แสงแดดยามเช้าตกกระทบลงในตำหนัก เฉินตันจูนั่งคุกเข่าสัปหงกอยู่บนเบาะเกือบล้ม นางตกใจตื่นขึ้นมาทันที มือข้างหนึ่งพยุงนางเอาไว้
“คุณหนูตันจู” อาจี๋พูดเสียงเบา “ท่านไปนอนพักในตำหนักด้านข้างเสียบ้างเถิด”
เฉินตันจูมองใบหน้าของเขา สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับไม่รู้ว่าเหตุใดอาจี๋จึงอยู่ตรงนี้ นางมองไปทั่วตำหนักใหญ่ แสงไฟที่แสบตาดับลงแล้ว ความมืดมิดยามค่ำคืนก็สลายไป ท่ามกลางแสงสว่าง ไม่มีร่างที่กองกันเกลื่อนกลาด ไม่มีองค์ชายและฮ่องเต้ที่ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ฉากกั้นที่ถูกมั่วหลินฟันขาดก็ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ บนพื้นสะอาดสะอ้าน ไม่เห็นคราบเลือดแม้แต่น้อย…
เรื่องเมื่อคืนราวกับแค่ฝันไป
อาจี๋ยื่นมือโบกไปมาต่อหน้าเฉินตันจู “คุณหนูตันจู ท่านเป็นอันใดหรือไม่”
สายตาของเฉินตันจูกระจ่างชัดขึ้น นางแอบถอนหายใจ เรื่องเมื่อคืนย่อมไม่ใช่เพียงฝัน นางเห็นร่างที่เกลื่อนกลาดถูกยกออกไป ฮ่องเต้ถูกส่งเข้าห้องด้านใน องค์ชาย พระสนมและโจวเสวียนถูกนำตัวออกไป บรรดาขันทีเข้ามากวาดล้างพื้น เช็ดคราบเลือด ยกฉากกั้นที่กระจัดกระจายออกไป ก่อนจะยกฉากกั้นแบบเดิมมาวางใหม่
บรรดาขันทีและทหารต่างวุ่นวายจนเกือบเช้าจึงจากไป มีเพียงนางที่ยังคงนั่งอยู่ในตำหนักใหญ่ ไม่มีเรื่องให้ทำ ไม่รู้ว่าควรไปที่ใด นั่งจนสัปหงกท่ามกลางความเงียบ
นางไม่รู้ว่าตนเองผล็อยหลับไปได้ด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง” เฉินตันจูถามอาจี๋ “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด”
“บ่าวมานานแล้ว เพียงแค่เพิ่งได้มาพบท่าน” อาจี๋พูดเสียงเบา “มีดสั้นถูกนำออกจากตัวของฝ่าบาทแล้ว แต่พระองค์ยังทรงสลบอยู่ หมอหลวงจางกล่าวว่าไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
เช่นนั้นก็ดี หากเป็นเช่นนั้น โจวเสวียนคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เฉินตันจูถอนหายใจอีกครั้ง แต่ว่าสำหรับโจวเสวียนแล้ว การมีชีวิตอยู่คงจะยิ่งทุกข์ทรมาน
“คุณหนูตันจู” อาจี๋ถาม “ท่านจะกินหรือดื่มสิ่งใดเสียหน่อยหรือไม่”
เฉินตันจูต้องการพูดบางอย่าง แต่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา นางหันหน้าไปมอง เห็นบริเวณหน้าประตูตำหนักมีร่างสูงใหญ่หนึ่งปรากฏขึ้น
เพียงแค่เห็นเงา เฉินตันจูก็เบนสายตากลับมาทันที นางจ้องมองใบหน้าของอาจี๋อย่างตั้งใจราวกับบนใบหน้าของเขามีของกิน
“ข้ายังดี” นางตอบอย่างตั้งใจ “ไม่ต้องกินดื่มสิ่งใด แต่ไปพักผ่อนเหมือนที่เจ้าพูดก็พอ”
อาจี๋ก็หันไปเห็นคนที่เดินเข้ามา สีหน้าของเขาผงะไปเล็กน้อย ทำท่าจะถวายบังคมอย่างตะกุกตะกัก
ฉู่อวี๋หยงพูด “เจ้าถอยออกไปเถิด”
คนในวังไม่คุ้นเคยกับองค์ชายหก อาจี๋ก็เช่นเดียวกัน เขาเคยพบหน้าอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หลังจากประสบเรื่องเมื่อคืนแล้ว อาจี๋ยิ่งไม่คุ้นเคยกับองค์ชายหกผู้นี้มากกว่าเดิม
เมื่อคืนแต่ละตำหนักล้วนถูกทหารเฝ้าเอาไว้ ตัวของเขาก็อยู่ภายใน ทหารเดินเข้าออกทั้งด้านนอกด้านใน มีคนจำนวนมากถูกลากออกไป เสียงร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวเรื่องทางด้านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ก็ถูกแพร่กระจายออกไป
เขาถูกเรียกออกมาอย่างกะทันหัน เดิมทีเขาคิดว่าตนเองกำลังจะตายแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกนำตัวมาทางตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ เขาไม่ได้ถูกปิดบังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาเห็นฮ่องเต้ทรงได้รับการช่วยชีวิต เห็นร่างขององค์ชายห้าถูกยกออกไป เห็นองค์รัชทายาทที่ถูกปลดถูกดึงลงมาจากฉากกั้น…ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ราวกับขุมนรก
เขายังเช็ดคราบเลือดที่กระเซ็นอยู่ในขุมนรกนี้
ถึงแม้ไม่มีผู้ใดบอกเขาว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่เขาแค่มองก็สามารถเข้าใจได้
หลังจากจัดการเสร็จ ผู้คนต่างกระจายตัวไป แต่เขาก็ถูกรั้งให้อยู่ต่อ
“องค์ชายหกให้เจ้าดูแลคุณหนูตันจู”
ประโยคนี้สำหรับขันทีในวังหลวงแล้ว เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงผู้ใดคือเจ้านายในวังหลวงเวลานี้
องค์ชายหกหรือ…เหตุใดจึง…ไม่อาจดูคนจากภายนอกได้เสียจริง
อาจี๋ก้มหน้าถอยออกไป
เฉินตันจูไม่ได้เงยหน้า แต่เวลานี้แสงแดดยามเช้ายิ่งสว่างขึ้น แม้นางก้มหน้าก็สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของฉู่อวี๋หยงบนพื้นที่ใสสะอาดได้ อีกทั้งยังสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างเลือนราง
ฉู่อวี๋หยงนั่งลงข้างนาง เปิดสำรับอาหารออก
“คืนหนึ่งแล้ว จะไม่กินได้อย่างไร” เขาพูด “จะไปพักผ่อนก็ต้องกินก่อน มิฉะนั้นจะนอนไม่หลับ”
เฉินตันจูก้มหน้ามองมือที่วางอยู่บนเข่าของตนเอง
ฉู่อวี๋หยงก็ชะเง้อตัวมองมา “เป็นอันใด ข้อมือได้รับบาดเจ็บหรือ ตอนปลดออกเร่งรีบไปบ้าง ข้าไม่ได้ดูอย่างละเอียด”
เขาพูดพลางจะยื่นมือมาดึงมือของเฉินตันจูไปดู
เฉินตันจูรีบไขว้มือไว้ด้านหลัง “ไม่ต้อง มือของหม่อมฉัน ไม่เป็นอันใด”
ใบหน้าของนางก็เบนหนี
ฉู่อวี๋หยงพูด “ตันจู…เหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจข้า”
น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความหมดหนทางและตำหนิเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ นางหมายถึงเหมือนองค์ชายหกก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เหมือนแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น เฉินตันจูก็หันขวับกลับมาราวกับถูกไฟลน
“อย่าพูดเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น” นางพูดด้วยความรีบร้อน “หม่อมฉันเพียงแค่ ไม่รู้จะเรียกท่านอย่างไร”
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ คิ้วเรียวของหญิงสาวเลิกขึ้น สองแก้มป่องพองราวกับโมโห ฉู่อวี๋หยงพูดอย่างตั้งใจ “ย่อมต้องเป็นฉู่อวี๋หยง”
เฉินตันจูมองเขา หัวเราะออกมา “ไม่ละเมิดท่านแม่ทัพหรือ”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ ท่านแม่ทัพตายไปแล้ว”
คนผู้นี้คิดว่าทำท่าทางจริงจังจะพลิกเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้หรือ เฉินตันจูพูด “เมื่อคืนหม่อมฉันเห็นผีอย่างนั้นหรือ เหตุใดหม่อมฉันจึงเห็นท่านพ่อบุญธรรมของหม่อมฉันมา”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ยิ่งหัวเราะยิ่งแย่ หญิงสาวตรงหน้าลุกขึ้น พลันยกชายกระโปรงเดินไปด้านนอกอย่างตึงตัง
โอย แขนยาวของฉู่อวี๋หยงจับชายกระโปรงของนางเอาไว้ “ตันจู…”
เฉินตันจูสวมชุดกระโปรงในฤดูร้อน การกินอยู่ในห้องขังเรียบง่าย อีกทั้งเมื่อคืนถูกมัดเอาไว้ นางไม่กล้าออกแรงดิ้น หากชุดถูกฉีกขาดยิ่งน่าโมโห!
“ฉู่อวี๋หยง!” นางพูดเสียงเย็น “หากท่านยังเห็นหม่อมฉันเป็นคนก็ปล่อยมือ”
ฉู่อวี๋หยงเงยหน้ามองเฉินตันจู “ตันจู ข้าไม่ใช่ไม่ให้เกียรติเจ้า ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะโมโหจนไม่ดีต่อตัวเอง เจ้าต้องการพูดสิ่งใดก็พูดกับข้า”
“หม่อมฉันไม่มีเรื่องที่ต้องพูด” เฉินตันจูกัดริมฝีปากล่าง “หม่อมฉันได้ยินเรื่องที่ควรได้ยินเมื่ออยู่ด้านหลังฉากกั้นแล้ว เข้าใจอย่างกระจ่างแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงส่ายหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำ “คำพูดสองสามประโยคนั้นเพียงแค่ทำให้เจ้ารู้เรื่องนี้เท่านั้น แต่เจ้าไม่รู้จักข้าที่อยู่ในเรื่องนี้ อาทิฉู่อวี๋หยงที่ร่างกายอ่อนแอกลายเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้อย่างไร แม่ทัพหน้ากากเหล็กกลายเป็นฉู่อวี๋หยงได้อย่างไร ฉู่อวี๋หยงกับเสด็จพ่อกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องคนอื่น
มันคงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าดีใจมากนัก มิน่านางถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดว่าเมื่อฮ่องเต้กับฉู่อวี๋หยงพบหน้ากัน รวมไปถึงตอนหลัง หน้าจวนของฉู่อวี๋หยงมักมีองครักษ์เฝ้าอยู่มากมาย ไม่ใช่การปกป้อง หากแต่เป็นการป้องกัน…เฮ้อ
เอ๊ะ ไม่ใช่! เฉินตันจูจับกระโปรงตัวเองเอาไว้
“หม่อมฉันให้ท่านปล่อยมือ!” นางพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดมากมายเพียงนี้ แต่ท่านก็ไม่เห็นว่าหม่อมฉันเป็นคน!”
คราวนี้ฉู่อวี๋หยงยังคงไม่ปล่อยมือ “ข้าอยากอธิบายให้เจ้าฟังมากขึ้น เจ้าจะได้ไม่โกรธ”
โกรธหรือ เฉินตันจูแอบถอนหายใจ นางมีสิทธิ์ใดที่จะโกรธเขา นางไม่มีสิทธิ์โกรธแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์โกรธองค์ชายหกก็เช่นเดียวกัน…
“องค์ชาย” นางผ่อนไหล่ลง “หม่อมฉันแค่เหนื่อยแล้ว อยากกลับจวนไปพักผ่อน”
ฉู่อวี๋หยงใช้อีกมือหนึ่งหยิบสาลี่ชิ้นหนึ่งออกมาจากสำรับ ก่อนจะปล่อยมือแล้วลุกขึ้นยืน
ตัวของเขาสูง เดิมทีนั่งแหงนหน้ามองเฉินตันจูอยู่จึงกลายเป็นก้มหน้ามอง
“ข้าให้จู๋หลินและอาเถียนมารับเจ้าแล้ว” เขาพูด พลันวางสาลี่ลงบนมือของนาง “เจ้ากลับไปพักผ่อน ข้าจะจัดการเรื่องทางนี้ก่อน”
เฉินตันจูเหลือบมองเขา กำสาลี่ชิ้นนั้นเดินออกไปด้านนอกอย่างตึงตัง
ทั้งวังหลวงสว่างไสว องครักษ์ที่ประจำการเฝ้าอยู่ถูกแทนที่ด้วยทหาร นอกจากนี้ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากวันทั่วไป
เมื่อเห็นนางเดินผ่าน บรรดาทหารก็ไม่มองนางแม้แต่น้อย
เดิมทีเฉินตันจูเดินอย่างรีบร้อน ต่อมานางจึงชะลอฝีเท้าลง ในขณะที่กำลังจะออกจากทางตำหนักใหญ่ นางก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง บริเวณหน้าตำหนักยังคงมีร่างหนึ่งยืนอยู่ ราวกับกำลังส่งนางจากไป…
เฉินตันจูเบนสายตากลับมา ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปด้านนอกอีกครั้ง