ซื่อเหนียงเข้าใจสถานการณ์ เมื่อเห็นดังนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า“ข้าจะไปดูพี่เขยสี่ของพวกเจ้าสักหน่อย ไม่รู้ว่าดื่มจนเมาอีกแล้วหรือไม่” พูดพลางลงจากเตียงนั่ง
สืออีเหนียงจะปล่อยให้ซื่อเหนียงที่ตั้งครรภ์เป็นคนหลบออกไปข้างนอกได้อย่างไร
นางยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงสี่พักอยู่ที่นี่เถิด! หากท่านเป็นห่วงพี่เขยสี่ ข้าจะให้หู่พั่วไปดูให้” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้ากับพี่หญิงห้าจะไปดูความคึกครื้นสักหน่อยแล้วจะรีบกลับมา”
ซื่อเหนียงจึงไม่ได้เกรงใจพวกนาง ยิ้มพลางพยักหน้า มองดูพวกนางออกไป
อู่เหนียงลากสืออีเหนียงไปที่ห้องเอ่อร์ฝังด้านข้างที่ไม่มีคน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่มา” นางถามอย่างตรงไปตรงมา
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่คุณนายสี่อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา นึกขึ้นได้ว่าหลัวเจิ้นเซิงเป็นน้องชายท้องเดียวกันกับอู่เหนียง…นางยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินเพียงพี่สะใภ้สี่บอกว่าพี่ใหญ่มีเรื่องต้องจัดการ”
อู่เหนียงยิ้มเยาะ “ข้าจะบอกเจ้าให้! พี่ใหญ่ไปจัดการกิจการที่ฝูเจี้ยนแล้ว!”
ฝูเจี้ยน!
สืออีเหนียงใจเต้นกระหน่ำ
อู่เหนียงพูดขึ้นมาว่า “ตอนที่ท่านพ่อดำรงตำแหน่ง ท่านแม่เคยร่วมทำไร่ชากับคนอื่น ต่อมาท่านพ่อออกจากตำแหน่ง กิจการไร่ชาเลยย่ำแย่ลง คนที่ร่วมทำกิจการด้วยต้องการเลิกเป็นหุ้นส่วนกับท่านพ่อ เป็นเพราะเจ้าแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว ทุกๆ อย่างจึงได้ดีขึ้นอย่างช้าๆ ตอนนี้ฝูเจี้ยนกำลังวุ่นวาย แม้ว่าไร่ชาจะดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน ท่านพ่อจึงอยากจะขายไร่ชาให้กับหุ้นส่วน มิเช่นนั้นพอน้องหญิงสิบสองแต่งงานจะมีสินสอดทองหมั้นมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”
สืออีเหนียงแอบตกใจ พูดอย่างคลุมเครือว่า “ฝูเจี้ยนอยู่ไกลเกินไป ขายไร่ชาไปก็ดีเช่นกัน”
อู่เหนียงได้ฟังดังนั้นก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไร่ชาราคาทั้งหมดกี่ตำลึง”
เสียงระฆังเตือนภัยในใจสืออีเหนียงดังขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ว่าจะขายไปกี่ตำลึง ก็ถือเป็นทรัพย์สินของครอบครัว เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
“เจ้าโง่หรืออย่างไร!” อู่เหนียงกระซิบว่า “น้องหญิงสิบสองออกเรือนด้วยสินสอดทองหมั้นห้าพันตำลึง แล้วตอนที่พวกเราออกเรือนค่าสินสอดทองหมั้นเท่าไรกัน ตอนนั้นท่านแม่ก็บอกไม่ใช่หรือว่าแต่งบุตรสาวติดต่อกันสามคนค่อนข้างขัดสนเกินไป ตอนนี้ในจวนมีเงินแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะชดเชยให้พวกเราจึงจะถูก!”
“ชดเชยสินสอด?” สืออีเหนียงมองอู่เหนียงด้วยความตกตะลึง
“ใช่แล้ว!” อู่เหนียงพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้าไปตรวจสอบดูแล้ว เมื่อก่อนก็มีตัวอย่างเช่นนี้ หากสกุลเดิมร่ำรวยแล้วก็จะให้เงินชดเชยสินสอดทองหมั้นแก่บุตรสาวที่แต่งงานแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มเยาะอยู่ในใจ
ที่นางดึงดันที่จะพาตนออกมาพูดตรงนี้ ก็เพียงเพื่อต้องการจะยืมชื่อของตน เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ยื่นเงื่อนไขกับหลัวเจิ้นซิ่งก็เท่านั้น!
“ข้าว่าเรื่องนี้พี่หญิงห้าไปพูดคุยกับพี่ใหญ่เถิด!” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “ตอนที่ข้าออกเรือนก็เป็นท่านแม่ที่ออกค่าสินสอดให้ พวกท่านใครจะไปเอาเงินชดเชยก็ได้ทั้งนั้น แต่หากข้าไปจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร” ไม่อยากจะพูดกับนางมากเกินไป เดินไปเปิดประตูเก๋อซ่าน “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถือบัญชี วันนี้มีอั่งเปาให้ถือแล้ว” พูดจบไม่ทันรอให้อู่เหนียงแสดงท่าทีใดๆ ก็เดินตรงออกนอกประตูไปแล้ว
******
วันต่อมาเป็นวันทางการของพิธีแต่งงาน สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงปล่อยจิ่นเกอไว้ที่เรือน ส่วนสวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและเจินเจี่ยเอ๋อร์ต่างก็ตามไปดื่มสุรามงคลที่ตรอกกงเสียน เฉิงเกอกับลี่เกอจวนซื่อเหนียงก็มากันหมด ปีนี้อวี๋เฉิงอายุสิบสามปี ส่วนอวี๋ลี่อายุสิบเอ็ดปี อวี๋เฉิงโตกว่าเล็กน้อย ค่อนข้างสุขุม อวี๋ลี่กับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยสนิทกันอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับจากพิธีแต่งงานสวีซื่อจุนก็ยังนึกถึงอวี๋ลี่ ถามว่าสามารถไปเล่นที่จวนซื่อเหนียงได้หรือไม่
“หลังจากทานโจ๊กล่าปาก็จะตรุษจีนแล้ว” สืออีเหนียงเอ่ยโน้มน้าวว่า “หากพวกเจ้าไปตอนนี้ ทุกคนในจวนก็จะยุ่งอยู่กับการเตรียมฉลองตรุษจีนแล้วก็ยังต้องมาต้อนรับพวกเจ้าอีก จะไม่เป็นการรบกวนคนอื่นหรือ ข้าว่าไม่สู้รอให้ตรุษจีนผ่านไปก่อนแล้วค่อยไปจะดีกว่า”
สวีซื่อจุนพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คนที่ส่งไปลั่วเย่ว์กลับมารายงานว่าคุณชายน้อยสองเตรียมจะกลับจวนในตอนเช้าของวันที่ยี่สิบสี่เจ้าค่ะ”
ใกล้จะตรุษจีนแล้ว สืออีเหนียงส่งคนไปรับสวีซื่ออวี้
สืออีเหนียงกำชับให้หู่พั่วไปดูเรือนที่สวีซื่ออวี้อาศัยอยู่ “เมื่อถึงเวลานั้นให้พวกเขาเผาเตา เตรียมของทุกอย่างให้พร้อม อะไรที่ควรเพิ่มก็เพิ่ม อะไรที่ควรเปลี่ยนก็เปลี่ยน”
หู่พั่วยิ้มพลางรับคำ หมอหลวงหลิวก็มาพอดี
“ฮูหยินฟื้นตัวได้เร็วมาก” หลังจากฝังเข็มแล้วเขาก็รีบถอยออกไปนอกมุ้ง “ต่อไปนี้ผู้น้อยจะมาฝังเข็มให้ฮูหยินทุกๆ สิบถึงสิบห้าวันก็พอแล้ว”
สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นเพื่อความชัดเจน “สรุปแล้วสิบวันหรือสิบห้าวันกันแน่” พูดจบก็เผยรอยยิ้ม “ข้าว่าหากข้าเลือกสิบวันก็ถูก หากเลือกสิบห้าวันเกรงว่าก็ไม่ผิด!”
สืออีเหนียงนึกถึงสิ่งที่หมอหลวงหลิวพูดตอนมาตรวจดูอาการนางครั้งแรก “ทางที่ดีควรจะพักผ่อนเจ็ดถึงแปดวัน แต่ถ้าหากสามารถพักผ่อนได้สิบวันถึงครึ่งเดือนก็จะยิ่งดี แต่หากไม่ได้จริงๆ ก็ควรจะพักผ่อนสักสี่ถึงห้าวัน” เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หัวเราะออกมา
สวีลิ่งอี๋หันไปมองนางที่กำลังสวมเสื้ออยู่ในมุ้ง
สืออีเหนียงรีบก้มหน้าลง
หมอหลวงหลิวพูดอย่างลำบากใจว่า “ต่อไปนี้ฮูหยินควรดื่มยาเป็นหลัก ฝังเข็มเป็นรอง ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดกับสิ่งเหล่านี้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋ออกมาส่งหมอหลวงหลิว เมื่อกลับมา มุ้งอีกครึ่งหนึ่งยังไม่ได้ม้วนขึ้น สืออีเหนียงห่มผ้าแล้วนอนหลับ ใบหน้าสีขาวของนางมีสีชมพูจางๆ ดูงดงามราวกับดอกบัวก็ไม่ปาน
“นับวันยิ่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!” เขาบ่นพึมพำพลางลูบหน้าผากนาง
เมื่อการนอนของสืออีเหนียงถูกรบกวน นางจึงส่งเสียง “อื้ม” แล้วขมวดคิ้วพลางเอียงหน้าหนีราวกับว่าต้องการหลบมือของเขา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางเอามือออก ช่วยดึงผ้าห่มให้นาง แต่กลับไม่ได้เดินออกไปทันที นั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากที่ไร้สีชาดทาปากของนางเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนนอก
สืออีเหนียงลืมตาขึ้นมา มองไปที่อิฐหินสีเขียวที่ถูกขัดเงาเหมือนกระจกด้วยความงุนงงแล้วเหม่อลอย
******
ใกล้จะถึงกลางเดือนสิบสองแล้ว บรรดาผู้ดูแลหญิง สาวใช้ และป้ารับใช้ต่างก็ยุ่งอยู่กับการปัดกวาดเช็ดถู แปะคำอวยพร และจัดของตกแต่ง สืออีเหนียงกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมเครื่องแต่งกายสำหรับเทศกาลตรุษจีน วันที่สามสิบจะต้องทานอาหารร่วมกันในครอบครัว วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งจะต้องเข้าวังไปถวายพระพร วันที่ห้าถึงวันที่สิบห้าจะต้องตามสวีลิ่งอี๋ไปอวยพรตรุษจีนที่จวนต่างๆ…
เจินเจี่ยเอ๋อร์อุ้มจิ่นเกอมานั่งบนเตียงนั่ง เอาแต่พูดว่า “ชุดสีแดงตัวนี้สวยงามมาก” หรือไม่ก็ “ข้าว่าสวมชุดสีม่วงจะดีกว่า สีม่วงทำให้ดูสง่างาม”
สืออีเหนียงรู้สึกเหนื่อยล้าจึงหย่อนกายนั่งลงจิบชาร้อนตรงข้ามกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
“เมื่อก่อนตั้งตารอวันตรุษจีนและซองอั่งเปา จากนั้นก็จะใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อแล้วเก็บใส่หีบ ในใจก็จะรู้สึกสงบมากขึ้น” ขณะที่พูดนางก็รู้สึกตกตะลึงเอง
ช่วงนี้ความทรงจำตอนที่อยู่อวี๋หังเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความทรงจำของชาติที่แล้วดูเหมือนจะเริ่มเลือนลางมากขึ้นเรื่อยๆ
สักวันหนึ่งความทรงจำในชาติที่แล้วจะกลายเป็นเงาอันมืดมิดหรือไม่
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่กับอี๋เหนียงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากที่สุด อี๋เหนียงเองก็เคยพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ บอกว่าพอเอาตั๋วเงินวางไว้ใต้หมอนก็จะทำให้นอนหลับได้อย่างจิตใจสงบ”
สืออีเหนียงไม่ได้ห้ามไม่ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปมาหาสู่กับเหวินอี๋เหนียง ทั้งสองคนค่อยๆ พูดคุยกันสองสามประโยค
เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็หยุดความคิดแล้วอุ้มจิ่นเกอมาจากอ้อมแขนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตสีดำเข้มของบุตรชายมองมาที่นางโดยไม่กระพริบตา นางจึงยิ้มแล้วหอมแก้มบุตรชาย พูดขึ้นมาว่า “ทำไมเจ้ายังไม่หลับอีก หรือว่าจะแอบฟังแม่กับพี่หญิงคุยกัน” พูดยังไม่ทันจบก็เห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของจิ่นเกอ
“เจินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ!” สืออีเหนียงพูดอย่างตื่นเต้น “เขารู้จักยิ้มแล้ว!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบขยับเข้าไป รอยยิ้มของจิ่นเกอได้หายไปแล้ว เขาพยายามจะยกแขนขึ้นมา อยากจะเอากำปั้นน้อยๆ สีขาวใส่เข้าไปในปาก
เพียงเท่านี้สืออีเหนียงก็รู้สึกว่าบุตรชายของนางน่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
นางลูบศีรษะบุตรชาย สวมหมวกใบเล็กที่ทำจากผ้าเช็ดหน้าให้เขา ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อวานข้าวางเขาไว้บนเตียงนั่งเพื่อจะแต่งตัวให้เขา เขากลับยกหัวขึ้นเหมือนจะลุกขึ้นมา พอข้าไม่อุ้มเขาขึ้นมาเขาก็ร้องไห้ใหญ่เลย เพียงนิดเดียวก็ทนไม่ได้ อารมณ์ร้อนเสียจริง”
“น้องหกไม่ชอบนอนอยู่เฉยๆ เจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “เขาชอบให้คนอุ้มพาไปเดินดูรอบๆ”
สืออีเหนียงเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน “ไม่ได้บอกว่าต้องผ่านไปหนึ่งร้อยวันก่อนศีรษะของเด็กจะสามารถตั้งได้หรือ เหตุใดเขาถึงตั้งศีรษะได้เร็วเช่นนี้!”
“ถามป้าเถียนดูดีหรือไม่เจ้าคะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รู้จึงช่วยออกความคิดเห็นให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้า กำลังจะให้สาวใช้น้อยไปเรียกป้าเถียนเข้ามา ก็มีสาวใช้น้อยรายงานผ่านผ้าม่านว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยสองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
พึ่งจะเลยกลางวันมาครู่เดียวเอง นางคิดว่าสวีซื่ออวี้จะมาถึงตอนบ่ายหรือไม่ก็พลบค่ำเสียอีก
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว!” สืออีเหนียงยิ้ม ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ลงจากเตียงนั่ง
สวีซื่ออวี้สวมชุดผ้าไหมหังโจวสีเขียวทะเลสาบเดินเข้ามา
เมื่อเทียบกับครึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้สูงขึ้น แต่ร่างกายของเขาดูกำยำขึ้น ยิ่งหล่อเหลาและสง่างาม
“ท่านแม่” เขาคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม ยิ้มพลางเรียก “น้องหญิงใหญ่” ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่จิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
“ได้รับ ‘พระอรหันต์ใบหน้ายิ้มแย้ม’ ของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับยังไม่เคยได้พบเขาเลย” สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางอุ้มจิ่นเกอไปให้สวีซื่ออวี้ดู “นี่คือน้องหกของเจ้า”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางสำรวจมองจิ่นเกอ “น้องหกกับน้องห้ามีดวงตาหงส์เหมือนกันเลยขอรับ”
จิ่นเกอเบิกตาโต รูปร่างดวงตาค่อยๆ ปรากฏขึ้น
สวีซื่ออวี้ไม่บอกว่าเหมือนตัวเอง และไม่เคยยกยอตัวเอง
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาเป็นคนคิดเยอะ จึงไม่ได้ฝืนใจเขา ยิ้มพลางมองบุตรชาย “ข้าก็ว่าดวงตาค่อนข้างเหมือนเจี้ยเกออยู่บ้าง” ทันทีที่พูดจบสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็มาพอดี
หลังจากผ่านเทศกาลล่าปาไปอาจารย์จ้าวก็หยุดสอนแล้วกลับบ้านเกิด สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยจึงได้หยุดเรียน ทุกวันตอนเช้าหลังจากที่ทั้งสองคนฝึกเขียนตัวอักษรที่เรือนสวีซื่อเจี้ยแล้ว ก็จะมาหาจิ่นเกอที่เรือนสืออีเหนียง หากจิ่นเกอหลับอยู่ พวกเขาก็จะกลับไปนอนกลางวันที่เรือนแล้วค่อยมาใหม่ หากจิ่นเกอตื่นอยู่พวกเขาก็จะหยอกล้อกับจิ่นเกอสักพัก
เมื่อเห็นสวีซื่ออวี้ สองคนพี่น้องก็รีบเข้ามาคำนับ แอบเก็บอาการดีใจไว้เล็กน้อย
สวีซื่ออวี้คำนับตอบ ถามทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ได้ยินมาว่าอาจารย์จ้าวกลับบ้านเกิดแล้วให้การบ้านพวกเจ้าไว้มากมายหรือ”
สวีซื่อจุนตอบ “ใช่แล้ว” แล้วพูดต่ออีกว่า “อาจารย์จ้าวบอกว่าจะเปิดเรียนหลังจากผ่านเทศกาลโคมไฟ เมื่อถึงเวลานั้นจะตรวจการบ้าน หากทำไม่เสร็จจะต้องปลูกต้นไม้ในสวนสิบต้น” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็มีท่าทีภาคภูมิใจเล็กน้อย “ข้ากับน้องห้าทำการบ้านใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือเพียงตัวอักษรหนึ่งร้อยหน้าที่ยังไม่ได้เขียนเท่านั้นเอง”
สวีซื่อเจี้ยยืนพยักหน้าอยู่ข้างๆ ราวกับจะยืนยันว่าเป็นอย่างที่สวีซื่อจุนพูดไม่มีผิด
สวีซื่ออวี้ยิ้มบาง
สวีซื่อเจี้ยวิ่งไปหาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้ากับพี่สี่นำของดีมาให้น้องหกด้วยขอรับ” เขาพูดพลางจับมืออ้วนท้วมของจิ่นเกอ
สืออีเหนียงไม่ได้หยุดเขา แต่กลับมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เอาอะไรมาหรือ”
สวีซื่ออวี้เห็นดังนั้นแววตาก็เผยให้เห็นความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นว่าสวีซื่อจุนนำของเล่นไก่จิกข้าวสารออกมาจากเสื้อพลางพูดว่า “น้องหก เจ้าดูสิว่านี่คืออะไร” พลางเล่นให้ดูเป็นตัวอย่าง
จิ่นเกอถูกดึงดูดด้วยเสียงไก่จิกข้าว เขาส่งเสียง “อา” ให้สวีซื่อจุน