“กรณีของเสี่ยวเว่ยนั้นต่างออกไป เพราะเขาต้องรีบเข้ามารับตำแหน่ง” เลี่ยวจือฝู่โบกมือแทนการบอกว่าเขาไม่ได้ถือสาหาความอันใด แล้วพูดต่อ ”รู้จักกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย เจ้าต้องดูแลเมืองฟู่ผิงนี้ให้ดีล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และตอบว่า ”ฮ่าๆ ข้าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีขอรับ จะว่าไปแล้ววันนี้ตอนที่ข้ามาถึงศาลาว่าการ ข้าเห็นว่ามีอันธพาลสองคนกำลังลงไม้ลงมือกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ข้าจึงจับกุมพวกเขา และโยนทั้งสองเข้าไปในคุกทันที ข้าคิดว่าที่ปรึกษาจางน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังแล้ว”
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงรึ” เลี่ยวจือฝู่มีสีหน้าตกใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มแฝงความนัยซ่อนอยู่ระหว่างริมฝีปากของนาง จากนั้นนางจึงถามขึ้นว่า ”ใต้เท้าเลี่ยวไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ”
“แน่นอนสิ” เลี่ยวจือฝู่ตบโต๊ะแล้วขึ้นเสียง ”คนพวกนี้พยายามตบตาข้าและปกปิดความผิดของตนเองมาตลอด ได้เวลาสอนบทเรียนให้กับพวกมันแล้ว!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองนายท่านเยี่ยนที่มีสีหน้าไม่น่ามองนัก แล้วเอ่ยต่ออย่างใจเย็นว่า ”หากใต้เท้าเลี่ยวต้องการเช่นนั้นละก็ ข้ามั่นใจว่ามันจะต้องได้ผลแน่”
“ข้าไม่กล้ารับประกันหรอกว่ามันจะได้ผล” เลี่ยวจือฝู่พูดเป็นนัยๆ ”แต่ข้าก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้ใครบางคนเชื่อฟังได้ ใต้เท้าเว่ย เจ้าจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดีล่ะ”
นี่คือคำเตือนสำหรับนางหรือ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่สีหน้าของนางกลับยังไม่เปลี่ยนแปลง
ตรงกันข้ามกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างนาง เขามองเลี่ยวจือฝู่ด้วยสายตาคมกริบดุจใบมีด ความเย็นชาที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันปรากฏขึ้นในดวงตาเรียวรีของเขา
เลี่ยวจือฝู่ไม่ทันสังเกตเห็นมัน เขาเพียงรู้สึกว่าอากาศที่มาจากข้างๆ ดูเย็นขึ้นเท่านั้น เขายกชาขึ้นจิบเพื่ออบอุ่นร่างกายจากอากาศหนาวสะท้านนั้น แล้วมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย เมื่อเขาเห็นว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยารุนแรงนัก เขาก็คิดว่านางคงกำลังคิดไม่ตกกับคำพูดของเขา และหวาดกลัวเขาจนหัวหดอยู่นั่นเอง
กลัวข้าก็ดี ล้มเลิกในสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่เสีย ก่อนที่ข้าจะโกรธขึ้นมา
หลังจากนี้เขายังมีเรื่องที่ต้องคุยกับคนแซ่เว่ย ดังนั้นการจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิดรอยร้าวขึ้นเพียงเพราะลูกน้องสองคนย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะต้องการหารือเรื่องการพัฒนาเมืองฟู่ผิงในอนาคตกับเจ้าพอดี เสี่ยวเว่ย” เลี่ยวจือฝู่เอ่ยขึ้นพลางใช้ตะเกียบคีบผักเข้าปาก ”เจ้าดูเป็นคนมีความรู้ ดังนั้นลองเสนอความคิดขึ้นมาสิว่าจะทำให้เมืองนี้เฟื่องฟูขึ้นได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยหารือกับเหล่าเยี่ยนไว้เพราะเขาเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเมืองฟู่ผิงแห่งนี้ เขาเสนอว่าให้พวกเราสร้างถนนเพื่อใช้สำหรับขนส่งผลไม้จากที่นี่ไปขายยังเมืองหลวงได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยน้ำชาลงเมื่อนางได้ยินเรื่องนั้น แล้วเสนอความเห็นว่า ”ถ้าข้าจำไม่ผิด เรามีถนนจากเมืองฟู่ผิงไปจนถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว” การก่อสร้างถนนอีกเส้นทั้งที่มีของเดิมอยู่แล้วเส้นหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นหนทางไปสู่การยักยอกเงินหลวงอย่างไม่ผิดแน่
“ถนนเส้นเดียวจะไปพอได้อย่างไร” นายท่านเยี่ยนแทรกขึ้น ”ยิ่งเราสร้างถนนมากเท่าใด พวกเรา… ข้าหมายถึงเมืองฟู่ผิงก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองสีหน้าของนายท่านเยี่ยนกับเลี่ยวจือฝู่ เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้ พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อเงิน
โครงการก่อสร้างถนนนั้นเปรียบเสมือนเหมืองทองคำสำหรับบรรดาขุนนางทุกระดับชั้นมาแต่ไหนแต่ไร
เสด็จปู่บอกนางว่าเขาเคยคิดที่จะจัดสรรงบประมาณให้กับเมืองฟู่ผิงก่อนนางจะมาที่นี่ แต่เขาก็เป็นห่วงว่ามันจะถูกขุนนางพวกนี้ยักยอกไปเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงขอให้นางช่วยจับตาดูมันให้ดีในระหว่างที่นางอยู่ที่นี่
แต่เลี่ยวจือฝู่กลับหมายตาเงินก้อนนั้นเอาไว้ก่อนที่มันจะมาถึงที่นี่เสียอีก มิหนำซ้ำยังพูดเรื่องไร้สาระอย่างการสร้างถนนขึ้นมาอีกด้วย
ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนในเมืองหลวงยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางยังไม่รู้ว่าตระกูลใดเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนเลี่ยวจือฝู่อยู่
ทันทีที่ข้ารู้ว่าพวกมันเป็นใคร ข้าจะกวาดล้างพวกมันเสียให้สิ้นซากในคราวเดียว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชาลงคอแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใสราวกับแก้วว่า ”แต่ศาลาว่าการไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง การสร้างถนนใหม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเลยมิใช่หรือ”
“ใต้เท้าเว่ยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ขอรับ” นายท่านเยี่ยนตอบอย่างรวดเร็ว ”หากเป็นเรื่องเงิน เมื่อถึงเวลาพวกข้าก็พอจะมีวิธีขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงตอบว่า ”โอ้… นายท่านเยี่ยนหมายถึงวิธีการใดรึ”
“ในยุ้งฉางของศาลาว่าการมีธัญพืชอยู่อีกตั้งมากมาย เพียงแค่นำมันไปขายพวกเราก็สามารถหาเงินนับล้านตำลึงมาได้แล้วขอรับ ใต้เท้าเว่ย ท่านเห็นว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากเตะคนพวกนี้แล้วบอกพวกเขาว่าความคิดนี้ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามจะใช้เสบียงกับเงินฉุกเฉินของประชาชนเพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัว และความโลภของตน
แม้มันจะยังมาไม่ถึง แต่เมืองฟู่ผิงก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทุกปี ธัญพืชที่อยู่ในยุ้งฉางนั้นมีไว้สำหรับแจกจ่ายให้กับประชาชนในยามฉุกเฉินเมื่อภัยแล้งมาเยือน ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่เจ้าคนแซ่เยี่ยนนี่กลับคิดที่จะขายเสบียงช่วยชีวิตพวกนั้นเพื่อแลกกับเงิน!
สารพัดวิธีฆาตกรรมผู้ชายคนนี้ปรากฏขึ้นในสมองของเฮ่อเหลียนเวยเวย ขณะที่ความคิดนั้นเวียนวนอยู่ในใจ ท่านั่งของนางก็ยิ่งมั่นคงขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงไม่จางหายไป จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นว่า ”แค่ล้านเดียวคงไม่พอ”
“มันคงไม่พอจริงๆ แต่ถ้ามันยังไม่พอ เราก็ยังมีงบประมาณที่ทางราชสำนักจัดสรรมาให้อยู่มิใช่หรือ แค่นำมันมารวมเข้าด้วยกัน แค่นั้นก็จบเรื่องแล้วขอรับ!” นายท่านเยี่ยนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างเบิกบาน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพร้อมกับตอบว่า ”นายท่านเยี่ยนไม่กลัวหรือว่าเบื้องบนจะตำหนิท่านเอาได้หากเรามีเสบียงไม่พอในตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น”
“พวกเราแค่หยิบยืมมันมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นขอรับ ทันทีที่เราได้เงินกลับคืนมา เราก็แค่ซื้อเสบียงใหม่มาทดแทนพวกมันก็ได้ ท่านไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีหรือขอรับ” นายท่านเยี่ยนว่า มันฟังดูเหมือนประโยคที่ผ่านการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี และเป็นคำพูดที่เขาสำรอกออกมาเป็นประจำ
เลี่ยวจือฝู่นั่งฟังอยู่ข้างๆ พลางพยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าการหาเสบียงมาคืนในส่วนที่หมดไปนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก แต่นางกลับประหลาดใจที่เลี่ยวจือฝู่เห็นด้วยกับเขาจริงๆ ดูเหมือนคนทั้งสองจะตั้งใจผลาญเสบียงในยุ้งฉางเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว
หากว่ากันตามหลักการแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จือฝู่กับพ่อค้าธรรมดาจะมีความกล้าถึงเพียงนี้ จะต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
สาเหตุที่เลี่ยวจือฝู่มาที่เมืองฟู่ผิง และการที่เขาเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในเมืองฟู่ผิงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าเขามาเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว
เมื่อเลี่ยวจือฝู่สังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบอยู่นาน เขาก็เสนอความเห็นขึ้นว่า ”เสี่ยวเว่ย การสร้างถนนไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อเจ้าด้วย ลองคิดดูสิ ถ้าเจ้าสร้างผลงานใหญ่ได้ หนทางไปสู่จุดสูงสุดของเจ้าก็จะยิ่งราบรื่น”
“ใต้เท้าเลี่ยวคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเป็นคนมีความทะเยอทะยานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากความเห็นของข้าแล้ว การได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฟู่ผิงแห่งนี้ก็ไม่เลวทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างเคย
การปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ของนางทำให้เลี่ยวจือฝู่ลอบสบถด่าอยู่ในใจ เจ้าหมอนี่ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าอะไรที่ดีกับตัวเอง! รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็งขณะที่เขากล่าวว่า ”ในเมื่อเสี่ยวเว่ยไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนั้น ก็อยู่ที่ศาลาว่าการและคิดว่าจะรับใช้ประชาชนอย่างไรต่อไปก็แล้วกัน”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการทำมาโดยตลอด” ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ผุดลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะแตะต้องอาหารหน้าตาหรูหราตรงหน้าแม้แต่จานเดียว แล้วเอ่ยขึ้นว่า ”พวกเขาน่าจะยังสอบปากคำอันธพาลสองคนที่ข้าจับมาก่อนหน้านี้อยู่ หากการสอบปากคำเสร็จสิ้นลงเมื่อใดข้าคงต้องขอเชิญนายท่านเยี่ยนไปที่ศาลาว่าการด้วย ใต้เท้าเลี่ยวกับคนอื่นๆ ทานอาหารกันต่อเถอะ ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
นายท่านเยี่ยนมีสีหน้าสับสนไปครู่หนึ่งทีเดียว เขาหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าจะเชิญข้าไปที่ศาลาว่าการทันทีที่การสอบปากคำสิ้นสุดลง ไปเพื่ออะไรกัน ให้ข้าไปพาคนของตัวเองกลับหรือ
“เจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” นายท่านเยี่ยนรีบถามเลี่ยวจือฝู่หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนที่มาด้วยออกไปแล้ว
สีหน้าของเลี่ยวจือฝู่ดำทะมึนขึ้นในทันที เขาเอ่ยว่า ”เขาก็เป็นเพียงแค่คนไร้หัวนอนปลายเท้าและเป็นแค่หมากไร้ค่าตัวหนึ่ง แต่เขากลับคิดว่าจะสามารถรับใช้ประชาชนด้วยความตั้งใจอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวได้ ดูเหมือนเขาจะไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยวกับพวกเรา แต่เจ้าไม่ต้องกังวล แล้วทำตามแผนที่พวกเราวางเอาไว้อย่างเคยก็พอ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็จงนำเงินก้อนนั้นมาให้ข้าให้จงได้!”