ถึงแม้จะบอกว่าให้เฉินตันจูนำกองกำลังไปสนับสนุนที่ซีจิง แต่เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง ทางซีจิงก็ส่งข่าวมา กองกำลังซีเหลียงหนีไปแล้ว
ความจริงเมื่อเกิดการจลาจลในวังหลวง กองกำลังซีเหลียงก็พ่ายแพ้แล้ว
“บิดาของท่านถูกองค์หญิงจินเหยามอบหมายให้เป็นแม่ทัพ เผชิญหน้ากับทหารซีเหลียง” จู๋หลินเล่ารายละเอียดที่ได้ยินมาต่อเฉินตันจู “มีเฉินเลี่ยหู่เป็นแม่ทัพ ทหารซีเหลียงย่อมต้องพ่ายแพ้”
ก่อนหน้านี้เฉินตันจูถูกขังอยู่ในคุก นางรู้เพียงองค์หญิงจินเหยาหนีรอดจากความตายได้ ต่อจากนั้นราชสำนักจึงโยกย้ายกองกำลังไปสนับสนุน เวลานี้นางถึงได้รู้ว่ายังมีเรื่องของท่านพ่อจากจู๋หลิน
องค์หญิงจินเหยาไปหาท่านพ่ออย่างเด็ดขาด อีกทั้งท่านพ่อยังน้อมรับคำสั่ง
แต่เมื่อครุ่นคิด ความจริงแล้วองค์หญิงจินเหยาและท่านพ่อทำเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล
ท่านพ่อเป็นคนเช่นนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะบาดหมางกันเพราะเรื่องของท่านอ๋องอู๋ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าภัยบ้านเมือง เขาก็ไม่มีทางนั่งดูโดยไม่สนใจ
อีกทั้งองค์หญิงจินเหยาเชื่อใจนางอย่างมาก ดังนั้นจึงเชื่อใจครอบครัวของนาง
จู๋หลินมองหญิงสาวที่หัวเราะคิกคักอยู่บนรถ เขาสูดลมหายใจเข้า กัดฟันพูดเรื่องยากที่จะเอ่ยปากออกมา “ดังนั้น ท่านแม่ทัพ…องค์ชายจึงสามารถเดินทางกลับมาจากทางไปซีจิง ยับยั้งการจลาจลในวังหลวง ดังนั้นทุกสิ่งล้วนอาศัยบารมีของคุณหนูตันจู เป็นความดีความชอบของคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด ไม่บังอาจ ไม่บังอาจ”
จู๋หลินพยักหน้าอย่างเฉยชา ยังดี รู้ว่าตัวเองไม่บังอาจ
“เวลานี้ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว” เฉินตันจูถอนหายใจอีกครั้ง นางบอกแล้วฉู่อวี๋หยงเพียงแค่หาข้ออ้างให้นางกลับซีจิง นางครุ่นคิดพลันมองไปยังกองกำลังที่กำลังเดินอยู่บนพื้นที่คดเคี้ยว “มันเอิกเกริก สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์มากไปหรือไม่”
คุณหนูตันจู! ท่านแม่ทัพจะเอิกเกริก สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์ได้อย่างไร จู๋หลินโกรธในทันที ท่านแม่ทัพดีต่อท่านเช่นนี้ แต่ท่านกลับทำให้ท่านแม่ทัพเสียชื่อเสียง…
“คุณหนูตันจู ท่านไม่เข้าใจก็อย่าพูดเหลวไหล” เขาพูดด้วยความโกรธ “เรื่องสงครามแม้จะได้รับชัยชนะแล้ว แต่ยังมีเรื่องมากมายต้องทำ การเสริมเสบียง การดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ การมอบรางวัล เรื่องเหล่านี้ล้วนสำคัญเหมือนกับการทำสงครามกับศัตรู การทำสงครามไม่ใช่เพียงแค่การเข่นฆ่าก็พอ ในฐานะแม่ทัพต้องดูแลภาพรวม…”
เฉินตันจูพิงหน้าต่างรถ พลันโบกมือต่อเขา “รู้แล้ว รู้แล้ว ท่านแม่ทัพมีความสามารถ…จู๋หลินกลายเป็นคนขี้บ่นอีกแล้ว” นางเกยคางมองจู๋หลินพลันหัวเราะ “ที่พึ่งกลับมาแล้วก็ไม่เหมือนเดิมเสียจริง”
เขาต่างหากที่ควรพูดประโยคนี้ จู๋หลินส่งเสียงไม่พอใจ “คุณหนูตันจูต่างหากที่เปลี่ยนไปเหมือนเมื่อก่อน ที่พึ่งกลับมาแล้ว”
ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านแม่ทัพที่กลับมาในเวลานี้แตกต่างจากท่านแม่ทัพแต่ก่อน แม้กิริยาท่าทางจะคล้ายคลึงกัน ตอนที่ทำหน้าบึ้งก็น่ากลัวเหมือนกัน แต่เมื่อเงยหน้าเห็นใบหน้าของเขาก็ไม่น่ากลัวมากเพียงนั้นแล้ว
อย่างไรก็เป็นชายหนุ่มที่งดงามราวกับดอกไม้
แต่องค์ชายหกที่ทรงเยาว์แตกต่างจากความทรงจำแรกของนางแล้ว ดอกไม้นี้กลายเป็นดอกไม้เหล็ก
อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าในเวลานี้ เฉินตันจูเท้าคางอยู่บนหน้าต่างรถมองทิวทัศน์ข้างทาง เวลานี้เขากำลังทำอันใด กำลังรับมือกับบรรดาขุนนางในราชสำนักหรือ บรรดาขุนนางย่อมไม่อาจได้ผลประโยชน์ วันนั้นนางเห็นถึงความแข็งกร้าวของแม่ทัพหน้ากากเหล็กในตำหนักบรรทมแล้ว…
อาเถียนเม้มปากยิ้มอยู่ด้านข้าง คุณหนูเหม่อลอยอีกแล้ว นางทำมือให้จู๋หลินเป็นเชิงอย่ารบกวนคุณหนู
จู๋หลินก็ไม่อยากรบกวนนาง นางจะได้ไม่พูดจาเหลวไหลอีก เขายังมีเรื่องมากมายต้องทำ อาทิเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพ บันทึกรายละเอียดการเดินทัพอย่างละเอียด
กองทัพใหญ่เดินทางทั้งวันทั้งคืน พักอยู่ท่ามกลางลมฝน ระหว่างทางพวกเขาไม่เห็นสถานการณ์สงครามที่เลวร้ายแม้แต่น้อย กองกำลังบริเวณซีจิงมากกว่าบริเวณอื่นเป็นจำนวนมาก บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย แต่วิถีชีวิตของราษฎรไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ตลาดที่เดินทางผ่านยังมีบรรดาพ่อค้ารวมตัวกัน
สิบวันต่อมา เฉินตันจูก็เห็นคูเมืองของซีจิงแล้ว
เมื่อเห็นคูเมืองของซีจิงเฉินตันจูก็กังวลเล็กน้อย ระหว่างทางนางให้ทหารส่งสารส่งข่าวให้องค์หญิงจินเหยา แต่ไม่กล้าบอกท่านพี่ เพราะกังวลว่าท่านพี่จะลำบากใจ เมื่อถึงเวลาจะพบหรือไม่พบนางดี หากพบนาง ท่านพ่อจะโกรธ หากไม่พบนาง ก็กังวลว่านางจะเสียใจ…
“คุณหนู คุณหนู” อาเถียนขี่ม้าตัวน้อยวิ่งมาด้วยรอยยิ้ม “จู๋หลินบอกว่ามีคนมารับท่านแล้ว”
นางอยากให้เดาหรือ เมื่อเฉินตันจูได้ยินจึงหัวเราะออกมา เจ้าเด็กโง่ หากเป็นคนในครอบครัวมารับจริง นางคงไม่พูดเช่นนี้ นางคงจะร้องไห้กอดจดหมายจนพูดไม่ออก
ในเมื่อเรื่องจบสิ้นแล้วเฉินตันจูก็ไม่กังวลอีก นางกระโดดลงจากรถม้า มองคนและม้าที่วิ่งมาจากคูเมืองด้านหน้า หญิงสาวที่ขี่ม้านำหน้าสวมชุดสีแดง นางโบกมือจากระยะไกล
“ตันจู…ตันจู…”
เฉินตันจูวิ่งไปทางนาง องค์หญิงจินเหยากระโดดลงจากม้า หญิงสาวทั้งสองกอดคอกันร้องไห้และหัวเราะ
เฉินตันจูจับองค์หญิงจินเหยาพินิจดูซ้ายขวา
“ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่แค่กระแทกเล็กน้อย ไม่มากนัก” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่หนักเท่าถูกเจ้าตี”
เฉินตันจูเห็นองค์หญิงจินเหยาผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ดวงตาของนางสดใส พูดจาก็สุขุมมากกว่าตอนอยู่ในเมืองหลวง นางจึงวางใจลง
องค์หญิงจินเหยามองนางซ้ายขวา “เจ้าเล่า เจ้าถูกขังอยู่ในคุกเป็นเวลานาน ถูกโบยหรือไม่”
เฉินตันจูหัวเราะร่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ผู้ใดกล้าตีหม่อมฉันเฉินตันจูกัน”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะจนตัวงอ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว คุณหนูตันจูเก่งปานนี้”
ทั้งสองคนจับมือกันแน่น หัวเราะปนร้องไห้
“ยังคิดว่าจะไม่ได้พบกันอีก” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบา
ระหว่างทางจู๋หลินก็เล่าเรื่องการหนีตายจากเมืองเฟิ่งขององค์หญิงจินเหยาด้วย เขาเล่าถึงบรรดาขุนนางและทหารที่ปะทะกับองค์รัชทายาทซีเหลียงจนตาย เฉินตันจูสามารถจินตนาการถึงความอันตรายในเวลานั้นขององค์หญิงจินเหยา
“ขอบคุณสวรรค์” เฉินตันจูกอดนางเอาไว้ พลันยิ้ม “ขอบคุณจางเหยา”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะออกมา ฟุบหน้าพูดอยู่บนไหล่นาง “ขอบคุณคุณหนูตันจู”
ไม่มีคุณหนูตันจู นางก็ไม่อาจรู้จักจางเหยา
หญิงสาวทั้งสองหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
หลังจากร่ำลาก็เป็นการเผชิญกับความเป็นความตาย หญิงสาวทั้งสองมีเรื่องมากมายต้องพูดคุย พวกนางนั่งขึ้นรถม้าตั้งแต่นอกเมือง จนกระทั่งถึงวังหลวงเก่า หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว แม้แต่กินข้าวก็ยังไม่หยุดพูด
“ไม่ได้เก็บกวาดห้องให้เจ้า” องค์หญิงจินเหยาพูด “กลางคืนเจ้านอนกับข้า”
องค์หญิงจินเหยาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนางกลับมา เฉินตันจูเข้าใจเจตนาดีของนาง ยิ้มพลันพยักหน้า “วังหลวงนี้ไม่มีฮ่องเต้ หม่อมฉันไม่ต้องเกร็ง อยากทำสิ่งใดก็ทำ”
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “วังหลวงในเมืองหลวงมีฮ่องเต้และเสด็จพี่หก เจ้าก็ไม่ต้องเกร็ง อยากทำสิ่งใดก็ทำ”
นับแต่รู้จักกันมา ในที่สุดก็พูดถึงองค์ชายหก เฉินตันจูยื่นมือจับนางเอาไว้ “ท่านรู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ ท่านคอยดูหม่อมฉันอับอายอยู่เสมอ!”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม พลันวางมาด “ไร้ที่สูงที่ต่ำ เรียกท่านป้า”
เฉินตันจูออกแรงคว่ำนางลงกับพื้นพรมหนาด้วยมือและเท้า
เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวทั้งสองหยอกล้อกัน ขันทีและนางในที่ยืนอยู่นอกตำหนักสบตากัน…พวกเขาเป็นคนในวังที่เฝ้าอยู่ในวังหลวงนี้ ถึงแม้เวลานั้นองค์หญิงจินเหยาไม่ต้องการผู้ติดตาม แต่ตอนอยู่ในวังหลวง พวกนางยังคงเป็นผู้ปรนนิบัติองค์หญิง
สำหรับพวกนางแล้ว พวกนางคุ้นเคยกับองค์หญิงจินเหยาอย่างมาก สามารถบอกได้ว่าเห็นนางเติบโตขึ้นมา แต่องค์หญิงจินเหยาที่เห็นในคราวนี้แตกต่างจากแต่ก่อนอย่างมาก อีกทั้งเฉินตันจูในคำร่ำลือนี้ยโสโอหังเสียจริง