“จ้างข้าเป็นที่ปรึกษาทางการทหารของเจ้า…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย คงดียิ่งนักหากองค์ชายสามารถติดตามนางไปได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาย่อมมีประสบการณ์การเมืองมากกว่านาง
แต่ว่า…
“ที่วังหลวงจะไม่เป็นอะไรหรือหากไม่มีท่านอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นห่วงสถานการณ์ของราชสำนักที่อาจเกิดการปะทุขึ้นได้อย่างง่ายดายในเวลานี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนถ้วยชาในมือพลางเอ่ยว่า ”เจ้าเคยเห็นข้าอยู่ในวังหลวงทั้งวันด้วยหรือ เสด็จปู่เป็นผู้ที่ดูแลเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างข้าเองก็จะได้ประโยชน์จากการถูกส่งตัวออกไปเหมือนกัน”
“ประโยชน์อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า ”ในอนาคตข้าเองก็จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงจำเป็นต้องทำผลงานเอาไว้เพื่อให้การขึ้นรับตำแหน่งในตอนสุดท้ายของข้าฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น คนบางกลุ่มมีอิทธิพลฝังรากลึกอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นการจะถอนรากถอนโคนพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป มันอาจจะง่ายขึ้นหากเราเจาะจากข้างนอกเข้ามาทีละชั้นแทน”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ดีว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมายถึงใคร
เมื่อคิดดูให้ดีแล้วก็สมเหตุสมผลทีเดียว เครือข่ายของสี่ตระกูลใหญ่นั้นกว้างเกินไป น้ำวงเล็กๆ เพียงวงเดียวก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้
รากของคนพวกนั้นฝังลึกอยู่ในเมืองหลวง การย้อนรอยจากรากที่อยู่นอกเมืองแล้วกลับไปหาต้นกำเนิดของมันอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็เป็นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยทิ้งความกังวลของตัวเองไปทันทีที่คิดได้เช่นนั้น
ทั้งสองเป็นคนลงมือฉับไว ดังนั้นทันทีที่พวกเขากลับมาถึงวังหลวง พวกเขาจึงรีบตรงไปเข้าพบอดีตฮ่องเต้ทันที
หลังจากฟังพวกเขาจบ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อดีตฮ่องเต้จึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ”ข้าประทับใจจริงๆ ที่พวกเจ้าทั้งสองมีความคิดลึกซึ้งถึงเพียงนั้น เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก แต่จุดหมายก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน แคว้นทางใต้ไกลเกินไป และประการแรก แวดวงการเมืองของที่นั่นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไป ดังนั้นเจ้าคงจะเข้าไปไม่ได้ ประการที่สองมันคงไม่สะดวกนักหากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น ใครๆ ต่างก็พากันบอกว่ายิ่งสถานที่แห่งนั้นยากจนเพียงใด ก็ยิ่งง่ายต่อการสร้างคุณงามความดีและชื่อเสียงมากเท่านั้น พวกเจ้าฟังคำปู่ แล้วจงไปที่เมืองฟู่ผิงเสีย!”
“ฟู่ผิงหรือ ที่อยู่ในชายแดนมณฑลเหอเป่ยหรือเพคะ ที่นั่นไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวง และยังมีชื่อเสียงด้านภูมิประเทศอันงดงามอีกด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นด้วยไม่แน่ใจว่ามันเป็นที่เดียวกับที่นางรู้จักหรือไม่
อดีตฮ่องเต้ลูบเคราของตนแล้วยืนยันกับนางว่า ”ที่นั่นล่ะ เวยเวย เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ประเมินเมืองเล็กๆ อย่างฟู่ผิงต่ำเกินไปเชียว ยิ่งเมืองเล็กเท่าใด ก็ยิ่งมีเจ้าของที่ดินเยอะเท่านั้น พวกเขาอาละวาดทำเรื่องไร้ศีลธรรมกันโดยมิได้กลัวเกรงทั้งสวรรค์หรือฮ่องเต้ ข้าที่อยู่ในวังหลวงจำเป็นต้องพิจารณาทุกสิ่งให้ดีเพื่อปกครองแผ่นดิน ข้าคงวางใจหากข้าสามารถมอบเรื่องที่ข้าไม่สามารถมอบให้ผู้ใดจัดการเอาไว้ในมือของพวกเจ้าทั้งสองได้ มีคนจำนวนหนึ่งปล้นผลไม้ที่คนอื่นหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่คนที่ถูกปล้นกลับไม่สามารถเปล่งเสียงแห่งความทุกข์ทรมานอย่างสุดแสนนั้นออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการขู่กรรโชกหรือการต้มตุ๋น อันธพาลพวกนั้นก็ล้วนแต่ทำมาหมดแล้วทั้งสิ้น ครั้งนี้จงช่วยข้าจับตัวผู้กระทำผิดผู้นั้น เป็นคำเตือนให้คนอื่นๆ ได้รู้เสีย! พวกเจ้าไม่ต้องห่วง! เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้คนที่หนุนหลังคนพวกนั้นอยู่จะมีอำนาจเพียงใด ข้าก็จะลงโทษพวกเขาตามสมควรแน่!”
“เพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้เขา
อดีตฮ่องเต้งงกับการกระทำของนาง เขาไม่เข้าใจว่ามือเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร จากนั้นเขาจึงระเบิดหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า ”เด็กโง่เอ๊ย”
ความชื่นชมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมีให้กับชายชรายิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงส่วนใหญ่สิ่งที่เขาทำลงไปจะรุนแรงเหนือการควบคุม แต่ทุกความคิดของเขาก็คือการทำเพื่อประเทศชาติทั้งสิ้น คนเช่นเขาสมควรได้รับการยอมรับอย่างสูงในสังคมนี้
องค์ชายที่ชายชราอย่างเขาเป็นคนเลี้ยงดูมากับมือคงไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก
แต่เพราะวิธีการที่องค์ชายใช้นั้นล้วนค่อนข้างชั่วร้ายและไร้ยางอาย ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าเขาไม่ใช่คนดีมีเมตตา
แต่ลึกลงไปนั้นเขาก็มีจิตใจดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปยิ้มให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย แต่นางก็อธิบายความคิดของตัวเองให้เขาฟังตอนที่ออกจากวังหลวง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังสิ่งที่นางพูดขณะที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน ใครจะไปรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมเช่นนี้…
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง บอกข้ามาก่อนสิว่าคืนนี้เจ้าจะขอบคุณสามีของตัวเองอย่างไร หืม”
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาปัดผ่านด้านหลังใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย และก่อนที่นางจะทันได้มีปฏิกิริยา เขาก็อุ้มนางขึ้นแล้วพานางกลับไปที่ห้องบรรทม
การทรมานนั้นดำเนินไปตลอดทั้งคืน มันรุนแรงไร้ซึ่งความเมตตา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่านางไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ นางจำได้เพียงแค่ว่านางร้องขอความเมตตาจากเขาและเรียกชื่อเขาไปนับครั้งไม่ถ้วน
เขายอมปล่อยนางก็เมื่อเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เขาใช้มือข้างซ้ายลูบแผ่นหลังของนางระหว่างเอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า ”ถ้าข้าได้ยินว่าเจ้าสารภาพรักกับใครอีกละก็ ข้าจะจับเจ้าขังไว้ซะ เข้าใจไหม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำได้เพียงแค่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดของเขา นางรู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก มันเป็นเรื่องในอดีตมิใช่หรือ ดูเหมือนนางจะประเมินความหึงหวงของเขาเอาไว้ต่ำเกินไป
ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเช่นนั้นกับตัวเอง รอยยิ้มน้อยๆ ก็พลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
“ยิ้มแต่ไม่ตอบหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามพร้อมกับบีบคางนาง ใบหน้าราวกับเทพบุตรนั้นหล่อเหลาแต่ก็ชั่วร้าย และยิ่งเมื่อได้มองใกล้ๆ รอยยิ้มบนนั้นก็ยิ่งงดงามอย่างไม่อาจมีอะไรมาเทียบได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอื้อมมือออกไปกอดเอวผอมแต่แข็งแกร่งของเขา นางเงยหน้าขึ้นแล้วแกล้งพูดว่า ”คุณชายท่านนี้ รู้ไหมว่าท่านดูหล่อยิ่งนักเวลาหึงหวง”
“หึงหรือ ข้าหึงเป็นด้วยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะดังลั่น จากนั้นจึงรั้งตัวนางเข้ามา ”เป็นเพราะเจ้าทำผิดต่างหาก จึงต้องได้รับบทเรียน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับเอ่ยว่า ”ข้าสมควรได้รับบทเรียนจริงๆ จากนี้ไปข้าจะสารภาพรักกับท่านคนเดียวเท่านั้น ข้าจะไม่ไปสนใจใครอีก”
“ค่อยฟังเข้าท่าหน่อย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวย : องค์ชาย ครอบครัวท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านเย่อหยิ่งขนาดนี้
“ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองฟู่ผิง เจ้ากลับไปใช้หน้าเดิมของเจ้าเสีย” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูเคร่งเครียดขณะที่เขาเอ่ยต่ออย่างเย็นชาว่า ”เจ้าผิวแทนก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองขาวขึ้นถึงเพียงนี้ด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ข้าเกิดมาเป็นคนสวยตามธรรมชาติต่างหาก นี่เป็นความผิดของข้าหรือ
“เจ้าน่ามองเกินไป ผู้ชายคงได้มารุมตอมเจ้าเหมือนผึ้งหรือไม่ก็ผีเสื้อรุมน้ำหวานแน่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดนางด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างรองศีรษะตัวเอง พร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยนอนอยู่บนร่างเขา ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้าใส่ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งนั้น
แต่ในฐานะประธานจอมเผด็จการ นางไม่จำเป็นต้องสนใจรายละเอียดยิบย่อยเช่นนั้น…
“เฮ้ แม่นาง อย่าเพิ่งหลับนะ” หยวนหมิงเรียกนางผ่านทางกระแสจิตจากในมิติสวรรค์
เฮ่อเหลียนเวยเวยขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัว นางตอบว่า ”ทำไมหรือ”
“ข้าสังเกตอะไรได้ เวลาที่เจ้าอยู่ข้างองค์ชายสาม วิญญาณของเจ้าสงบลงมากทีเดียว” หยวนหมิงยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดต่อ ”ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะไม่ธรรมดาจริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงหาวออกมาแล้วตอบว่า ”นี่เป็นพลังของความรัก”
หยวนหมิง : …
เสี่ยวไป๋ : …
หยวนหมิงเป็นปีศาจ และในฐานะปีศาจ เขาย่อมรู้ถึงสาเหตุของเรื่องนี้เป็นอย่างดี
จากความเห็นของเขา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน แต่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้
เพราะถ้าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาจริง มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังคงประคองสติระหว่างความเป็นมนุษย์กับปีศาจได้โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังปีศาจของมันเช่นนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยน่าจะตกลงสู่เส้นทางแห่งการเป็นปีศาจทันทีตอนที่เขาอยู่นอกวังหลวงในวันนี้ แต่เขากลับยังสามารถควบคุมตัวเองได้ อีกทั้งยังสามารถปิดบังความโหดเหี้ยมได้อย่างไร้ร่องรอย
เขาคงไม่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหากเขาไม่ได้เห็นแสงจางๆ ในดวงตาของเขาเข้า
ไม่ผิดแน่ ดวงตาคู่นั้นมีสัญญาณบ่งบอกถึงการกลายร่างเป็นปีศาจปรากฏขึ้นมาก่อนจะหายไป…
บางทีการออกไปจากวังหลวงสักระยะหนึ่งอาจจะเป็นความคิดที่ดีก็ได้
อย่างไรเสียปราณแห่งความโกรธแค้นในที่แห่งนี้ก็รุนแรงเกินไป มันจะต้องมีผลกระทบต่อทั้งกับเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแน่นอน…