สีหน้าของคนที่อยู่ด้านหน้าประตูห้องต่างแปลกประหลาด
แต่ฉู่อวี๋หยงไม่สนใจนัก เขาตะโกนเรียกจู๋หลินที่ปิดหน้าเอาไว้ “ถอดชุดเกราะให้ข้า”
ถึงแม้เสียงนี้จะอ่อนเยาว์มาก แตกต่างจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่างสิ้นเชิง แต่จู๋หลินกลับปล่อยมือลงตามสัญชาตญาณ พลันยืดแผ่นหลังตรงตอบรับ จากนั้นเดินไปยังด้านหลังของฉู่อวี๋หยงเพื่อถอดชุดเกราะให้เขา
เมื่อถอดชุดเกราะลง จู๋หลินอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิม ท่านแม่ทัพ…
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังอาเถียน “สมุนไพรที่ทำบนภูเขาดอกท้อยังมีหรือไม่”
อาเถียนรีบตอบรับ “มีเจ้าค่ะ มีเจ้าค่ะ หม่อมฉันไปต้มให้ท่านแม่ทัพ” นางพูดจบก็หันหลังเดินจากมา เมื่อหันหลังนางถึงได้ผงะ เหตุใดจึงเรียกท่านแม่ทัพ
เฮ้อ ช่างเถิด ไม่สนใจแล้ว
องครักษ์และสาวรับใช้ต่างมีเรื่องให้ทำ บรรยากาศแปลกประหลาดก็สลายไป เหลือเพียงเฉินตันจูที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง แต่ในสายตาของฉู่อวี๋หยง หญิงสาวไม่อาจปิดบังความทำตัวไม่ถูกเอาไว้ได้
“มาเยือนในยามค่ำคืน” เขาจึงพูดด้วยท่าทีจริงจังเช่นเดียวกัน “ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญหารือ”
หารืออันใดกัน เฉินตันจูกัดฟัน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียดสี “องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถ หม่อมฉันมิบังอาจ”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะ “เอาเถิด เอาเถิด เข้าไปค่อยพูด”
นางจะทำอย่างไรได้ ถึงแม้จะเป็นจวนของนาง นางจะขับไล่เขาออกไปได้หรือ เฉินตันจูพึมพำอยู่ภายในใจ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้อง
ฉู่อวี๋หยงเดินตามเข้ามา เพียงแวบเดียวก็เห็นหีบที่วางเอาไว้ จึงเอ่ยถามขึ้น “ทำอันใดดึกดื่น”
เฉินตันจูรีบพูด “ไม่มีอันใด เพียงแค่เอาออกมาดูเท่านั้น หม่อมฉันไม่ได้กลับจวนมานานแล้ว”
คำโกหกจะเล็ดรอดสายตาของเขาได้อย่างไร ฉู่อวี๋หยงไม่ถามอีก เขานั่งลง นวดคลึงขมับด้วยความเหนื่อยล้า “ฝ่าบาททรงไม่เป็นอันใด แต่ว่าบาดเจ็บคราวนี้คงต้องนอนครึ่งปีแล้วจริงๆ”
เฉินตันจูตอบรับ อดถามไม่ได้ “แล้วโจวเสวียน…”
“โจวเสวียนหรือ” สีหน้าของฉู่อวี๋หยงดำทะมึนเล็กน้อย เขาไม่ตอบ หากแต่ถามกลับ “เจ้าจะอ้อนวอนแทนเขาหรือ”
มีความรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เอ่อ ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับแม่ทัพหน้ากากเหล็กจริงๆ ก็ตาม เฉินตันจูรีบพูด “ไม่ใช่ๆ หม่อมฉันก็แค่ถามเท่านั้น”
อีกทั้งไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงไม่มั่นใจเล็กน้อย อาจเป็นเพราะนางรู้ว่าโจวเสวียนต้องการลอบปลงพระ ชนม์ฮ่องเต้ แต่กลับไม่เคยเอ่ยถึง จะว่าไปนางก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะ “อย่างนี้หรือ ข้าคิดว่าเจ้าจะอ้อนวอนแทนเขาเสียอีก หากเจ้าอ้อนวอน ข้าจะให้คนปล่อยเขาออกมาเร็วหน่อย”
อันใดกัน เฉินตันจูถลึงตามองเขา
“หากเจ้าคิดว่าเขาร้ายกาจ” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อ “ก็ขังเขาไว้อีกหลายวัน ให้เด็กคนนี้ได้ลำบากเสียบ้าง”
เหตุใดจึงกลายเป็นนางตัดสินโจวเสวียนไปได้ นางเหลือบมองฉู่อวี๋หยง พลันตั้งสติขึ้นมา คนผู้นี้กำลังจูงจมูกนางเดินอีกแล้ว นางจึงเลิกคิ้วขึ้น ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่เกรงใจแล้ว
“ผู้อื่นเล่า องค์ชายห้า องค์รัชทายาทที่ถูกปลด แล้วก็ท่านอ๋องฉี” มือของเฉินตันจูวางไว้ด้านหน้า ทำท่าทางห่วงใยพลันถามอย่างต่อเนื่อง “พวกเขาล้วนเป็นอย่างไร”
ฉู่อวี๋หยงจึงพูดด้วยสีหน้าดำทะมึน “มู่หยงตายแล้ว ถูกคนที่เขานำเข้ามายิงตาย ถือว่าหาที่ตายและสมควรตาย ฉู่จิ่นหยงพิการแขนไปข้างหนึ่ง แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต และไม่อาจพ้นโทษได้ ส่วนซิวหยง” เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ เขาเหลือบมองเฉินตันจู พลางพูดเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะมีความทุกข์ใจมากน้อยเพียงใด เขากับพระสนมสวีก็มีความผิด”
เฉินตันจูถอนหายใจ “สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงไม่ตอบ หากแต่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “หากข้าไปไม่ทัน เขาตายไม่พอ อาจทำให้เจ้าตายด้วย เวลานี้เจ้าก็ไม่สามารถอ้อนวอนแทนเขาได้แล้ว”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเช่นเดียวกัน “หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายเสด็จมาเพราะอยากฟังหม่อมฉันอ้อนวอนแทนพวกเขา มิฉะนั้นเรื่องแบบนี้ ใหญ่มีกฎเมือง เล็กมีกฎบ้าน เหตุใดองค์ชายจึงต้องเอ่ยกับหม่อมฉัน”
เวลานี้อาเถียนยกชาที่ต้มเสร็จเข้ามาพอดี ขาข้างหนึ่งกำลังก้าวข้ามธรณีประตู ร่างของนางชะงักไปทันที บรรยากาศภายในห้องช่างประหลาด
เมื่อเห็นเฉินตันจูไม่ปิดซ่อนสีหน้าอีก ฉู่อวี๋หยงจึงยิ้มออกมา เขาก้มหน้ายอมรับผิด “ใช่ ข้าผิดไปแล้ว” ก่อนจะพูดเสียงเบา “เจ้าเอ่ยปากก็ถามถึงโจวเสวียน ข้าโกรธเล็กน้อย”
เฉินตันจูเกือบหลุดถามว่าเหตุใดเขาจึงโกรธ โชคดีที่หยุดลงได้ทันเวลา นางเพียงแค่ทำตัวไม่ถูก แต่นางไม่โง่ นางกล้าถามเรื่องนี้ ฉู่อวี๋หยงก็กล้าให้คำตอบที่ทำให้นางทำตัวไม่ถูกกว่าเดิม…เขากำลังรออยู่
“หม่อมฉันแค่เป็นห่วงตัวเอง” นามก้มหน้าพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันก็รู้แผนการของโจวเสวียนที่มีต่อฝ่าบาท แต่ไม่ยอมบอกกล่าวมาตลอด”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินตันจู อาเถียนก็โล่งใจ ไม่เป็นอันใดแล้ว คุณหนูเริ่มแสร้งทำตัวน่าสงสารอีกแล้ว เหมือนแต่ก่อนที่อยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพ นางก้าวขาอีกข้างที่เหลือเข้ามา ยกชาวางไว้ตรงหน้าของฉู่อวี๋หยง ก่อนจะยืนอยู่ด้านหลังของเฉินตันจูด้วยความเป็นห่วง เตรียมตัวหลั่งน้ำตาตามทุกเมื่อ
ฉู่อวี๋หยงโบกมือพลันกลั้นขำ “เอาเถิด ล้วนผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก” เขายกชาขึ้นดื่ม
เขาบอกว่าพูดก็พูด ไม่พูดก็ไม่พูด เฉินตันจูก้มหน้าเบ้ปาก ท่านแม่ทัพช่างมีบารมีเหลือเกิน
“ตั้งแต่เมื่อคืนจนวันนี้กลางวัน เรื่องจัดการจนเกือบเสร็จสิ้นแล้ว”
เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้น
“วันพรุ่งนี้จะประกาศเรียกให้บรรดาขุนนางเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังหลวง บอกกล่าวเรื่องในคราวนี้ต่อทุกคน สร้างความมั่นคงให้ราชสำนักเป็นการชั่วคราว ตั้งใจจัดการปัญหาทางซีจิง ป้องกันไม่ให้ซีเหลียงเหิมเกริมมากขึ้น”
เสียงของชายหนุ่มเผยให้เห็นความเหน็ดเหนื่อยอย่างชัดเจน เฉินตันจูอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา แสงไฟในห้องสั่นไหว สาดส่องใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม คิ้วของเขาเรียวบางดุจภูผาไกล สันจมูกสูงโด่ง สีผิวที่ขาวเสียยิ่งกว่าตอนกลางวัน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด…
ระยะนี้เขาหนีการไล่ล่าอยู่ด้านนอก ถึงแม้จะดูเหมือนหายลับไปในสายตาของผู้คน แต่ความจริงแล้วเขายังอยู่เสมอ เขาย่อมไม่มีทางไม่สนใจการบุกรุกของซีเหลียง อีกทั้งยังต้องโยกย้ายกองกำลัง พลันจับตาเฝ้าดูทางวังหลวง ยับยั้งการจลาจลในวังหลวงคราวนี้ได้อย่างทันเวลา เหมือนดั่งที่เขาพูด หากเขามาไม่ทันเวลา ไม่ว่านางก็ดี ฉู่ซิวหยงก็ดี โจวเสวียนก็ดี หรือฮ่องเต้ก็ดี เวลานี้คงได้รวมตัวกันในนรกแล้ว
นางกลับจวนนอนไปหนึ่งวัน แต่ฉู่อวี๋หยงเกรงว่าจะไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย ต่อมายังมีเรื่องมากมายที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะราชสำนัก การทหาร หรือฮ่องเต้…
เฉินตันจูถาม “ท่านทานอันใดในยามค่ำคืนแล้วหรือไม่” ก่อนจะพูดขึ้น “หม่อมฉันเพิ่งทานบัวลอยไปหนึ่งชาม ท่านจะทานเสียหน่อยหรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าตอบรับ
อาเถียนจึงเดินออกไปยกบัวลอยอย่างดีใจ
สีหน้าของฉู่อวี๋หยงอ่อนโยน พลางพูด “ความจริงแล้วข้าควรขอโทษเจ้า ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อน วันนั้นข้าหนีไปอย่างรีบร้อน ไม่ได้พาเจ้าไปด้วย”
เฉินตันจูรีบส่ายหน้า “ไม่ๆ ฝ่าบาททรงอยากจับหม่อมฉันมานานแล้ว แม้จะไม่มีท่าน หม่อมฉันก็ต้องถูกจับในสักวัน”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม อาเถียนยกบัวลอยเข้ามา เขาถกแขนเสื้อพลันหยิบช้อนขึ้นมา ไม่พูดสิ่งใดอีก
ภายในห้องเงียบสงบ เฉินตันจูมองขนตายาวของชายหนุ่มตรงหน้าที่ก้มหน้ากินด้วยความตั้งใจ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึง ชายหนุ่มผู้นี้จะปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กด้วยการสวมชุดของคนชรา สวมหน้ากาก ย้อมผมสีขาว…
ย้อมผมสีขาว!
เฉินตันจูใจกระตุก นางยื่นมือออกไป…
อาเถียนที่อยู่ด้านข้างตกใจ นางมองมือของคุณหนูที่วางลงบนศีรษะของฉู่อวี๋หยง จากนั้นดึงผมเส้นหนึ่งออกมา…นี่ๆ อาเถียนอ้าปากกว้าง
ส่วนฉู่อวี๋หยงที่กำลังก้มหน้ากินบัวลอยอย่างตั้งใจราวกับไม่รู้ตัว จนกระทั่งเส้นผมของเขาถูกดึงออกไปหลายเส้น…เสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้ว
เขาร้องโอดครวญออกมา พลันเงยหน้าขึ้น เบิกตาโตจ้องมองเฉินตันจูราวกับสงสัย
เฉินตันจูจับเส้นผมเจ็ดแปดเส้นในมือด้วยความเก้อเขิน ความจริงนางอยากดึงแค่เส้นเดียว แต่มือสั่นจึงดึงออกมามากไปหน่อย ผมของฉู่อวี๋หยงทั้งหนาทั้งเข้ม ไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่นางไปดึงผมของผู้อื่นได้อย่างไร
อยากถามก็ถามสิ
“ครั้งที่สังหารเหยาฝู องค์ชายทรงช่วยหม่อมฉันใช่หรือไม่” เฉินตันจูถาม
ฉู่อวี๋หยงมองนาง “ใช่” ก่อนจะทำหน้าสำนึกผิด “ขอโทษ ครั้งนั้นเพราะตัวตนของข้า ข้าจึงไปมาอย่างเร่งรีบ”
ที่แท้ก็เป็นเขา เป็นเขาเองหรือ มิน่าหวังเจียนถึงได้อยู่ในเหตุการณ์ มิน่านางถึงรู้สึกว่าเห็นคนที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า กลิ่นอายที่คุ้นเคย ใบหน้าที่แปลกหน้า…เฉินตันจูรู้สึกทั้งเศร้าทั้งอบอุ่นอยู่ภายในใจ
“เหตุใดท่านต้องทรงขอโทษ” นางพึมพำ “หม่อมฉันยังไม่ได้ขอบพระทัยองค์ชายแม้แต่น้อย”
นางมองเส้นผมสีดำเงาในมือทั้งเจ็ดแปดเส้น พืชน้ำในฝันนั้นสลายไป ในที่สุดคนที่ว่ายน้ำมาหานางก็มีใบหน้าที่ชัดเจน
“ตันจู” ฉู่อวี๋หยงวางช้อนลง พลันมองนาง “เจ้าอยากไปซีจิงหรือ”
เหตุใดจึงพูดเรื่องนี้ เฉินตันจูผงะ ก่อนจะตอบ “ไม่ใช่ ไม่มีอันใด ก็เพียงแค่”
นางพูดสะเปะสะปะราวกับไม่รู้ควรพูดสิ่งใด นางเพิ่งรู้ว่าผู้ใดช่วยชีวิตนาง เฮ้อ อีกทั้งเขาไม่ได้ช่วยนางเพียงแค่ครั้งเดียว ทั้งที่รู้เจตนาของเขา แต่ตนเองกลับตัดสินใจจะไป…
เฉินตันจูกำลังจะพูดอย่างแน่วแน่ว่าตนเองจะไม่กลับไป แต่ ฉู่อวี๋หยงก็เอ่ยขึ้นก่อนด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไปเถิด” เขาพูด “ราชสำนักในเวลานี้ ข้าไปไม่ได้ เจ้าไปดูแทนข้าที”
เฉินตันจูมองเขา นางผ่อนคลายตั้งแต่หัวคิ้วจนหัวไหล่ ฉู่อวี๋หยงช่างเป็นคนที่อ่อนโยน…นางไม่ควรคิดแต่เรื่องแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
“ได้” นางพยักหน้า “องค์ชายวางพระทัย ความจริงหม่อมฉันก็สามารถนำทัพทำสงครามได้” พูดพลางมองฉู่อวี๋หยง “ท่านทรงเห็นกับตา”
คำว่าท่านนี้ย่อมหมายถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หมายถึงเวลาที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกัน
ฉู่อวี๋หยงมองหญิงสาว ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับมุก “ใช่ ข้ารู้ว่าตันจูมีความสามารถเพียงใด”
เฉินตันจูเบนสายตาหนีอย่างเขินอาย ถูกคนชม อืม ถูกเขาชม นางก็เขินเหมือนกัน
…
ฉู่อวี๋หยงยุ่งมากเสียจริง หลังจากพูดคุยและกินบัวลอยไปหนึ่งชาม เขาก็ขอตัวจากไป อีกทั้งยังนำจู๋หลินที่กอดชุดเกราะเหม่อลอยไปด้วย บอกว่าดูแล้วไม่เป็นท่า ขอนำกลับไปสั่งสอนก่อนค่อยส่งมาใหม่
จู๋หลินตามฉู่อวี๋หยงจากไปอย่างเหม่อลอย อาเถียนกังวลเล็กน้อย นางบ่นกับเฉินตันจูว่าจู๋หลินไม่ใช่ขวดโหล อย่าถูกตีจนแตกไป
เฉินตันจูให้อาเถียนวางใจ จู๋หลินตีไม่พังอย่างแน่นอน
อาเถียนถามอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพ ไม่ใช่…” นางก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น มักจะอดที่จะเรียกท่านแม่ทัพไม่ได้ ทั้งที่เห็นใบหน้าขององค์ชายหก “องค์ชายหกทรงให้พวกเรากลับซีจิงจริงหรือ”
เฉินตันจูแก้ไข “มีภารกิจ นำกองกำลังไป”
แตกต่างกันอย่างไร อย่างไรก็กลับไปอยู่ดี อาเถียนสงสัย เอาเถิด คุณหนูรู้สึกว่าพูดอย่างไรมีความสุขก็พูดเช่นนั้น แต่กลับซีจิงก็สอดคล้องกับเจตนาของคุณหนู เหตุใดคุณหนูจึงดูไม่ดีใจเหมือนก่อนหน้านี้
“คุณหนูไม่อยากกลับไปหรือ” นางอดถามไม่ได้
จะพูดอย่างไรดี เฉินตันจูก็รู้สึกประหลาด นางหนีจากฉู่อวี๋หยงสมดังปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่กระอักกระอ่วนกับตัวตนทั้งสองของเขา แต่นางกลับไม่รู้สึกดีใจหรือผ่อนคลาย หากแต่รู้สึกละอายใจ…
การให้นางนำทัพไปดูซีจิงแทนเขาก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ฉู่อวี๋หยงหาให้นาง
ไม่ว่าจะเป็นฉู่อวี๋หยงหรือแม่ทัพหน้ากากเหล็กล้วนฉลาด เหตุใดจึงมองไม่ออกถึงการหลีกหนีของนาง อีกทั้งเขาก็รู้ว่าหีบเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร
ดังนั้นเขาจึงตามใจนาง ให้นางจากไป
เฉินตันจูอดไม่ได้ที่จะบีบนิ้วของตนเอง นางทำเช่นนี้ไม่ดีหรือไม่ โดยเฉพาะเพิ่งรู้ว่าชีวิตของนางถูกฉู่อวี๋หยงช่วยเอาไว้ ทำเช่นนี้กับผู้มีพระคุณไม่เหมาะสมนักใช่หรือไม่
เพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัว
ฉู่อวี๋หยงเป็นคนที่มีสัจจะ หลังจากยุ่งมาสองวันแล้ว เขาก็ให้เฉินตันจูติดตามกองกำลังไปซีจิงจริงๆ แน่นอน ไม่ต้องขายจวน ไม่ต้องเก็บสัมภาระมากมายเพียงนั้น
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา” ฉู่อวี๋หยงพูดกับนางด้วยเสียงอ่อนโยน
คราวนี้เฉินตันจูไม่ได้หลบหลีก นางบีบนิ้วพลันตอบรับเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยเสริม “หม่อมฉันจะไม่ทำให้…องค์ชายทรงผิดหวัง”
ฉู่อวี๋หยงอมยิ้มพลันพยักหน้า พลางจัดระเบียบชุดคลุมให้หญิงสาวเล็กน้อย
เฉินตันจูหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะถวายบังคมแล้วขึ้นรถม้าไป
จู๋หลินก็ถูกส่งกลับมาเป็นองครักษ์อีกครั้ง หลังจากถูกสั่งสอนแล้ว คนทั้งคนก็มีชีวิตชีวาขึ้น
เพียงแต่ท่าทีที่มีต่อเฉินตันจูไม่เคารพเหมือนเคยอีกแล้ว เขาทำท่าทางราวกับท่านอย่าทำให้เรื่องการเดินทัพของท่านแม่ทัพพังทลาย
รถม้าซ่อนตัวอยู่ในกองกำลังกองทัพเหนือจากไป อาเถียนเปิดม่านพลันหันกลับไปมอง พลางเดินพลางพูดไม่หยุด “องค์ชายหกยังรอส่งอยู่เจ้าค่ะ…องค์ชายหกยังไม่เสด็จไปเจ้าค่ะ…ยังเห็นเงาขององค์ชายหกเจ้าค่ะ…”
เฉินตันจูชะเง้อหน้าออกไปมองอย่างอดไม่ได้ ฉู่อวี๋หยงราวกับทิ้งองครักษ์และทหารตามมาส่ง เวลานี้เขาเหลือเพียงเงาที่ยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
แต่ว่าเงานี้กลับชัดเจนในสายตาของเฉินตันจู นางสามารถมองเห็นม้างามตัวสูงใหญ่ที่เขาขี่ ลวดลายสีทองบนเสื้อสีดำของเขา ใบหน้าดุจหยกของเขา ดวงตาที่สดใสของเขา…
…
หวังเจียนเร่งม้าตามมา
“เอาเถิด เอาเถิด” เขาพูดอย่างโมโห “หยุดดูได้แล้ว กลับไปเถิด”
ฉู่อวี๋หยงถอนหายใจเสียงเบา สายตามองไปยังขอบฟ้าระยะไกล “ครั้งแรกที่ห่างจากคุณหนูตันจูไกลเพียงนี้”
หวังเจียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ฟังคำพูดเหลวไหลนี้
“หากไม่อยากให้ไป เหตุใดจึงปล่อยคนไป” เขาทับถม “ตัวตนพ่อบุญธรรมของท่านทำให้นางตกใจ การไปครั้งนี้คงจะเป็นการบินหนีแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ไม่มีทาง คุณหนูตันจูเป็นหญิงสาวที่มีใจเมตตา คำนึงถึงคนอื่นมากที่สุด”
การบังคับให้นางอยู่ข้างกาย บังคับให้นางเผชิญหน้ากับตนเองย่อมจะได้ผลกลับกัน แต่การผลักให้นางไป ปล่อยให้นางจากไปตามความต้องการ นางย่อมจะเกรงใจ อีกทั้งยังจะหันกลับมาโทษตัวเอง
จากนั้นนางจะปลอบตัวเอง จากนั้นตนเองค่อยเข้าไป นางย่อมกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของเขาราวกับนกน้อย