เกิดความเงียบชั่วขณะในตำหนัก
ฮ่องเต้เลื่อนมือที่กุมหน้าอกขึ้นมาปิดหน้าเพื่อกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา
ตอนที่ฉู่ซิวหยงถูกลอบสังหารเป็นเวลาที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นบุตรชายคนนี้
ในเวลานั้นบรรดาองค์ชายต่างเติบโตขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นบุตรคนอื่นนอกจากจิ่นหยง ซิวหยงมีรูปลักษณ์สดใส เรียนเก่ง ขี่ม้ายิงธนูก็ดี ดวงตาของเขามีความใจเย็นกว่าองค์รัชทายาทอย่างมาก
เขาอดไม่ได้ที่จะรั้งซิวหยงไว้ข้างกาย ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
ตอนเกิดเรื่อง เขาไม่รู้ว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทจิ่นหยง เพียงแต่สืบได้ว่าเป็นฝีมือของฮองเฮาอย่างรวดเร็ว ฮองเฮาเป็นผู้โง่เขลา แม้แต่การลอบทำร้ายผู้อื่นก็ทำออกมาอย่างไร้ความเกรงกลัวและเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เริ่มแรกเขาจะลงโทษฮองเฮา จนกระทั่งสืบต่อถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเพราะฮองเฮาปิดบังแทนองค์รัชทายาท…
เขายังไม่ทันคิดว่าจะเผชิญกับเรื่องนี้อย่างไร จิ่นหยงก็ล้มป่วยลง เป็นไข้สูง พูดจาสะเปะสะปะ ซ้ำไปซ้ำมาเพียงประโยคเดียว เสด็จพ่ออย่าทรงทอดทิ้งกระหม่อม เสด็จพ่ออย่าทรงทอดทิ้งกระหม่อม กระหม่อมกลัวกระหม่อมกลัว
หัวใจของเขาก็อ่อนระทวย
จิ่นหยงยังเป็นแค่เด็ก อีกทั้งได้รับความรักจากบิดาเพียงคนเดียวเสมอมา ทันใดนั้นถูกพี่น้องคนอื่นแบ่งปันความสนใจของเสด็จพ่อไป เขากลัวก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเขาได้ยินเรื่องการแย่งชิงระหว่างพี่น้องของฮ่องเต้องค์ก่อนและเหล่าท่านอ๋อง บรรดาพี่น้องที่หลั่งไหลด้วยสายเลือดเดียวกันน่ากลัวเพียงใด…เรื่องนี้โทษจิ่นหยงไม่ได้ ต้องโทษเขา
เขาปลอบประโลมจิ่นหยง อีกทั้งยิ่งสงสารซิวหยง เริ่มแรกเขาให้จิ่นหยงติดต่อสานสัมพันธ์กับบรรดาองค์ชายอื่นๆ ให้มากขึ้น ให้จิ่นหยงรู้ว่านอกจากองค์รัชทายาทแล้ว เขายังเป็นพี่ใหญ่ อย่าได้กลัวน้องชายเหล่านี้ ต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน…
เขาคิดว่าตนเองทำได้ดีมากพอแล้ว ไม่คิดว่า ฉู่ซิวหยงจะซ่อนความแค้นไว้ในใจเสมอมา จนกลายเป็นเช่นนี้
“เสด็จพ่อ” ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “คนที่กระหม่อมแค้นไม่ใช่องค์รัชทายาทหรือฮองเฮา หากแต่เป็นพระองค์”
ดังนั้นสถานการณ์ในวันนี้เป็นการแก้แค้นฮ่องเต้
ฮ่องเต้โกรธเคือง แต่ก็โศกเศร้าอย่างมาก เขาต้องการพูดบางอย่าง อาทิข้าผิดไปแล้ว แต่คอของเขามีเลือดกระอักอยู่
“เรื่องนี้เสด็จพ่อทรงทำผิด” มีเสียงดังขึ้นจากภายในตำหนัก
สายตาของทุกคนหันไปมองทางประตูอีกครั้ง ฉู่อวี๋หยงที่ยืนอยู่ทางนั้นยังคงสวมหน้ากาก ไม่มีผู้ใดมองเห็นใบหน้าและสีหน้าของเขา
“ฉู่ซิวหยง ท่านผิดยิ่งกว่า”
ฉู่ซิวหยงมองไปทางเขา “ใช่ ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
“ท่านทำเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ถูกต้อง” เสียงของฉู่อวี๋หยงเย็นยะเยือก “ท่านมีความแค้นก็ไปแก้แค้น เหตุใดต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ท่านดูสถานการณ์ในวันนี้…”
ฉู่ซิวหยงกวาดตามองภายในตำหนัก แต่ฉู่อวี๋หยงก็เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้ให้ท่านดูแค่ตรงนี้ ตำหนักแห่งนี้มีเพียงเจ็ดแปดคน มีสิ่งใดน่าดูกัน! ท่านดูด้านนอก...” เขาตะโกน “ทั้งที่ท่านรู้ว่าท่านอ๋องฉีองค์ก่อนมีใจอื่น แต่ยังสมรู้ร่วมคิดกับเขาเพื่อแก้แค้นส่วนตน ทำให้เสด็จพ่อประชวร ทำให้ราชสำนักไม่มั่นคง ส่งผลให้ซีเหลียงบุกรุกเข้ามา ชายแดนวิกฤต จินเหยาต้องเสี่ยงภัย ขุนนางราชสำนัก แม่ทัพ กองกำลังและราษฎรต้องประสบภัย!”
รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของฉู่ซิวหยงหายไป “ข้าไม่เพียงทำผิดต่อทหารและราษฎรชายแดน ข้ายังทำผิดต่อท่านแม่ทัพ ตอนนั้นข้ายังต้องการทำร้ายท่านแม่ทัพ” เขามองฉู่อวี๋หยง “เวลานั้นท่านแม่ทัพตายจากการป่วยเพราะรู้แผนการของข้าล่วงหน้า ดังนั้นจึงปล่อยเรือไหลไปตามน้ำ แสร้งทำเป็นป่วยตายใช่หรือไม่”
ตอนนั้นยังมีเรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงมองมา
ฉู่อวี๋หยงไม่พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาพูดเพียง “ไม่มีผู้ใดทำผิดต่อข้าได้ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับข้า ข้าเองก็ไม่สนใจ”
“เจ้าไม่สนใจ เพราะเจ้าใจกว้าง” ฉู่ซิวหยงยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “เจ้าพูดถูก ข้าทำผิด ข้าเป็นคนไร้หัวใจ”
“ผิดแล้ว” ฉู่อวี๋หยงพูด “ท่านไม่ได้ไร้หัวใจ ท่านผิดที่ท่านมีเยื่อใยต่อผู้อื่นมากเกินไป”
เยื่อใยหรือ ผู้คนในตำหนักต่างมองไปรอบด้าน คนที่ตายเกลื่อนอยู่บนพื้นมีมากมาย ฉู่ซิวหยงยังถือเป็นคนมีเยื่อใยอีกหรือ
แม้แต่ฉู่ซิวหยงก็ประหลาดใจ
“ท่านมีเยื่อใยเกินไป” หน้ากากเหล็กเย็นยะเยือกของฉู่อวี๋หยงมองไปทางเขา “ท่านใส่ใจความโปรดปราน ความรักของเสด็จพ่อมากเกินไป ในใจและดวงตาของท่านมีเพียงเสด็จพ่อ ต้องการให้พระองค์รักและปกป้องท่าน ท่านคิดว่าวันนี้ท่านต้องการให้เสด็จพ่อทรงเสียพระทัยที่โปรดปรานจิ่นหยงหรือ ไม่ ท่านต้องการให้พระองค์เสียพระทัยที่ไม่โปรดปรานท่านต่างหาก”
ใบหน้าของฉู่ซิวหยงซีดเผือด ดวงตาชะงักงัน ที่แท้เป็นเช่นนี้หรือ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
“สำหรับคนที่ไม่ชอบท่าน ท่านจำเป็นต้องใส่ใจเพียงนั้นหรือ การให้โดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนสำคัญเพียงนั้นหรือ” เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “จำเป็นต้องสนใจว่าคนที่ไม่ชอบท่านจะดีใจหรือทุกข์ทรมาน จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจเพื่อพวกเขาหรือ ท่านเกิดมาเป็นคน มีชีวิตอยู่เพื่ออีกคนหรือ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบท่าน ท่านยังจะมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขาหรือ”
คนที่ไม่ชอบท่าน…ฉู่ซิวหยงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มององค์ชายห้าที่จมอยู่ในกองเลือด มองฉู่จิ่นหยงที่ถูกตึงไว้บนฉากกั้น สุดท้ายมองไปยังฮ่องเต้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉู่ซิวหยงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใบหน้าของเสด็จพ่อ อาจเป็นเพราะหลายปีมานี้ ในสายตาของเขายังคงมองเห็นเสด็จพ่อที่ยื่นมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม อุ้มเขาส่งขึ้นม้าคนนั้น
‘อาซิว อย่ากลัว ข้าดูเจ้าเอาไว้ เจ้าไม่มีทางตกจากหลังม้า’
เขาคิดว่าเสด็จพ่อทรงโปรดปรานเขาในเวลานั้นย่อมจะโปรดปรานเขาตลอดไป เขาไม่ยอมรับความจริงที่เสด็จพ่อไม่ทรงโปรดปรานเขา
ฉู่ซิวหยงยิ้มด้วยความโศกเศร้า พลันยื่นมือปิดหน้าเอาไว้
พระสนมสวีที่เงียบอยู่ตลอดร้องไห้ออกมา นางยื่นมือกอดเขาเอาไว้ “อาซิว อาซิว”
“ฉู่อวี๋หยง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้ดังขึ้น “เจ้าวิจารณ์ผู้อื่นอยู่ตรงนี้ช่างสง่ายิ่งนัก…เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดถึงตัวเอง! เจ้ามองทุกจิตใจของทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เจ้าทำสิ่งใดบ้าง”
ฉู่อวี๋หยงพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “กระหม่อมไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ตอนที่กระหม่อมเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ได้ทูลกับเสด็จพ่อแล้ว กระหม่อมไม่ใช่บุตรชายของพระองค์อีก กระหม่อมเป็นแค่ขุนนาง ในฐานะขุนนาง ย่อมต้องให้ความสำคัญกับฝ่าบาท เรื่องที่พระองค์ไม่อนุญาต กระหม่อมย่อมไม่ทำ คนหรือเรื่องที่พระองค์ทรงต้องการปกป้อง กระหม่อมย่อมไม่ไปทำร้าย ส่วนองค์รัชทายาทหรือฉู่ซิวหยงจะทำสิ่งใด มันเป็นเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท เพียงแค่พวกเขาไม่ทำลายความมั่นคงของราชสำนัก กระหม่อมย่อมจะดูอยู่ด้านข้าง”
ฮ่องเต้หัวเราะเย้ยหยัน “ดี ดี ฉู่อวี๋หยง” ตามประโยคนี้ เลือดที่อัดแน่นอยู่บริเวณหน้าอกก็กระอักออกมา
ภายในตำหนักมีเสียงร้องตกใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าบาท!”
ขันทีจิ้นจงพยุงฮ่องเต้เอาไว้ โจวเสวียนก็เบียดองครักษ์ลับออกไปมายืนอยู่ข้างฮ่องเต้
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะจับเขา…”
ฮ่องเต้สะบัดพวกเขาออก ชี้ไปทางฉู่อวี๋หยงพลันตะโกน “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ทำสิ่งใด อย่างนั้นข้าถามเจ้า วันนี้เจ้ามาเพื่อเรื่องใด อย่าพูดว่าเจ้าไม่อาจทนมองวิกฤตของชายแดน หรือเพื่อช่วยข้า หากเจ้ามาเพื่อช่วยข้าและควบคุมความโกลาหล เหตุใดต้องรอจนถึงวันนี้!”
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเรียบ “ที่กระหม่อมมาวันนี้ย่อมเพื่อบัลลังก์”
บัลลังก์!
ฮ่องเต้หัวเราะออกมา “ดี เจ้าเด็ดขาดเสียจริง องค์รัชทายาททำร้ายข้า ไม่บอกว่าเพื่อบัลลังก์ เพียงแค่โทษที่ข้าบีบบังคับเขา อาซิวทำร้ายข้า บอกว่ามีเยื่อใยต่อข้า ต้องการให้ข้าเสียใจ มีแต่เจ้าฉู่อวี๋หยงที่เปิดเผย ถูกต้อง เพียงแค่ต้องการบัลลังก์นี้ไม่ใช่หรือ พูดจาเหลวไหลอันใดมากมาย!”
“เพื่อบัลลังก์แล้วอย่างไร” ฉู่อวี๋หยงพูด พลันหมุนคันธนูในมือ “เวลานี้บรรดาองค์ชายของต้าเซี่ย องค์รัชทายาทโหดเหี้ยมแต่โง่เขลา ฉู่มู่หยงตายแล้ว ท่านอ๋องเยียน…”
เขาพูด สายตาภายใต้หน้ากากเหล็กมองไปทางท่านอ๋องเยียน
ท่านอ๋องเยียนกลัวจนแทบจะมุดเข้าไปใต้ร่างขององครักษ์ลับ ท่านอ๋องหลูไม่ต้องให้อีกฝ่ายพูดถึงตนเองก็ตะโกนขึ้นมาก่อน “กระหม่อมไม่อยาก กระหม่อมไม่อยาก”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะออกมา วางคันธนูลง ไม่พูดถึงท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูอีก
“นอกจากกระหม่อม ไม่มีผู้ใดแบกรับแผ่นดินนี้ได้” เขาพูด พลันมองไปยังฮ่องเต้ “รวมไปถึงฝ่าบาท”
คำพูดนี้ยโสโอหังอย่างมาก ช่างไม่เคยมีมาก่อน ฮ่องเต้ถลึงตาโต ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี
“ดี ดี” เขาชี้ไปทางฉู่อวี๋หยง “พวกข้าล้วนเป็นมนุษย์ พวกข้าในสายตาเจ้าล้วนเป็นเรื่องน่าขัน เจ้าไร้เยื่อใยไร้ความรัก ในเมื่อเจ้ามาเพื่อบัลลังก์ เรื่องอื่นและคนอื่นเจ้าล้วนไม่ใส่ใจแล้ว…มั่วหลิน!”
ตามเสียงตะโกนนี้ ดาบในมือของมั่วหลินสะบัด ฟันไปยังฉากกั้นด้านหลังที่ประทับเสียงดัง ฉากกั้นใหญ่ที่งดงามขาดออกจากกัน ฉู่จิ่นหยงที่ถูกขึงไว้ด้านบนก็ล้มลงตาม ด้านหลังฉากกั้นที่ขาดออกจากกันปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่ง
นางถูกมัดให้นั่งคุกเข่า ในปากถูกยัดด้วยผ้า เวลานี้สีหน้าซีดเผือด ดวงตากลมถลึงโต มองชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะเหล็กและหน้ากากเหล็กที่ยืนอยู่หน้าประตู
ดาบของมั่วหลินฟันฉากกั้นขาด จากนั้นวางลงที่หัวไหล่ของนาง ปลายดาบจ่ออยู่ที่ลำคอขาวสะอาดของนาง
“ข้าย่อมรู้ว่ามั่วหลินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นชา “ข้าให้มั่วหลินออกมา ไม่ใช่เพื่อปะทะกับเจ้า ฉู่อวี๋หยง มั่วหลินสู้เจ้าไม่ได้ แต่ฆ่าคนผู้หนึ่งต่อหน้าเจ้า เขาคงจะทำได้ใช่หรือไม่”