีซุนแล้วเอ่ยว่า ”ข้าจะหาดอกกุหลาบจากในอุทยานหลวงได้ที่ไหน”
“เอ๋” ขันทีซุนรู้สึกว่าวันนี้เขาตามอารมณ์ขององค์ชายไม่ค่อยทันนัก กุหลาบอะไรกัน
ทันใดนั้นองค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็ถามเสียงอู้อี้เพราะอมปลาทองอยู่ในปาก ”พี่สาม ท่านหาดอกกุหลาบอยู่หรือขอรับ”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา ”เจ้ารู้หรือ”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเกาศีรษะโล้นเตียนของตัวเอง ”ในห้องบรรทมของท่านก็ยังมีกุหลาบที่เหลือจากที่พี่สะใภ้มอบให้เมื่อครั้งก่อนอยู่อีกตั้งเยอะมิใช่หรือขอรับ”
“ไม่ใช่พวกนั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างใจเย็นโดยไม่คิดที่จะอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยรู้ว่าพี่สามของเขารักและทะนุถนอมกุหลาบอันล้ำค่าเหล่านั้นเพียงใด แต่มีที่อื่นที่ยังมีกุหลาบอยู่ด้วยหรือ…
“สวรรค์! องค์ชายน้อยพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนเพิ่งจะได้สติ เขารีบคว้าตัวเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ทันที ”ท่านจะกินปลาเช่นนี้ไม่ได้นะ! นี่มันปลาเป็นๆ นะพ่ะย่ะค่ะ! องค์ชาย ทำไมท่านไม่พูดอะไรบ้างเลยเล่า หากเขากินปลาดิบๆ เข้าไปจนล้มป่วยแล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดอมปลาทองตัวงามไว้ในปากและทำเป็นไม่สนใจขันทีซุนที่พยายามหยุดเขา เขาไม่สะทกสะท้านกับความพยายามของขันทีซุนเลยแม้แต่นิดเดียว
ขันทีซุนรู้สึกหมดแรงแล้ว
ตอนนั้นนั่นเองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเด็กชายตัวน้อย แล้วเอ่ยว่า ”อ้าปาก”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยฝืนใจบ้วนปลาทองลงในมือของขันทีซุน
ขันทีซุนรีบปล่อยปลาทองที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวนั้นลงในน้ำทันที องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะได้เอามันกลับเข้าปากไม่ได้อีก
เจ้าพวกพ่อครัวในห้องเครื่องดูแลองค์ชายเจ็ดอย่างไรถึงปล่อยให้เขาหิวได้ถึงเพียงนี้!
บรรดาพ่อครัวคงได้กระอักเลือดกับการกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมนี้แน่ มันใช่ความผิดของพวกเขาเสียที่ไหน แต่เป็นเพราะองค์ชายเจ็ดต่างหากที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า!
อันที่จริงนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนในห้องเครื่องเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไหนแต่ไรไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รู้อยู่แล้วว่ากระเพาะของผู้เป็นน้องชายนั้นใหญ่เพียงใด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมพร้อมทำอาหารตลอดสิบสองชั่วยาม และเตรียมอาหารเอาไว้ถึงวันละสิบสองมื้อเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชายตัวน้อยหิวขึ้นมา
ถ้าจะให้เปรียบเทียบขนาดกระเพาะขององค์ชายเจ็ดให้เห็นชัดๆ แล้วละก็ คงบอกได้เพียงว่าเวลาน้ำชายามบ่ายของเด็กคนอื่นๆ จะมีเพียงแค่ขนมหนึ่งชิ้น และผลไม้แช่อิ่มอีกเล็กน้อย แต่ขององค์ชายเจ็ดจะเป็นซาลาเปาเนื้อสิบก้อน กับเครื่องเคียงอีกหนึ่งจาน อาหารอย่างพวกขนมทานเล่นนั้นเป็นเพียงแค่ของเรียกน้ำย่อยสำหรับเขาเท่านั้น…
ทีแรกพวกเขาคิดว่าหลังจากเตรียมตัวเอาไว้ดิบดีถึงเพียงนี้ องค์ชายเจ็ดตัวน้อยย่อมไม่มีทางหมายตาปลาทองในสระน้ำอย่างแน่นอน
อดีตฮ่องเต้ถามพวกเขาหลายครั้งแล้วว่าทำไมปลาทองที่เขาเลี้ยงไว้ถึงเหลือน้อยลง และทุกครั้งพวกเขาก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการเพิ่มปริมาณอาหารให้กับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเท่านั้น! ใช่แล้ว เพิ่มเข้าไปอีก!
แต่พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่า… กระทั่งปลาทองตัวสุดท้ายในสระน้ำ เขาก็ยังไม่คิดที่จะไว้ชีวิตมัน…
ขันทีซุนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้เสียใจนักแม้จะเสียเสบียงของตัวเองไป เขาเดินตามหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต้อยๆ เขาสูงเพียงแค่ต้นขาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น แต่ใบหน้ากล้าหาญเด็ดเดี่ยวนั้นทำให้เขาดูอวดดีและทรงอำนาจ เขาทำหน้าเหมือนพร้อมจะกัดทุกคนที่เข้าใกล้
คนธรรมดาคงไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาหากมีเขายืนอยู่ตรงนั้น
ด้วยเหตุนี้ขันทีซุนจึงขอตัวไปเตรียมรถม้าให้กับผู้เป็นนายทั้งสองอย่างเงียบๆ แทน
ตอนนี้เมื่อคนที่จะออกนอกวังไม่ได้มีเพียงแค่ฝ่าบาทคนเดียว พวกเขาจึงจำเป็นต้องเตรียมอาหารขึ้นรถม้าเพิ่ม
ซาลาเปายี่สิบก้อนน่าจะใช้ได้
แต่ห้องเครื่องมีเวลาและมีกำลังคนมากพอที่จะทำซาลาเปาพวกนั้นหรือเปล่านี่สิ…
“พี่สาม ทำไมท่านถึงเจาะจงว่าจะต้องเป็นกุหลาบด้วยล่ะขอรับ” เด็กชายตัวน้อยคว้าเสื้อคลุมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับพยายามเร่งฝีเท้าตามเขาให้ทันอย่างยากลำบาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างสบายๆ ว่า ”เป็นของขวัญให้พี่สะใภ้สามของเจ้า” เขาไม่รู้ว่ากุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของอะไร แต่ถ้าอ้างอิงจากคู่มือการ ’เอาใจภรรยา’ ที่นางอ่านอยู่เสมอ กุหลาบดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ทันทีที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยได้ยินว่าเขาจะเอาดอกกุหลาบพวกนั้นเป็นของขวัญสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ”พี่สาม ข้าคิดว่าท่านควรจะหาของขวัญที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ให้กับพี่สะใภ้แทนนะขอรับ เอาเป็นนกกระเรียนสองตัวที่อยู่ในตำหนักของเสด็จปู่เป็นอย่างไรขอรับ พวกมันจะต้องอร่อยแน่นอน!”
ขันทีซุน : …
ทำไมทันทีที่เขากลับมา เขาถึงได้ยินว่าองค์ชายเจ็ดกำลังหมายตากระเรียนคู่ที่อดีตฮ่องเต้ทรงโปรดปรานในระยะนี้อยู่ล่ะ!
องค์ชายน้อย อดีตฮ่องเต้คงได้หมดความอดทนแน่หากนิสัยการกินของท่านยังเป็นเช่นนี้ต่อไป! เขาจะส่งท่านกลับไปที่สำนักไท่ไป๋นะพ่ะย่ะค่ะ!
“กระเรียนหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดคิด
ขันทีซุนทำตาโต ไม่นะ อย่าบอกนะว่า…
“ไม่ล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อ ”แค่นี้พี่สะใภ้สามของเจ้าก็คิดว่าสิ่งที่ข้าให้นางไปก่อนหน้านี้มีแต่ของแปลกๆ แล้ว”
ขันทีซุนถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอบคุณสวรรค์
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยถามเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย ”พี่สามให้อะไรกับพี่สะใภ้สามไปหรือขอรับ” เขาก็อยากได้ของขวัญเหมือนกัน
“ปลอกคอ”
ขันทีซุนกับเด็กชายตัวน้อยถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดสองพยางค์นั้น…
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กน้อยหันหน้ามาสบตากัน
ขันทีซุนถอนหายใจ แล้วจับมือขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยเอาไว้ ”องค์ชายน้อย กระหม่อมจะเลิกบ่นแล้วพ่ะย่ะค่ะว่าท่านชอบมอบของขวัญแปลกๆ ให้คนอื่น ถ้าในอนาคตท่านได้พบผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ท่านเอาอาหารให้นางเป็นของขวัญแทนก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ” ให้อาหารเป็นของขวัญยังดีกว่าให้ปลอกคอเป็นไหนๆ เพราะเขาคงได้ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างแน่นอน!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยผู้หล่อเหลาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”ขันทีซุนไม่ต้องห่วง ถ้าเทียบกับพี่สามแล้ว ข้าคิดว่าข้าปกติดีทีเดียว”
พ่อครัวจากห้องครัวที่เข้ามาส่งซาลาเปาพอดี : …ปกติดีกับผีสิ! ทำไมท่านไม่ลองถามดูล่ะว่ามีเด็กที่ไหนกินข้าวเป็นตะกร้าอย่างท่านบ้าง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจบทสนทนาระหว่างพวกเขา เขาเดินมุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันตกของอุทยานหลวงเพื่อหาดูว่าที่นั่นยังมีกุหลาบเหลืออยู่สักสิบยี่สิบดอกหรือไม่
เดิมทีขันทีซุนตั้งใจจะเรียกคนสวนที่ดูแลดอกกุหลาบพวกนั้นไปเก็บดอกไม้มาให้องค์ชาย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปาก สายตาของเขาก็บังเอิญเห็นเสื้อคลุมสีขาวที่ขยับอยู่ตรงหน้าเข้าเสียก่อน ตามมาด้วยกลิ่นหอมที่ลอยเข้ามาแตะจมูก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้พร้อมกับถือช่อดอกกุหลาบที่กำลังแย้มบานช่อใหญ่เอาไว้ในมือ เสื้อคลุมตัวยาวของเขาเริงระบำอยู่ในสายลม ร่างนั้นทั้งสง่างามและบริสุทธิ์ราวกับหยกจนยากจะละสายตาออกจากเขาได้…