เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวลา
สวีลิ่งอี๋อ่อนโยนกับบุตรสาวมาก กำชับสืออีเหนียง “ด้านนอกมีลมพัดมาจากทางเหนือ เจ้าไปหาเสื้อคลุมมาคลุมให้นางเถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจ
สืออีเหนียงยิ้มรับคำ จูงมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่ห้องด้านใน
“เสื้อคลุมตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง” มองเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังเหม่อลอย นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงบุหนังกระรอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “เข้ากันกับเสื้อแขนยาวผ้าไหมสีน้ำเงินของเจ้าตัวนี้พอดี”
รู้สึกถึงน้ำหนักของเสื้อคลุมที่คลุมอยู่บนร่างกาย เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงได้สติกลับมา นางจับมือสืออีเหนียง มุมปากขยับเล็กน้อยแต่กลับไม่มีเสียงพูดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว หางตากลับมีหยดน้ำใสๆ ไหลออกมา
สืออีเหนียงเข้าใจความหมายของนาง ตบที่หลังมือนางเบาๆ “เจ้าเป็นบุตรสาวควรได้รับการดูแลจากแม่ เพราะแม้ว่าพ่อของเจ้าจะรักและเอ็นดูเจ้า แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า หลั่งน้ำตาพลางยิ้มอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้นาง พูดหยอกล้อว่า “เจ้าเลิกร้องได้แล้ว หากพ่อของเจ้ามาเห็นเข้า จะคิดว่าข้ารังแกเจ้า เช่นนั้นข้าก็ต้องมารับผลในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ!”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์กอดแขนสืออีเหนียง “ท่านพ่อให้ความเคารพท่านแม่ มันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือนาง “เช่นนั้นเจ้าก็รีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง” แล้วพูดต่ออีกว่า “วันนี้พี่สองของเจ้ากลับมา พ่อของเจ้าอยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขา เจ้ากลับไปล้างหน้าแต่งตัวใหม่แล้วค่อยไปทานอาหารเย็นที่เรือนท่านย่า แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยและดูดี ถือเป็นการให้ความเคารพต่อผู้อื่น”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า สวมเสื้อคลุมที่สืออีเหนียงให้ไปคำนับสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็มีเสี่ยวหลีเป็นคนปรนนิบัติพานางกลับเรือน
สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียงว่า “เรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ สกุลเซ่าได้มาเร่งเร้าเรื่องงานแต่งอีกหรือไม่ การที่พวกเราไม่ให้คำตอบเช่นนี้ สกุลเซ่าจะคิดว่าพวกเราเล่นตัวหรือไม่ ต่อไปพวกเขาอาจจะดูแลเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ดีเท่าที่ควร!” ท่าทางกังวลเป็นอย่างมาก
“ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนตอบรับการหมั้นหมายแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “การที่สกุลเซ่าทำเช่นนี้ก็เป็นการเคารพสกุลสวีและให้เกียรติเจินเจี่ยเอ๋อร์ ทำให้คนอื่นคิดว่าการจะได้ลูกสะใภ้คนนี้มานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านโหวไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงจะทำเหมือนสกุลหวังที่เชิญคนกลางมาช่วยอธิบายให้พวกเราฟัง”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่านี่เป็นเหมือนการทำเรื่องง่ายให้ซับซ้อนขึ้นโดยสิ้นเชิง พูดขึ้นมาว่า “ผู้หญิงอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ทำเอาซับซ้อนไปหมด ในเมื่อเจ้ารู้เหตุผลนี้ เรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องใส่ใจให้มาก! อย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ทุกคนไม่พอใจ อย่างไรเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องแต่งไปเรือนอื่น คนในจวนเดียวกันก็ต้องเจอกันทุกวัน ต่อให้พวกเราจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถออกหน้าให้นางได้ทุกเรื่อง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกทอดถอนใจ
สืออีเหนียงเข้าใจ
ก็เหมือนกับที่พ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพยายามทำดีกับบุตรเขยก็แค่ต้องการให้บุตรเขยปฏิบัติดีต่อบุตรสาวของตัวเองให้ดี
อย่างไรก็ตามนางยังคงรู้สึกว่าวันนี้สวีลิ่งอี๋ดูเหมือนจะอารมณ์อ่อนไหวเล็กน้อย
สืออีเหนียงยกชาร้อนมาให้สวีลิ่งอี๋แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา โน้มตัวไปหาเขาเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ท่านโหว หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาที่เป็นห่วงของสืออีเหนียง
“ไม่มีอะไร!” เขาตอบตามปกติ แต่พอพูดออกมากลับรู้สึกว่าพูดเหมือนขอไปที ชะงักไปครู่หนึ่ง “แค่นึกถึงจุนเกอขึ้นมา!”
จุนเกอ?” สืออีเหนียงถามอย่างสงสัยว่า “จุนเกอทำไมหรือ ข้าเห็นว่าหลายวันมานี้เขาก็สบายดี ตั้งใจทำการบ้านที่อาจารย์จ้าวให้ โดยไม่มีความสะเพร่า ยังรู้จักพาเจี้ยเกอไปเล่น แล้วก็ช่วยดูแลจิ่นเกอ…หรือว่ายังมีเรื่องอันใดที่ข้าไม่รู้”
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้า “ผ่านตรุษจีนไปเขาก็จะอายุสิบปีแล้ว ตามกฎในจวนควรจะแยกเรือนแล้ว แต่เขายังเอาแต่เล่นกับน้องชายทุกวัน เป่าขลุ่ย ทำโคมไฟ แล้วเมื่อใดจะโตสักที” น้ำเสียงราวกับว่ากำลังขอคำปรึกษา “ข้าหมายความว่าปีหน้าพอเปิดเรียนอยากจะพูดคุยกับอาจารย์จ้าวว่าจะสามารถเพิ่มบทเรียนเรื่องมารยาทและเรื่องหน้าที่ข้าราชการขุนนางได้หรือไม่ จุนเกอจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนเด็กที่ยังไม่โตสักที วันๆ รู้จักแต่เล่น”
การบ้านของอาจารย์จ้าวเริ่มจากการเล่น!
อย่างไรเสียเขาก็เป็นอาจารย์ของจุนเกอ จะต้องเข้าใจสถานการณ์เกี่ยวกับการเรียนของจุนเกอเป็นที่สุดอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังมีความสามารถในการสอนตามความถนัด คงจะมีการเตรียมการและการวางแผนต่ออนาคตของจุนเกออยู่แล้ว แต่การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับสวีลิ่งอี๋ที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง หากจะปฏิเสธโดยตรงเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
“ที่ท่านโหวพูดก็มีเหตุผล” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้จะต้องปรึกษากับอาจารย์จ้าวจึงจะถูก” พอพูดจบน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “เพียงแต่ว่าอาจารย์จ้าวเป็นผู้มีวิชาความรู้ เวลาท่านโหวพูดอะไรก็ควรจะคิดให้รอบคอบ ทุกคนต่างก็ทำเพื่อจุนเกอ จะได้ไม่ต้องเกิดช่องว่างระหว่างกันเพราะเหตุนี้”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะรอดูสถานการณ์ก่อน”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าเขาเห็นด้วยกับนาง และตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว จึงเรียกสาวใช้น้อยเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อแขนยาวสีแดงองุ่นแล้วเดินออกจากห้องด้านใน “ด้านนอกลมแรง ให้จิ่นเกออยู่ในห้องเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางร่างกายผอมบาง แต่ผิวกลับเนียนละเอียด พอสวมเสื้อแขนยาวสีแดงองุ่นแล้วปักปิ่นปักผมสีทองสองอันบนผมสีดำขลับของนาง ไม่เพียงไม่ดูเปราะบาง ซ้ำยังให้ความรู้สึกสง่างาม
“อืม!” เขายิ้มพลางลุกขึ้น “หากเป็นหวัดขึ้นมาจะแย่เอาได้” พูดพลางเดินมาอยู่ข้างหน้าแล้วโอบเอวนางเบาๆ “แต่งตัวเสร็จแล้วใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงมองสาวใช้ทั้งห้องที่พากันก้มหน้า ใบหน้าแดงระเรื่อ “แต่งตัวเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!”
แต่ไม่ได้ผลักไสเขาเหมือนเมื่อก่อน
******
เมื่อเห็นว่าในห้องเต็มไปด้วยเด็กๆ หางตาของไท่ฮูหยินก็เก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูด แสดงว่าปลายเดือนสองก็มาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่อบอกว่าจะออกเดินทางหลังจากเทศกาลโคมไฟขอรับ” สวีซื่อฉินพึ่งได้รับจดหมายจากบิดา กำลังรายงานให้ไท่ฮูหยินฟัง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าลองนับวันดูแล้ว เดือนสองก็น่าจะมาถึง”
สวีซื่อเจี่ยนพูดเสริมขึ้นมาหนึ่งประโยค “ในจดหมายท่านพ่อยังบอกอีกว่าได้นำผลผลิตท้องถิ่นมาฝากทุกคนด้วย”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม “ส่านซีมีผลผลิตอะไรกัน ก็มีเพียงแค่พุทราเท่านั้นแหละ!”
สวีซื่อฉินหัวเราะ สวีซื่อเจี่ยนกลับวิ่งไปหาไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ไม่เพียงแค่มีพุทราเท่านั้น ทั้งยังมีสมุนไพรจำพวกขิง อู่เว่ยจื่อ[1] เหลี่ยงเคี้ยว[2] สายน้ำผึ้ง[3] เง็กเต็ก และโต๋วต๋ง[4]”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ จับมือสวีซื่อเจี่ยน “นับว่าข้าได้ความรู้ใหม่” แต่ในใจกลับคิดว่าแม้ว่าจะมีสมุนไพรเหล่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นผลผลิตท้องถิ่นที่ลูกสะใภ้สามนำมาเกรงว่าคงจะมีแค่พุทราจีน เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว รอยยิ้มก็กว้างมากขึ้นกว่าเดิม นางพยักหน้าเล็กน้อย กำชับป้าตู้ว่า “จำไว้ว่าเมื่อถึงเวลาให้ส่งคนไปทำความสะอาดเรือนที่เจ้าสามพักด้วย”
ป้าตู้ยิ้มพลางขานรับ
สายตาของไท่ฮูหยินหันไปมองสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงที่พึ่งก้าวเข้ามา “พวกเจ้ามาแล้วทำไมไม่พาจิ่นเกอมาด้วยเล่า”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้างนอกลมแรง กลัวว่าเขาจะเป็นหวัด ดังนั้นจึงให้เขาอยู่ที่เรือนขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หันไปพูดหยอกล้อกับฮูหยินสองที่นั่งอยู่ข้างนางว่า “พี่น้องจากทางไกลต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว กลับขาดคนในเรือนไปเสียได้!” รอยยิ้มจางหายไปเล็กน้อย
ฮูหยินสองเม้มปากพลางเงยหน้ามองสืออีเหนียงแล้วส่งสายตา
ได้อุ้มเด็กมาด้วยหรือไม่
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังลังเล ก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “…เรื่องนี้เจ้าจะต้องตัดสินใจเอง หากอยู่ในกองทัพทหารอวี้หลินแน่นอนว่าย่อมมีเวลาว่างมาก แต่เมื่อไปอยู่กองปัญจทิศรักษานครย่อมมีเรื่องเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่ได้มีสถานะสูงส่งเหมือนตอนอยู่ในกองทัพทหารอวี้หลิน!”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หันไปมองน้องชายของสวีลิ่งอี๋
“เกิดอะไรขึ้น” สีหน้าของไท่ฮูหยินดูเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรขอรับ!” สายตาของสวีลิ่งควนฉายแววประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบรรยากาศเช่นนี้ “ไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครบอกผู้บัญชาการของพวกเราว่าอยากจะได้คนจากฝั่งเราไปสองสามคน บังเอิญข้าอยู่ที่นั่นพอดี ผู้บัญชาการจึงถามข้าว่าอยากไปหรือไม่” พูดพลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “หากไปก็จะได้เป็นผู้บัญชาการทหาร ข้าจึงกลับมาปรึกษากับพี่สี่ แต่พี่สี่ให้ข้าตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ไท่ฮูหยินได้ฟังก็ไม่ได้พูดอะไร นางครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของสวีลิ่งควน ทุกคนในห้องต่างหันไปมองไท่ฮูหยินอย่างเงียบๆ
ฮูหยินสองเหลือบมองไท่ฮูหยินแล้วกระซิบว่า “ท่านแม่ ข้าว่าเรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด! สถานการณ์ตอนนี้ผันผวนมาก ยิ่งมีเรื่องน้อยก็ยิ่งดี อีกอย่างผู้คนที่มีความสัมพันธ์กับกองปัญจทิศรักษานครนั้นค่อนข้างซับซ้อน หากไม่ทันระวังอาจถูกดึงเข้าไปเกี่ยข้อง หากเพียงแค่อยากจะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารขุนนางระดับสาม ข้าว่ารอให้ผ่านไปหลายวันก่อนแล้วค่อยไปหาตำแหน่งผู้บัญชาการที่จิงเว่ยก็ได้เช่นกัน เป็นอย่างที่ท่านโหวบอก สถานะก็จะได้สูงขึ้นมาหน่อย แล้วเหตุใดต้องไปมาหาสู่กับบรรดาคนขายผักขายปลาเหล่านั้นทุกวันด้วยเล่า”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย ถามฮูหยินห้าที่นั่งถัดจากตัวเอง “เจ้าคิดอย่างไร”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าข้าฟังท่านแม่และพี่สะใภ้สองเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดกับสวีลิ่งควนว่า “ในเรือนก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องไปสถานที่เช่นนั้น ข้าได้ยินคนพูดมาว่าคนของกองปัญจทิศรักษานครมักจะใช้อำนาจข่มขู่ประชาชนที่ทำมาค้าขาย ท่านพี่ ท่านเป็นคนสกุลสูงศักดิ์ จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ถ้าหากไม่ทำก็จะทำให้เกิดการแบ่งแยกกับสหายร่วมงาน ข้าว่าอยู่เฝ้าค่ายจะดีกว่า”
สวีลิ่งควนรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย “แต่ว่าหากไปอยู่กองปัญจทิศรักษานครจะได้เลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้น…”
“ก็เป็นเพียงแค่ผู้บัญชาการทหารขุนนางระดับสามเท่านั้น” ฮูหยินห้ายิ้มพลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “ครอบครัวเราก็ไม่ได้ขาดสิ่งนี้เสียหน่อย!”
ทันใดนั้นสวีลิ่งควนก็นึกขึ้นได้ มองสวีลิ่งอี๋ด้วยความรู้สึกผิด “เป็นเพราะข้าสะเพร่าเอง พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปให้คำตอบผู้บัญชาการ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าอย่างพอใจ มองฮูหยินห้าด้วยสีหน้าชื่นชม กำชับสวีลิ่งควนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีภรรยาดีนับเป็นวาสนา เจ้าเป็นคนมีวาสนา จะต้องรู้จักรักษาไว้”
สวีลิ่งควนรับคำ “ขอรับ” ด้วยความรู้สึกผิด เงยหน้ามองตานหยางแล้วยิ้มเจื่อนๆ
ไท่ฮูหยินมีความสุขมาก ขยับตัวจะลงจากเตียงนั่ง “เอาล่ะ เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว อากาศก็เย็น ทานข้าวเสร็จแล้วพวกเจ้าก็แยกย้ายกันเถิด”
ฮูหยินสองรีบลุกขึ้นไปพยุงไท่ฮูหยิน อวี้ป่านและคนอื่นๆ นั่งลงปรนนิบัติไท่ฮูหยินสวมรองเท้า บุตรชาย ลูกสะใภ้ หลานชาย หลานสาว และบ่าวรับใช้เดินห้อมล้อมไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก
ไม่มีใครถามถึงเรื่องจิ่นเกออีกเลย
สวีซื่ออวี้ท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย
สืออีเหนียงที่เดินอยู่ข้างหลังสุดเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตากลมโตสุกใส สายตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ ทำเอาหัวใจของสวีลิ่งอี๋เต้นแรงอยู่นานกว่าจะสงบลง
————————————————————————————–
[1]อู่เว่ยจื่อ หรือซิแซนดร้าเบอร์รี่ จัดเป็นหนึ่งในสมุนไพรพื้นฐาน 50 ชนิดตามทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ที่ใช้เข้าตำรับยาบำรุง และฟื้นคืนสภาพ เป็นยาปรับสภาพร่างกายโดยรวม และมีคุณสมบัติโดดเด่นคือ เป็นยาปกป้องตับและปรับระบบภูมิคุ้มกันที่ดี
[2]เหลี่ยงเคี้ยว เป็นพืชมีดอกที่เป็นพืชพื้นเมืองในเอเชีย และเป็นสมุนไพรที่ใช้ในตำรายาจีน มีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือใช้เป็นยาขับร้อน แก้บวม ขับปัสสาวะ
[3]สายน้ำผึ้ง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้อาการร้อนใน เป็นต้น
[4]โต๋วต๋ง สมุนไพรแก้ปวดหลัง ลดความดันโลหิต