แสงอาทิตย์ปกคลุมวังหลวง ทั้งเคร่งขรึมและสง่างาม เมื่อมองไปไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากแต่ก่อน
แต่จู๋หลินสามารถมองเห็นความแตกต่างมากมาย ผู้ที่เฝ้าวังหลวงไม่ใช่ทหารอารักขา หากแต่เป็นกองทัพเหนือ ถึงแม้จะมีชุดเกราะ ทหารและม้าเหมือนกัน แต่รัศมีแตกต่างกัน กำแพงและท้องถนนที่มีกลิ่นคาวเลือดถูกทำความสะอาด ท่ามกลางเมฆหมอกในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ผลิตอนปลาย
เมื่อคืนเขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมานานแล้ว เขากับบรรดาสหายต่างหมอบอยู่บนหลังคาและกำแพงฟังเสียงเกือกม้าดังก้องไปทั่วเมืองหลวง เห็นแสงไฟลุกโชนในวังหลวง
การที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาได้ย่อมต้องเป็นเรื่องในครอบครัวของฮ่องเต้
นับแต่ฮ่องเต้ทรงฟื้น องค์รัชทายาทถูกปลด ตามมาด้วยการเกิดเรื่องของฮองเฮา เขาก็รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มีองครักษ์เสนอให้ไปตรวจดูทางวังหลวง แต่จู๋หลินห้ามเอาไว้ เวลานี้พวกเขาเป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจู หากทำสิ่งใดไม่เหมาะสมย่อมจะเดือดร้อนคนทั้งจวน
สงครามไม่ได้ดุเดือดน่ากลัวนัก หากแต่มีเสียงประหลาดส่งมา อาทิ แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เหตุใดจึงมีเสียงตะโกนเรียกแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว มาระลึกถึงเขาในเวลานี้หรือ
จู๋หลินอดสลดใจไม่ได้ หากแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังอยู่คงไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้
เมื่อแสงอาทิตย์สว่างขึ้น ความโกลาหลด้านนอกสงบลง ทันใดนั้นมีเสียงเกือกม้าหยุดลงที่หน้าประตูของพวกเขา จู๋หลินและคนอื่นต่างเตรียมพร้อมที่จะปะทะจนตายกับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้บุกรุกเข้ามา หากแต่เคาะประตูอย่างมีมารยาท เสียงของขุนนางผู้หนึ่งดังขึ้นเพื่อส่งข่าวให้พวกเขาไปรับคุณหนูตันจู
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ อาเถียนที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็โล่งใจ อีกทั้งยังพูดกระซิบกับจู๋หลินด้วยความลังเล “ท่านอ๋องฉีได้รับชัยชนะแล้วอย่างแน่นอน มีท่านอ๋องฉีอยู่ คุณหนูย่อมไม่เป็นอันใด”
ถึงแม้จู๋หลินจะยังคงสงสัย แต่เขายังคงเตรียมรถม้าในทันที อีกทั้งยังนำอาเถียนมาถึงหน้าประตูวังหลวง ทั้งสองคนชะเง้อหน้ารอคอยแล้วรอคอยเล่า ก่อนจะเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งออกมาราวกับผีเสื้อท่ามกลางกองกำลังที่เคร่งขรึมและกำแพงวังที่สูงตระหง่าน
อาเถียนจับแขนของเขาพลันปล่อยเสียงร้องไห้
ร้องจนจู๋หลินไม่อยากขัดนาง จนกระทั่งเฉินตันจูเดินเข้าใกล้พูดขัดอาเถียนขึ้นมาเอง
“คุณหนูของเจ้าอยู่อย่างยากลำบากในคุก เหลือเพียงลมหายใจเดียว แม้แต่เดินก็ยังเซ เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าไปพยุงข้า” นางตำหนิ “จู๋หลินแข็งแกร่งเพียงนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องพยุงเลย”
คุณหนูตันจู เฮ้อ ยังคงเป็นเหมือนเคย จู๋หลินไม่ได้พูดน้อยเหมือนแต่ก่อน เขาก้มหน้าพร้อมดวงตาที่เศร้าโศก “อาเถียนนางกลัวว่าตนเองกระโจนเข้าไป คุณหนูจะสลายไปอีก”
ระยะนี้อาเถียนยากที่จะเข้านอน เมื่อผล็อยหลับไปก็จะตื่นพลันวิ่งออกมาด้วยความตกใจ นางมักจะบอกว่าคุณหนูกลับมาแล้ว แต่เมื่อยื่นมือออกไปกอดนางก็หายไปอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องเฝ้าอาเถียนนอนหลับ ปลุกให้นางตื่นขึ้นเมื่อนางฝัน เขาเป็นกังวลว่าหากอาเถียนเป็นเช่นนี้ต่อไปจะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน
เฉินตันจูได้ยินจึงยื่นมือดึงอาเถียนเข้ามากอดพลันลูบหลังนางแผ่วเบา “เอาเถิด เอาเถิด ข้ากลับมาแล้ว คราวนี้ไม่หายไปอีกแล้ว”
อาเถียนฟุบหน้าร้องไห้อยู่บนหัวไหล่ของนาง “คุณหนูท่านต้องพูดคำไหนคำนั้น ข้าฝันร้าย ฝันถึงเรื่องน่ากลัวมากมาย ข้าฝันว่าคนในจวนตายหมด ข้าฝันว่า ฝันว่ามีเพียงพวกเราสองคนที่พักอยู่ในอารามดอกท้อ ต่อมา ต่อมาท่านบอกว่าจะออกไปด้านนอก แต่ท่านก็ไม่กลับมาอีก…”
น้ำตาของเฉินตันจูก็หลั่งไหลออกมาทันที นางกอดอาเถียนไว้แน่น “มันเป็นแค่ฝัน ไม่ต้องกลัว เวลานี้พวกเราต่างยังมีชีวิตอยู่ ข้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”
จู๋หลินมองไปรอบด้าน ถึงแม้ไม่มีทหารขับไล่พวกเขา แต่ยังคงมีคนจำนวนมากมองมา เขาอดกลั้นความเศร้าพูดเตือนหญิงสาวที่กอดคอกันร้องไห้ “กลับไปค่อยร้องเถิด หากร้องจนเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาคงต้องถูกจับเข้าไปอีก”
เฉินตันจูและอาเถียนหัวเราะออกมา อาเถียนตีเขาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาเป็นมงคลหน่อยไม่ได้หรือ”
แต่หลังจากการหัวเราะและการตีนี้ อารมณ์ของนางก็สงบลงชั่วคราว บริเวณนี้ไม่เหมาะสมสำหรับพูดคุย อีกทั้งคุณหนูเหนื่อยล้าทั้งกายใจ อาเถียนรีบพยุงเฉินตันจูขึ้นรถ “พวกเรารีบกลับจวน มีเรื่องใดกลับไปพูดที่จวน”
รถม้าออกจากวังหลวงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับไปถึงจวนก็ไม่มีการสนทนา เฉินตันจูอาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนไป
การนอนของนางในคราวนี้ไม่มีฝันที่วุ่นวาย เมื่อเฉินตันจูตื่นขึ้น นางยังอดคิดไม่ได้ ไม่มีฝันแม้แต่น้อยเลยเสียจริง นางรู้สึกว่าตนเองเหลวไหลเหลือเกินที่หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงที่เลือดสาดและซับซ้อนแล้ว นางยังสามารถหลับได้อย่างสบาย
ภายในห้องสว่างไปด้วยแสงไฟ อาเถียนกำลังนั่งต้มบางอย่างในหม้อขนาดเล็ก กลิ่นหอมกรุ่นโชยอยู่ภายในห้อง
เอาเถิด อย่างไรก็ตามนางก็เป็นคนที่มีประสบการณ์มาสองชีวิต
“มีของกินอันใดบ้าง” เฉินตันจูลุกขึ้นมาถาม พลันสูดดม “ต้มบัวลอยหรือ ไส้เนื้อ!”
เมื่ออาเถียนเห็นนางตื่นขึ้นมา จึงพยักหน้าด้วยความดีใจ “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูชอบสิ่งนี้ที่สุด ข้าจึงตั้งใจต้ม” จากนั้นนางจึงตั้งโต๊ะ พลันตักมาหนึ่งชาม
เฉินตันจูนั่งกินอยู่บนเตียงพร้อมผมที่แผ่สยาย อาเถียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องมองนางกิน
เดิมทีคิดว่ามีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด แต่เวลานี้นางกลับรู้สึกว่าเมื่อเรื่องผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้พวกมันผ่านไปเถิด ไม่ต้องพูดอีก
แต่ว่ามีเรื่องหนึ่ง อาเถียนนั่งตัวตรง พลันเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู วิญญาณของแม่ทัพหน้ากากเหล็กปรากฏตัวจริงหรือ”
เฉินตันจูที่กำลังจะกลืนบัวลอยลูกหนึ่งลงไปเกือบจะสำลัก อาเถียนรีบตบหลังให้นาง พลันตำหนิตัวเอง
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เฉินตันจูถาม
เมื่อถามนางถึงได้รู้ นางกลับถึงจวนก็นอนตั้งแต่กลางวัน แต่เมื่อตอนเช้าภายในเมืองหลวงยังคงเหมือนเคย แต่ละเรือนเปิดประตูเดินออกมา ไม่ได้ถูกจำกัดแม้แต่น้อย ยกเว้นสำนักหยาเหมินของราชการแล้ว บริเวณอื่นไม่มีกองกำลังเดินขวักไขว่ โรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาบนถนนต่างเปิดกิจการตามปกติ ราวกับเมื่อคืนเพียงแค่ฝันไป
แต่มันย่อมไม่ใช่ความฝัน การเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเพียงนั้น แต่ละเรือนย่อมได้ยิน พวกเขาแอบหลบอยู่ด้านหลังประตูเพื่อเฝ้ามอง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าภายในวังหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น แต่มีเรื่องหนึ่งที่คนจำนวนมากต่างได้ยิน
เสียงของบรรดาทหารที่ตะโกนเรียกแม่ทัพหน้ากากเหล็กดังก้องอยู่ในยามค่ำคืน
วิญญาณของแม่ทัพหน้ากากเหล็กปรากฏตัวขึ้น
เขานำวิญญาณทหารนับหมื่นนับแสนกลับมา…เยี่ยมเยือนฮ่องเต้
ไม่เพียงได้ยิน ยังมีคนเห็นกับตา ผู้คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงต่างมองออกไปตามร่องประตู พวกเขาเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กภายใต้คบเพลิงในยามราตรี เขาขี่สัตว์กึ่งงูกึ่งเสือ ปากและจมูกล้วนพ่นไฟ มุ่งหน้าไปยังวังหลวง
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงคำพูดเหลวไหลของคนผู้เดียว คนที่พักอยู่บริเวณใกล้เคียงวังหลวงก็เป็นพยานว่าตนเองก็เห็น วังหลวงที่สูงตระหง่าน แม่ทัพหน้ากากเหล็กก้าวข้ามไปได้เพียงก้าวเดียว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไปเยือนฮ่องเต้ในวังหลวง แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณหนู เวลานั้นคุณหนูก็อยู่ในวังหลวง ดังนั้น…
“คุณหนู” อาเถียนถามด้วยแววตาคาดหวัง “แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ไปเยี่ยมท่านด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูสำลักอีกครั้งจนกระแอมไอสองที
“พูดเรื่องเหลวไหลอันใดกัน” นางโบกมือ พลันถลึงตา “อีกอย่าง ข้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่างไรกัน!”
ก็ลึกซึ้งมาก อาเถียนสงสัย เหตุใดคุณหนูจึงโกรธเพียงนี้ เมื่อพูดถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก วิญญาณของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ไปเยี่ยมคุณหนูหรือ เป็นไปได้ มิฉะนั้น หากคุณหนูร้องไห้ต่อหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ท่านแม่ทัพย่อมต้องให้วิญญาณทหารเหล่านั้นส่งคุณหนูกลับจวนตั้งแต่คืนนั้นแล้ว...
เฉินตันจูมองออกว่าอาเถียนกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว นางทั้งโกรธทั้งขบขัน แต่ก็ไม่อาจพูดสิ่งใดได้ เมื่อคืนนางได้พบแม่ทัพหน้ากากเหล็กจริง
ช่าง…คนผู้นี้ เวลานี้คนทั้งเมืองต่างรู้ว่าวิญญาณของแม่ทัพหน้ากากเหล็กปรากฏตัวแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์ชายหกเข้าวังหลวงแล้ว
“จู๋หลินเล่า” เฉินตันจูถาม
อาเถียนมองซ้ายมองขวา พลันตะโกนเรียกจู๋หลิน บริเวณหน้าต่างมีองครักษ์ผู้หนึ่งห้อยหัวลงมาบอกว่าจู๋หลินออกไปข้างนอก
อาเถียนตกใจ ดึกดื่นป่านนี้ จู๋หลินไปที่ใด ด้านนอกดูเหมือนจะสงบ แต่ความจริงแล้วไม่สงบเท่าใดนัก
จู๋หลินย่อมต้องไปหาวิญญาณแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ปรากฏตัวแล้วอย่างแน่นอน เฉินตันจูอดหัวเราะออกมาด้วยอารมณ์ทับถมไม่ได้…คนโง่ที่ถูกปิดไว้ในกล่องไม่ได้มีแต่นางผู้เดียว
…
เดิมทีจู๋หลินไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลเหล่านี้ แน่นอน เขาเชื่อว่ามันเป็นความระลึกถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็กของราษฎรและเหล่าทหาร
แต่เมื่อกลางวันผ่านพ้นไปอย่างสงบ เขาก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะออกไปด้านนอก ฟังเสียงถกเถียงเรื่องการปรากฏตัวของวิญญาณแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งยังเดินไปรอบวังหลวง เมื่อเข้าใกล้วังหลวง เขาก็ได้พบกับเฟิงหลิน
เฟิงหลินกับกองกำลังขบวนหนึ่งขี่ม้าออกมาจากในวังหลวง เมื่อจู๋หลินเห็นเขาจึงผงะไป
เฟิงหลินก็เห็นเขาเช่นเดียวกัน เฟิงหลินรีบหยุดม้า “จู๋หลิน เจ้ามาได้อย่างไร คุณหนูตันจูมีเรื่องใดหรือ” ไม่รอจู๋หลินพูด เขาก็ชิงตอบเองเสียก่อน “องค์ชายหกกำลังจะเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ไปพบคุณหนูตันจูได้แล้ว”
จู๋หลินอ้าปาก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังวิ่งวุ่นอยู่ภายในหัว แต่เขายังไม่ทันพูด ก็มีอีกคนขี่ม้าออกมาจากในวังหลวง…
เป็นคนที่คุ้นเคยเช่นเดียวกัน
หวังเจียนขี่ม้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เมื่อเห็นเฟิงหลินที่หยุดลงจึงตะโกนขึ้น “เจ้ายังไม่ไปหรือ ช่างดีเสียจริง ไปพบสมุหราชเลขาธิการกับข้าก่อน ตาเฒ่านั้นจะได้ไม่มาอาละวาดกับข้า…เอ๊ะ?” เขาพูดพลันเข้าใกล้ ทันใดนั้นเขาก็เห็นจู๋หลินเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขายิ่งบึ้งตึง “คุณหนูตันจูเป็นอันใดอีก เวลานี้องค์ชายกำลังทรงงานอยู่!”
สถานการณ์นี้ บทสนทนานี้ บรรยากาศนี้ เหตุใดจึงคุ้นเคยยิ่งนัก แต่มันไม่ถูกต้อง จู๋หลินมองเฟิงหลิน พลันมองหวังเจียน ในที่สุดเขาก็ถามออกมา “พวกท่านมาได้อย่างไร เมื่อคืนเป็นองค์ชายหกหรือ”
คราวนี้กลายเป็นเฟิงหลินและหวังเจียนที่อ้าปากด้วยความตกตะลึง ทั้งสองคนสบตากันพลันยิ้ม
“อ่อ เขายังไม่รู้”
“ลืมไปเลย คิดว่าเขารู้แล้วเสียอีก”
รู้เรื่องใด เหตุใดจึงคิดว่าเขาสมควรรู้ หูทั้งสองข้างของจู๋หลินดังอื้อ
“คุณหนูตันจูไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เฟิงหลินถามขึ้นอีกครั้ง
หวังเจียนเร่งเร้า “นางจะเป็นอันใดได้ รีบไปเถิด”
เฟิงหลินมองจู๋หลินด้วยรอยยิ้ม “จู๋หลิน เจ้าอยากถามเรื่องใด กลับไปถามคุณหนูตันจูก็พอ นางรู้ทุกเรื่อง พวกข้าไปทำงานก่อน รอผ่านพ้นสองวันนี้ไป พวกเราค่อยมานั่งคุยกัน” จากนั้นหันไปมองหวังเจียน “หากทางคุณหนูตันจูไม่มีเรื่องใด ก็สามารถให้จู๋หลินกลับมาทำงานได้แล้ว”
หวังเจียนไม่ตอบโต้ เขาสะบัดแส้ม้าออกตัวไปก่อน เฟิงหลินไล่ตาม จู๋หลินยืนมองส่งพวกเขาอยู่ที่เดิม ก่อนจะหันกลับไปมองวังหลวงอีกครั้ง จากนั้นกลับจวนไป
เมื่อจู๋หลินกลับมาถึง เฉินตันจูก็กินมื้อดึกเสร็จสิ้นแล้ว นางเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง ซักถามอาเถียนว่าในจวนมีจำนวนคนเท่าใด ก่อนจะให้คนเปิดหีบทรัพย์สินออกมาดู ก่อนจะถามอีกว่าราคาแปลงนาในเมืองหลวงเวลานี้เป็นอย่างไร
“คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะ” อาเถียนตอบพลันสังเกตถึงความผิดปกติ จึงถามด้วยความสงสัย
เฉินตันจูยืนอยู่ในห้อง พลันมองไปรอบด้าน จวนแห่งนี้ไม่ได้ถูกเผาทำลายในชาตินี้ แต่นางจำเป็นต้องสละมันทิ้ง
“ข้าจะไปซีจิง” นางพูดพลันแก้ไข “ไม่ พวกเราจะกลับซีจิง”
สถานที่ที่ครอบครัวอยู่คือกลับ ไม่ใช่ไป
“ต่อจากนี้ไม่มาเมืองหลวงอีก ขายจวนแห่งนี้ทิ้งเสีย”
นางพูดด้วยสีหน้าดีใจ
“ราคาย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ พวกเราสามารถถือเงินกลับไปซื้อจวนและที่ดินที่ดีกว่าในซีจิง”
อาเถียนดีใจตาม “ดีเจ้าค่ะ ดีเจ้าค่ะ ราคาที่ดินในเมืองหลวงเวลานี้ เมื่อขายจวนของพวกเราทิ้ง ย่อมสามารถซื้อจวนที่ดีที่สุดในซีจิงได้” ถึงแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เพียงแค่คุณหนูมีความสุข ก็ทำเช่นนี้!
จู๋หลินวิ่งมาได้ยินประโยคนี้พอดี เขาผงะไป ความคิดต่างๆ ที่แล่นอยู่ในหัวก็ถูกข่มลง เขาถามขึ้น “พวกเราจะไปหรือ”
เฉินตันจูมองเขา “จู๋หลิน มีแค่ข้ากับอาเถียนที่ต้องไป เจ้าไม่ต้องไป”
อาเถียนก็ผงะเล็กน้อย นางหันไปมองจู๋หลิน แต่ก็เบนสายตากลับมา นางย่อมต้องตามคุณหนูไป
จู๋หลินถาม “เพราะเหตุใด ท่านแม่ทัพให้ข้าเป็นองครักษ์ของคุณหนู”
เมื่อกี้เฉินตันจูเห็นสีหน้าเดือดดาลขององครักษ์หนุ่มที่เดินเข้ามาแล้ว นางจึงยิ้มขึ้น “ข้าจะกลับซีจิง กลับบ้านของข้า ไม่ต้องการองครักษ์แล้ว เจ้ากลับไปอยู่ข้างท่านแม่ทัพเถิด”
จู๋หลินตะโกนออกมา “ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว!”
เฉินตันจูมองเขา “จู๋หลิน ท่านแม่ทัพยังอยู่ เมื่อคืนข้าพบเขาแล้ว”
อาเถียนถลึงตาโต ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องวิญญาณปรากฏตัว นางมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น บอกแล้วว่าหากวิญญาณท่านแม่ทัพปรากฏตัวย่อมไม่มีทางไม่ไปเยี่ยมคุณหนู
มือที่คล้อยอยู่ข้างลำตัวของจู๋หลินกำแน่น เขาอ้าปากแต่พูดไม่ออก
“องค์ชายหกก็คือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก” เฉินตันจูพูดต่อ
อาเถียนผงะ เอ๊ะ?
จู๋หลินตะโกนออกมา “ข้ารู้อยู่แล้ว! คุณหนูตันจู…”
รู้หรือ เดาออกหรือ เดาออกตั้งแต่เมื่อใดกัน เฉินตันจูครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ตอนที่นางอยู่ในคุกก็แอบมีความคิดนี้แล้ว แต่ไม่กล้ามั่นใจ หลังจากถูกฮ่องเต้ลักพาตัวไปแอบอยู่ด้านหลังฉากกั้น ได้ยินเสียงชราที่คุ้นเคยดังขึ้นผ่านฉากกั้น จากนั้นได้ยินฮ่องเต้ตะโกนเรียกฉู่อวี๋หยง…
“…องค์ชายหก” จู๋หลินเดินขึ้นหน้าพลันกัดฟัน “ปลอมตัวเป็นท่านแม่ทัพ!”
เฉินตันจูผงะ ก่อนจะหัวเราะร่า หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา คนผู้นี้ไม่กล้าคิดหรือว่ากล้าคิดเกินไปกัน
“เอาเถิด จู๋หลิน เรื่องเป็นเช่นนี้” เฉินตันจูหุบยิ้ม พูดอย่างจริงจัง “ข้าอาจไม่รู้รายละเอียด แต่มีเรื่องหนึ่ง เมื่อวานฝ่าบาททรงยอมรับเอง หลายปีนี้ คงจะเป็นหลายปีก่อนแล้วที่ฝ่าบาทพระราชทานพวกเจ้าให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กนี้ เป็นองค์ชายหกที่ปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเสมอมา”
คราวนี้อาเถียนก็ไม่พูดแล้ว นางฟังด้วยความตะลึง
“เจ้าบอกว่าองค์ชายหกปลอมตัวเป็นท่านแม่ทัพก็ถูก” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “แต่เจ้าก็คือองครักษ์ของแม่ทัพตัวปลอม หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าไปถามเฟิงหลิน เฟิงหลินคงจะรู้ทุกเรื่อง” ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจ “นอกจากนี้ยังมีหวังเจียน”
จู๋หลินยื่นนิ่งไม่พูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เด็กคนนี้ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไป เฉินตันจูมองเขาด้วยความเห็นใจ อย่างไรเขาก็มองแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นเหมือนเทวดา ไม่เคยคิดว่าเทวดาจะมีสองตัวตน ไม่เหมือนนาง นางไม่สนใจ จะเป็นอันใดไป แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะเป็นผู้ใดก็ได้ นางไม่สนิทกับเขา…
สีหน้าของเฉินตันจูเรียบเฉย
“คุณหนูตันจู…” ด้านนอกประตูมีองครักษ์วิ่งเข้ามาราวกับบิน สีหน้าของเขาแปลกประหลาด “องค์ชายหกเสด็จมาขอรับ”
สีหน้าของเฉินตันจูผงะไปทันที
คนผู้นี้เป็นอย่างไรกัน! เหตุใดจึงมาจวนของนางในเวลานี้!
…
องครักษ์ยืนอยู่ที่เดิม เขาเข้าใจว่าเหตุใดสีหน้าของคุณหนูตันจูจึงเหมือนเห็นผี ก่อนหน้านี้มีกองกำลังขบวนหนึ่งหยุดลงที่หน้าประตู สายตาของเขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่นำหน้า หากพูดให้ถูกต้องคือจับจ้องไปยังชุดเกราะที่สวมใส่ เขาหล่นลงมาจากกำแพงราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ท่านแม่ทัพ…ท่านแม่ทัพ…
แต่เมื่อเปิดประตู ใบหน้าที่เห็นกลับเป็นของอีกคน แรงกระแทกเช่นนั้นช่างทำให้คน…
องครักษ์สูดลมหายใจเข้า พลางถาม “คุณหนูตันจูจะพบหรือไม่ขอรับ”
พบหรือไม่ เฉินตันจูอยากบอกว่าไม่พบอย่างมาก แต่นางรู้ว่าหากตนเองบอกว่าไม่พบก็ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาก็ไม่มีทางบุกรุกเข้ามา…แต่นางยิ้มเยาะเย้ยตนเอง ความมั่นใจที่ไร้ความเกรงกลัวนี้ หากพูดตามตรงก็มาจากเขาอยู่ดี
เฉินตันจูพูด “เชิญองค์ชายหกเข้ามาเถิด”
จู๋หลินและอาเถียนจ้องมองประตูจวนด้วยความตระหนก ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ร่างสูงโปร่งหนึ่งเดินเข้ามา ในเรือนสว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ชุดเกราะสีดำเหลือบทองที่สวมอยู่บนตัวเขาสว่างไสว ทำให้ใบหน้าของเขาขาวดุจหยก งดงามจนกระชากวิญญาณผู้คน
จู๋หลินยื่นมือปิดตาเอาไว้ ไม่ไปมองใบหน้านั้น เพียงแค่ฟังเสียงชุดเกราะและเสียงฝีเท้าหนักแน่น กลิ่นอายที่คุ้นเคยซัดเข้ามาราวกับคลื่น ทำให้เขาหายใจไม่ออก…
ท่านแม่ทัพท่านแม่ทัพ
…
เฉินตันจูมองปฏิกิริยาของจู๋หลิน นางอดฉีกยิ้มไม่ได้ เด็กที่น่าสงสาร
เมื่อฉู่อวี๋หยงเดินเข้าใกล้จนเห็นหญิงสาวยิ้ม เขาก็เผยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
เฉินตันจูหุบยิ้มในทันทันที พลันก้มหน้าถวายบังคม “ถวายบังคมองค์ชาย” ก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึม “ไม่รู้องค์ชายเสด็จมาเยือนในยามค่ำคืนเพราะมีเรื่องสำคัญใดหรือเพคะ”