เสียงของเขาไม่แหบพร่ามากนัก แต่ภายในตำหนักเงียบสงัดในทันที
คนที่กำลังร้องไห้วิ่งวุ่นในเดิมทียืนนิ่งอยู่ที่เดิม พวกเขาต่างมองไปยังคนที่อยู่หน้าประตู
ชุดเกราะ หน้ากากเหล็ก ธนูที่สามารถยิงองค์รัชทายาทให้ลอยออกไปได้
ท่านอ๋องหลูกอดเสาไหลลงบนพื้น สีหน้าแย่กว่าถูกธนูยิงเสียอีก แม่ทัพหน้ากากเหล็กจริงด้วย เวลานี้ไม่ได้กำลังฝันไป หากแต่ทุกคนถูกฆ่าตายจนมาถึงนรกแล้วหรือ
เมื่อเทียบกับความผงะของคนอื่น ฉู่ซิวหยงกลับมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสายตาสดใส ถึงแม้เขาจะตกใจเป็นเวลานานก่อนหน้านี้เมื่อได้รู้แล้วว่าฉู่อวี๋หยงเป็นผู้ใด ผู้ใดเป็นฉู่อวี๋หยง แต่เมื่อได้เห็นในเวลานี้ เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
มหัศจรรย์เพียงใดกัน คนตรงหน้าไม่ใช่แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่เขารู้จัก อีกทั้งยังไม่ใช่ฉู่อวี๋หยงที่เขารู้จัก แต่เป็นอีกคน
ความผงะก็เป็นเพียงชั่วครู่
ขันทีจิ้นจงมาถึงข้างกายฮ่องเต้แล้ว องครักษ์ที่เหลือภายในตำหนักต่างก็หลั่งไหลมารายล้อมด้านหน้าฮ่องเต้
ฉู่จิ่นหยงที่ถูกตอกอยู่บนฉากกั้นส่งเสียงครวญครางอย่างไร้สติ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคนอื่นภายในตำหนักต่างก็ส่งเสียงโอดครวญหนักเบาต่างกัน ขันที นางในและบรรดาพระสนมที่ตื่นตระหนกต่างสะอึกสะอื้น
ความโกลาหลกลับสู่โลกมนุษย์
ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงชุดเกราะและอาวุธกระทบกัน เสียงคนถูกลากอยู่บนพื้น…คงจะเป็นบรรดาคนขององค์รัชทายาทที่หลบซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกยิงตาย
ไม่มีธนูที่คร่าชีวิตยิงเข้ามาอีก ไม่มีทหารพุ่งเข้ามาอีก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูเหมือนภูเขาลูกหนึ่ง
มองดูภูเขาลูกนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้ดูดีนัก อีกทั้งสีหน้าของบรรดาองครักษ์รอบด้านก็ไม่ได้ผ่อนคลายมากนัก
“นี่…นี่ ผู้ใดกัน” พระสนมสวีที่ตั้งสติกลับมาจากความตกตะลึงตะโกนขึ้นมา
เมื่อมองไปอาจทำให้คนคิดถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่หากดูอย่างละเอียด บรรดาสตรีอาจไม่คุ้นเคยกับท่านแม่ทัพ แต่พวกนางจดจำรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างดี
สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่หนุ่มมาก…คนคงไม่อาจกลับมาเป็นหนุ่มได้หลังจากตายใช่หรือไม่
“ฝ่าบาท เขาพ่ะย่ะค่ะ” โจวเสวียนทิ้งร่างขององครักษ์ที่นำมาเป็นโล่กำบังลง พลันเดินไปถึงใต้ที่ประทับของฮ่องเต้ “เขา เขาปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
ก่อนหน้านี้ตอนที่องค์รัชทายาทลอบสังหาร เขาก็พุ่งมาทางฮ่องเต้เพื่อปกป้องฮ่องเต้ แต่ว่าช้ากว่าขันทีจิ้นจงหนึ่งก้าว
ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา แต่มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าดำทะมึน
“มั่วหลิน” เขาพูด
ผู้คนภายในตำหนักใหญ่ตกตะลึงอีกครั้ง คนส่วนมากล้วนรู้จักชื่อของมั่วหลิน เพราะเขาคือองครักษ์ลับที่มีฝีมือที่สุดข้างกายฮ่องเต้
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้น ในมือของเขามีมีดเล่มยาว
เมื่อเห็นมั่วหลินเดินออกมา ท่านอ๋องหลูที่กำลังจะคลานเข้าไปหาฮ่องเต้จึงกอดเสาเอาไว้อีกครั้ง สีหน้าของเขายิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม เรื่องยังไม่จบ สถานการณ์ตึงเครียดกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก!
ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาททำเช่นนั้น คนทั้งตำหนักแทบจะถูกฆ่าตาย ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเรียกมั่วหลินออกมา
มั่วหลินเป็นอาวุธสังหารที่มีพลานุภาพที่สุดของฮ่องเต้
เวลานี้เขาถูกเรียกออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นภัยคุกคามมากเพียงใด
ท่านอ๋องหลูได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากชายหนุ่มด้านหลังหน้ากากเหล็ก
“มั่วหลินหรือ” เขาพูด “มั่วหลินทำอันใดกระหม่อมไม่ได้หรอก ตอนนั้นเคยประลองกันหลายครั้ง ไม่มีแพ้ชนะ”
มั่วหลินไม่พูด ฮ่องเต้ก็ไม่ตอบรับคำถามนี้ เพียงแค่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น “ฉู่อวี๋หยง เจ้าอยากทำอันใด”
เมื่อชื่อของฉู่อวี๋หยงถูกเรียกออกมา คนทั้งตำหนักต่างก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง ความคิดของทุกคนต่างชุลมุนจนเหลือเพียงความว่างเปล่า
แม้แต่ฉากกั้นด้านหลังฮ่องเต้ก็เหมือนได้รับความตกใจจนเกิดเสียงดัง…หรืออาจเป็นเพราะร่างกายของฉู่จิ่นหยงที่ถูกตอกไว้ด้านบนกำลังสั่น แต่เวลานี้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเขาแล้ว
ทุกคนล้วนมองไปยังคนที่ใส่หน้ากากเหล็กอยู่หน้าประตู…ฉู่อวี๋หยง?
“กระหม่อมอยากทำอันใดหรือ” คนที่ใส่หน้ากากเหล็กหัวเราะ เสียงแก่ชราหายไป มีแต่เสียงก้องกังวาลดังขึ้นมาจากด้านหลังของหน้ากากเหล็ก “เสด็จพ่อ ชัดเจนมาก กระหม่อมกำลังช่วยชีวิตพระองค์”
ฉู่อวี๋หยงจริงด้วย…ถึงแม้ทุกคนจะไม่คุ้นเคยกับเสียงของเขามากนัก ถึงแม้เขาจะยังไม่ถอดหน้ากาก แต่เสียงที่เรียกเสด็จพ่อไม่มีผิดแน่ องค์ชายทั้งหกที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เหลือเพียงเขาแล้ว
“ช่วยหรือ” ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “สถานการณ์ในเวลานี้…”
พูดถึงสถานการณ์ในเวลานี้ เขามองไปรอบด้าน พระสนมเสียนเบียดอยู่กับเหล่าขันทีและนางใน ท่านอ๋องเยียนหมอบอยู่บนพื้น ท่านอ๋องหลูกำลังกอดเสาต้นหนึ่งเอาไว้ พระสนมสวีถูกฉู่ซิวหยงปกป้องไว้ข้างตัว บนตัวของพวกเขามีคราบเลือด ไม่รู้ว่าเป็นของผู้อื่น หรือได้รับบาดเจ็บจากลูกธนู แขนของหมอหลวงจางถูกลูกธนูยิงเข้าหนึ่งดอก โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนองค์ชายห้านอนถลึงตาโตอยู่ท่ามกลางกองเลือด หมดซึ่งลมหายใจไปแล้ว
ฉู่จิ่นหยง สายตาของฮ่องเต้มองเขาเป็นคนสุดท้าย…
ผมของฉู่จิ่นหยงแผ่สยาย สวมชุดเสื้อป่าน ถูกลูกธนูเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวไหล่ตอกอยู่บนฉากกั้น เขาก้มหน้าครวญครางเสียงเบาเหมือนตุ๊กตาผ้าเน่า
ถึงแม้บุตรชายผู้นี้จะไม่อาจเทียบเดรัจฉานได้ แต่เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของเขาก็ยังคงเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด
เจ็บจนดวงตาของเขาพร่ามัว
เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้
“ฉู่อวี๋หยง…” เสียงของฮ่องเต้แหบพร่า “สถานการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเจ้ามากน้อยเพียงใด”
“สถานการณ์นี้เกี่ยวข้องกับกระหม่อมอย่างไร” ฉู่อวี๋หยงพูด “เพียงแค่กระหม่อมคาดเดาสถานการณ์นี้ได้ แต่ไม่ได้ยับยั้ง”
ฮ่องเต้ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าปิดบังข้าจริงๆ ! เจ้าก็มีส่วนร่วม…”
“เสด็จพ่อ” ฉู่อวี๋หยงพูดขัดเขา “พระองค์ทรงมีสติเสียหน่อย กระหม่อมยังคิดได้ เสด็จพ่อย่อมทรงคิดได้ กระหม่อมไม่ห้ามเพราะพระองค์ไม่ห้าม แม้แต่พระองค์ยังไม่ห้าม ผู้ใดจะห้ามเรื่องที่เกิดขึ้นได้”
ฮ่องเต้ตะลึงเมื่อได้ยิน
ฉู่อวี๋หยงมองฮ่องเต้ “เรื่องตั้งแต่ต้นนี้ มีเรื่องใดที่พระองค์ไม่รู้บ้าง ผู้ใดจะปิดบังพระองค์ได้ บุตรชายของหมอหลวงจางตายอย่างไร เสด็จพ่อทรงไม่รู้หรือ จิ่นหยงและฮองเฮาทำร้ายซิวหยง พระองค์ทรงไม่รู้หรือ มู่หยงรังแกบรรดาพี่น้อง พระองค์ทรงไม่รู้หรือ คดีหมู่บ้านซ่างเหอ มู่หยงลอบสังหารซิวหยงที่กลับมาจากแคว้นฉี พระองค์ทรงไม่รู้หรือ ซิวหยงคับแค้นใจเพียงใด ใช้ชีวิตอย่างลำบากเพียงใด พระองค์ทรงไม่รู้หรือ พระองค์ทรงรู้มากกว่าผู้ใด แต่พระองค์ไม่เคยยับยั้ง เวลานี้พระองค์กลับมาซักโทษกระหม่อมหรือ”
ถึงแม้เสียงของเขาไม่ชราอีกต่อไป แต่กลับเย็นชาเหมือนกับหน้ากากเหล็กและชุดเกราะ แต่ละประโยคพุ่งตรงเข้ามาราวกับธนูแหลม
ฮ่องเต้เอื้อมมือกุมหน้าอก เขารู้หรือ เขาเหมือนว่าจะรู้ใช่หรือไม่ แต่เขาทำเรื่องมากมายแล้ว…
“พระองค์ทรงทำเรื่องมากมาย แต่มันไม่ใช่การยับยั้ง” ฉู่อวี๋หยงพูดพลันส่ายหน้า “หากแต่เป็นการปิดบัง ปิดบังเรื่องนี้ ปิดบังเรื่องนั้น เรื่องแล้วเรื่องเล่า เมื่อปรากฏขึ้นมาก็ทำให้พวกมันหายไป หายไปในสายตาของผู้คน แต่ต้นเหตุของเรื่องเหล่านี้ยังคงอยู่ พวกมันหายไปในสายตา แต่ยังอยู่ในใจของคน งอกเงยเจริญเติบโตต่อไป”
ฮ่องเต้ต้องการพูดบางอย่าง แต่เวลานี้คันธนูในมือฉู่อวี๋หยงชี้ไปทางฉู่ซิวหยง
“ฉู่ซิวหยง” เขาตะโกน
พระสนมสวียังตกอยู่ในอาการตกใจ นางกอดแขนของฉู่ซิวหยงเอาไว้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เสด็จแม่ อย่าทรงกลัว น้องหกไม่ทำร้ายกระหม่อม” ฉู่ซิวหยงปลอบนาง พลันยิ้มให้ฉู่อวี๋หยง “ความจริงแล้ว วันนี้ที่กระหม่อมกล้ายืนอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะกระหม่อมไม่กลัวตาย อีกทั้งไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อทรงอยู่ ยิ่งไม่ใช่เพราะกระหม่อมมีการเตรียมการที่ไม่มีข้อผิดพลาด แต่เพราะบนโลกนี้มีฉู่อวี๋หยง กระหม่อมรู้ว่าฉู่อวี๋หยงจะต้องมา”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สายตาของฮ่องเต้ก็เศร้าโศกอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน…
ฉู่อวี๋หยงไม่ได้สนใจสายตาของฮ่องเต้ หรือคำพูดของฉู่ซิวหยง เขาพูดเพียง “ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อทรงถามว่าท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ เพราะโกรธแค้นฮองเฮาและองค์รัชทายาท หรือเพราะต้องการบัลลังก์ ท่านยังไม่ตอบ เวลานี้ท่านบอกเสด็จพ่อ ท่านต้องการสิ่งใด”
ผู้คนในตำหนักต่างผงะเล็กน้อย เหตุใดจึงพูดเรื่องนี้ในเวลานี้
ฉู่ซิวหยงหัวเราะออกมา
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าผู้ที่ไม่เคยติดต่อกัน ผู้ที่แปลกหน้าที่สุดจะเข้าใจข้าที่สุด” เขาถอนหายใจเสียงเบา ไม่มองฉู่อวี๋หยงอีก เขามองไปทางฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พระองค์ก็ทรงรู้แล้ว สิบกว่าปีก่อนกระหม่อมได้รับความสงสารจากหมอหลวงจาง อันที่จริงกระหม่อมมีวิธีมากมาย มีโอกาสมากมายที่จะสังหารฮองเฮาและองค์รัชทายาทกับมือ”
เป็นดังที่เขาพูด เมื่อมีหมอหลวงจาง การวางยาพิษหรือทำให้เหมือนป่วยย่อมไม่มีคนจับพิรุธได้ง่าย ฮ่องเต้มองเขา อย่างนั้น…
“แต่อย่างนั้นมันง่ายไปสำหรับพวกเขา กระหม่อมไม่อยากให้พวกเขาตายไปอย่างไร้เสียง ไม่เจ็บไม่ทรมาน” ฉู่ซิวหยงมองฮ่องเต้ รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “กระหม่อมต้องการให้พวกเขาฆ่ากันเอง กระหม่อมอยากเห็นพวกเขาแม่ลูกตายอยู่ในมือของอีกฝ่าย”
“เจ้า…” ฮ่องเต้ยิ่งตกตะลึง
“กระหม่อมหรือ…หากกระหม่อมอยากเป็นองค์รัชทายาท เพียงแค่กำจัดองค์รัชทายาทและฮองเฮาในเร็ววัน ตำแหน่งองค์รัชทายาทย่อมต้องเป็นของกระหม่อม” ฉู่ซิวหยงพูดต่อ ก่อนจะมองไปทางพระสนมสวีที่อยู่ข้างกายด้วยความรู้สึกผิด “เสด็จแม่ กระหม่อมก็หลอกพระองค์เช่นเดียวกัน ความจริงกระหม่อมไม่ได้อยากเป็นองค์รัชทายาท ดังนั้นหลายวันนี้ กระหม่อมไม่ได้ไปประจบเสด็จพ่อตามคำสั่งของพระองค์”
พระสนมสวีจับเขาเอาไว้แน่น “อาซิว อาซิว เจ้า…”
นางคิดมาเสมอว่ายังไม่ถึงเวลา หมอหลวงจางยังไม่ทันเตรียมการ ร่างกายของฉู่ซิวหยงยังไม่พร้อม ที่แท้เขาสามารถแก้แค้นได้ตั้งนานแล้ว สามารถเป็นองค์รัชทายาทได้ตั้งนานแล้ว เพราะเหตุใดกันจึงต้องทนลำบากมากมายเช่นนี้ แก้แค้นย่อมต้องแก้แค้น แต่แก้แค้นก็เป็นองค์รัชทายาทได้ นางไม่เข้าใจ
ฉู่ซิวหยงมองไปทางฮ่องเต้ พลางพูดทีละคำ “กระหม่อมทำเรื่องเหล่านี้เพื่อทูลถามเสด็จพ่อ พระองค์ทรงเสียพระทัยบ้างหรือไม่”
ฮ่องเต้มองฉู่ซิวหยงด้วยสีหน้าสับสน ราวกับไม่เข้าใจ
“ตอนนั้นฉู่จิ่นหยงทำร้ายกระหม่อม พระองค์ไม่ลงโทษเขา” ฉู่ซิวหยงมองฮ่องเต้ พลันถามต่อ “พระองค์ทรงโปรดปรานเขาเพียงนั้น ภาคภูมิใจในตัวเขาปานนั้น วันนี้เขาทำร้ายฮองเฮา ทำร้ายองค์ชายห้า อีกทั้งยังทำร้ายพระองค์ เวลานี้พระองค์ทรงรู้สึกว่าเขาคุ้มค่ากับความภาคภูมิใจของพระองค์หรือไม่ คุ้มค่ากับความโปรดปรานของพระองค์หรือไม่ เวลานี้พระองค์ทรงเสียพระทัยที่ไม่ลงโทษเขาในเวลานั้นหรือไม่”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน สายตาสดใสปนสงสัย ราวกับเด็กที่ต้องการขอความรู้
ทันใดนั้น หัวใจของฮ่องเต้ถูกฉีกออก น้ำตาหลั่งไหลลงมา
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มรูปงาม หากแต่เป็นเด็กที่นอนรวยรินอยู่บนเตียง ดวงตาจ้องมองเขาด้วยความตระหนกความกลัวและความคาดหวัง
หลายปีแล้ว เด็กคนนั้นยังคงมองเขาอยู่เสมอ ยังรอประโยคหนึ่งจากเขา
ประโยคนั้นไม่ใช่อย่ากลัว ข้าจะรักษาเจ้าให้หาย ไม่ใช่ข้าจะปกป้องเจ้า ไม่ใช่ข้าจะดูแลเจ้า หากแต่เป็นข้าจะลงโทษคนร้ายแทนเจ้า ข้าจะทวงความยุติธรรมแทนเจ้า…