ถึงแม้เวลานั้น เขาจะมีบุตรชายมากมายแล้ว
แต่จิ่นหยงไม่เหมือนกัน เขาคือจิ่นหยง
“เพราะเรื่องนี้หรือ ข้าเพียงแค่เป็นกังวลจิ่นหยงในเวลานั้น” ฮ่องเต้พึมพำ “ข้าเชื่อใจฝีมือของเจ้า ข้าส่งหมอหลวงท่านอื่นไปรักษาให้อาลู่แล้ว”
ฉู่ซิวหยงถอนหายใจ “เสด็จพ่อ บุตรชายของพระองค์เป็นบุตรชาย บุตรชายของผู้อื่นก็เป็นบุตรชายเช่นเดียวกัน บุตรชายของพระองค์แค่ได้รับความตกใจ บุตรชายของผู้อื่นมีอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้ว แต่ท่านกลับไม่ยอมปล่อยคนกลับไป…”
เขามองไปทางหมอหลวงจาง
“ใต้เท้าจางกลายเป็นคนฟั่นเฟือนเพราะการตายของอาลู่ เขาไม่อาจพูดความลำบากออกมาได้ ทำได้เพียงทุบตีตนเองเมื่อเกิดความแค้น ตนเองเป็นไต้ฟู มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยม แต่กลับต้องทนดูบุตรชายป่วยตาย เสด็จพ่อ บุตรชายของพระองค์มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข พระองค์ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนี้”
สีหน้าของฮ่องเต้เดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว เขามองไปทางหมอหลวงจางด้วยสายตาเศร้าโศก ก่อนจะมองฉู่ซิวหยง “ดังนั้น เจ้าใช้เรื่องนี้หลอกล่อหมอหลวงจางให้สมรู้ร่วมคิดกับเจ้ามาทำร้ายข้าหรือ”
ฉู่ซิวหยงไม่ตอบ เขาเพียงแค่มองไปทางหมอหลวงจางด้วยสายตาซาบซึ้ง “หมอหลวงจางดูแลกระหม่อมมาสิบกว่าปี หากไม่ใช่เขา ร่างกายที่เจ็บปวดเช่นนี้ ยาที่ขมเช่นนี้ กระหม่อมคงอดทนต่อไม่ได้ กระหม่อมขอบคุณเขา เขาก็สงสารกระหม่อม เห็นใจกระหม่อม”
ซึ่งหมายความว่า เขาใช้เวลาสิบกว่าปีในการโน้มน้าวหมอหลวงจาง หรืออาจบอกได้ว่าหมอหลวงจางถูกฉู่ซิวหยงซื้อใจไปตั้งนานแล้ว…ฮ่องเต้หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“คิดไม่ถึงเสียจริงว่าเจ้าจะวางแผนทำร้ายข้ากับองค์รัชทายาทมานานเพียงนี้” ฮ่องเต้ลืมตาขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าอยากทำอันใดกันแน่ เจ้าแค้นฮองเฮาและองค์รัชทายาทเพราะเรื่องยาพิษในเวลานั้น หรือเพราะเจ้าอยากเป็นองค์รัชทายาท อยากครอบครองบัลลังก์นี้เอง!”
เมื่อสิ้นเสียงของฮ่องเต้ ด้านนอกตำหนักมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น
“ฝ่าบาทแย่แล้ว ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…”
บรรยากาศที่น่าอึดอัดภายในตำหนักถูกทำลาย องครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักทูลขึ้น “ท่านโหวโจวพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ฮ่องเต้ไม่ต้องการให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา แต่…
“ฝ่าบาท…แม่ทัพหน้ากากเหล็กมาแล้ว…” เสียงตะโกนของโจวเสวียนดังขึ้นอีกครั้ง “แม่ทัพหน้ากากเหล็กนำกองกำลังมาล้อมประตูเมืองแล้ว…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็ก?!
คราวนี้ภายในตำหนักแตกตื่น แต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึง เดิมทีพวกเขาก็ได้รับรู้เรื่องน่าตกใจมากแล้ว ไม่คิดว่าจะมีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า…แม่ทัพหน้ากากเหล็กฟื้นคืนชีพแล้ว!
ท่านอ๋องหลูที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังท่านอ๋องเยียนยื่นมือออกไปหยิกท่านอ๋องเยียนหนึ่งที
ท่านอ๋องเยียนเกือบร้องออกมา
“เจ้าทำอันใด!” เขาหันกลับมาด่า
ท่านอ๋องหลูพูด “เวลานี้ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”
เจ้าบ้า! ท่านอ๋องเยียนโกรธจนถลึงตาใส่เขา
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคน ฮ่องเต้และฉู่จิ่นหยงที่รู้ว่าผู้ใดคือแม่ทัพหน้ากากเหล็กต่างมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
เพราะประโยคนี้ โจวเสวียนจึงถูกปล่อยเข้ามา เขาวิ่งไปทางฮ่องเต้ ก่อนจะมองสถานการณ์ภายในตำหนัก ราวกับความตกใจทำให้ขาของเขาสะดุดกับร่างที่นอนอยู่บนพื้น
“ฝ่าบาท…แม่ทัพหน้ากากเหล็ก…เอ๊ะ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” เขาถามอย่างสะเปะสะปะ สายตามองไปยังซากศพ องครักษ์ลับที่มือถือคันธนู รวมทั้งบรรดาองครักษ์ที่ถูกองครักษ์ลับรายล้อมเอาไว้คุกเข่าอยู่บนพื้น
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน ยังมีอีกคน “เกิดเรื่องใดขึ้นต้องดูว่าเจ้าจะยืนมองอยู่ฝั่งองค์รัชทายาท หรือยืนมองอยู่ฝั่งท่านอ๋องฉี”
โจวเสวียนเงยหน้าขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ฝ่าบาท กระหม่อมยืนอยู่ฝั่งฝ่าบาท…”
“ไม่ต้องพูดมาก!” ฮ่องเต้ตะโกน ชี้นิ้วไปทางเขา “เรื่องที่พวกเจ้าแต่ละคนทำอย่าคิดว่าข้าไม่รู้”
นิ้วของเขาชี้ไปทางด้านนอก มองไปยังยามค่ำคืนที่ดูเหมือนจะสว่างแต่ก็เหมือนจะมืดมิด
ยังมีฉู่อวี๋หยง!
เขารู้อยู่แล้วว่าลูกทรพีนี้ไม่มีทางอยู่อย่างสงบ!
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังพูดกับโจวเสวียนอยู่นั้น องค์ชายห้าที่กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความเหม่อลอยกระโดดลุกขึ้นมา พลันใช้มือซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหยิบมีดขึ้น
“ไม่สนว่าเขาต้องการสิ่งใด!” เขาตะโกน พลันจับมีดพุ่งไปยังฉู่ซิวหยง “ฉู่ซิวหยงสมควรตาย! ไปตายเสียเถิด…”
เขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว อีกทั้งโจวเสวียนสะดุดล้มในบริเวณที่บดบังเขา อีกทั้งบดบังสายตาของขันทีจิ้นจงได้พอดี
ไม่ว่าจะโยนแส้หางจามรีหรือสิ่งใดล้วนถูกบังเอาไว้
คราวนี้ฉู่ซิวหยงตายแน่
ถึงแม้องครักษ์ลับสองข้างทางจะยิงธนูก็ไม่อาจยิงถูกตัวเขาเพียงคนเดียว โจวเสวียนและฉู่ซิวหยงล้วนยากที่จะหนี…
ตายเสียเถิด ตายไปด้วยกันเสียเถิด
ภายในดวงตาขององค์ชายห้าลุกโชนไปด้วยไฟโกรธ เพียงแค่ฉู่ซิวหยงตายก็ไม่มีผู้ใดเป็นภัยต่อพี่ชายของเขาแล้ว! เสด็จพ่อก็ไร้ทางเลือกอื่นอีก…
แต่นาทีถัดมา เสียงของฉู่จิ่นหยงดังขึ้น “ปกป้องฝ่าบาท!”
ตามเสียงตะโกนนี้ เขาพุ่งตัวไปยังที่ประทับ
ส่วนขันทีจิ้นจงที่เดิมทียืนอยู่ข้างฮ่องเต้ได้พุ่งตัวไปทางฉู่ซิวหยงแล้ว
ปกป้องฝ่าบาท?
ฉู่จิ่นหยงกลัวฉู่ซิวหยงปะทะกับองค์ชายห้าจนทำร้ายฮ่องเต้หรือ
เมื่อความคิดของขันทีจิ้นจงปรากฏขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงธนูดังขึ้นด้านนอกตำหนัก ธนูหลายสิบคันพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง กวาดไปยังบรรดาองครักษ์ลับสองข้างของตำหนัก รวมทั้งฉู่ซิวหยง โจวเสวียนและองค์ชายห้า
บรรดาองครักษ์ลับไม่ทันตั้งตัว มีคนต้องคันธนูล้มลงไม่น้อย…
โจวเสวียนหมอบอยู่บนพื้นด้วยความว่องไว ขันทีจิ้นจงกระชากเสื้อลงมาสะบัด ปกป้องฉู่ซิวหยงและพระสนมสวีเอาไว้
องค์ชายห้าไม่ได้โชคดีเพียงนั้น เขาคิดเพียงแต่จะสังหารฉู่ซิวหยง จึงไม่ป้องกันตัวแม้แต่น้อย ธนูแหลมสองคันปักเข้าที่ตัวเขา องค์ชายห้าล้มลงบนพื้นในทันที มีดในมือตกอยู่ข้างเท้าฉู่ซิวหยง ดวงตาของเขาเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ
เมื่อมององค์ชายห้าที่นอนจมอยู่บนกองเลือด ขันทีจิ้นจงรู้สึกขนลุกซู่
แย่แล้ว คนที่ติดตามองค์ชายห้าปะปนเข้ามายังมีหลบซ่อนอยู่ด้านนอก อีกทั้งยังมีคันธนูซ่อนเอาไว้
ไม่ พูดผิดแล้ว ไม่ใช่คนขององค์ชายห้า แต่เป็นคนของฉู่จิ่นหยง!
ฉู่จิ่นหยงพุ่งตัวเข้าไปหาฮ่องเต้แล้ว…
ปกป้องฮ่องเต้ที่เขาพูดก็คือจะใช้ข้ออ้างนี้ในการยิงสังหารทุกคน สุดท้ายผลักความผิดไปยังการปะทะขององค์ชายห้ากับฉู่ซิวหยง ส่วนฮ่องเต้จะตายหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพียงแค่ฉู่จิ่นหยงมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว…
ฮ่องเต้คาดการณ์ไว้ทุกอย่าง แต่เขายังคงใจอ่อน คิดไม่ถึงความไร้เยื่อใยของฉู่จิ่นหยง
เสียงธนูดังขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลัง พระสนมสวีและพระสนมเสียนต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ
เสียงธนูปักเข้าร่างคนก็ดังขึ้นตามมา
ขันทีจิ้นจงไม่กล้าเบนสายตาไปดูแม้แต่น้อย เขาสะบัดเสื้อ ทิ้งฉู่ซิวหยงและคนอื่น พลันพุ่งตัวไปทางฮ่องเต้ เขาต้องรับรองความปลอดภัยของฮ่องเต้ ส่วนคนอื่นในตำหนัก เฮ้อ…
ทุกเรื่องเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ความคิดของขันทีจิ้นจงก็แล่นผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
เพียงชั่วพริบตานี้ มีเงาหนึ่งแล่นผ่านเขาไปเร็วกว่าความคิดของเขา…
เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ขันทีจิ้นจงเห็นองค์รัชทายาทลอยขึ้นมา ห่างจากบริเวณที่เขาสามารถเอื้อมมือไปจับเอาไว้ได้ ลอยผ่านฮ่องเต้ที่ยืนอยู่หน้าที่ประทับ ก่อนจะตกกระทบลงฉากกั้นกว้างด้านหลังเสียงดัง
ฉู่จิ่นหยงไม่ได้ไถลลงมา ธนูดำคันหนึ่งปักทะลุผ่านหัวไหล่ของเขา ตอกเขาเอาไว้บนฉากกั้นอย่างแน่นหนา
ขันทีจิ้นจงชะงักเท้าลง นาทีนี้ หัวใจของเขาก็หล่นลงมาอยู่ที่เดิม
เขาหันหลังกลับไปมองภายในตำหนัก นอกจากองครักษ์ลับสิบกว่าคนและองค์ชายห้าที่ล้มลงแล้ว ไม่มีผู้อื่นต้องธนูอีก
เห็นได้ชัดว่าเสียงที่เกิดขึ้นครั้งที่สองคือเสียงของคนที่อยู่ด้านนอกถูกสังหารไปแล้ว
สายตาของขันทีจิ้นจงมองไปยังประตูตำหนัก ภายในตำหนักยังคงสว่างไปด้วยแสงไฟ แต่ด้านนอกตำหนักมืดสนิท จากนั้นมีคนเดินเข้ามาพร้อมกับความมืด
แสงไฟที่สว่างไสวตกอยู่บนตัวเขาถูกกลืนกินไปในทันที กลายเป็นสีแดงเข้มประกายแสงสีทอง
“ช่าง…” คนผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตู หน้ากากเหล็กกวาดมองตำหนักใหญ่ คล้อยคันธนูสีดำทองในมือลง “กลายเป็นเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!