แสงแดดอันอบอุ่นในตอนกลางวันของฤดูหนาวสาดส่องลงมาที่ประตูตงเหมิน คนส่วนใหญ่ที่เข้าวังเพื่อมาเข้าเฝ้าได้ออกจากวังแล้ว แม้ว่าทหารจากกองทัพอวี้หลินที่ทำหน้าที่รักษาการจะยืนตัวตรง แต่สีหน้าของพวกเขากลับผ่อนคลายลง พวกเขาทั้งหมดมองไปที่สวีลิ่งควนซึ่งกำลังพูดคุยอยู่กับสหายร่วมงานสองสามคนอยู่ไม่ไกลด้วยความเบื่อหน่าย
เมื่อเห็นใครบางคนเดินมา พวกเขาก็เก็บสีหน้ากลับมาเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้
สีหน้าของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
สวีลิ่งควนทักทายผู้คนด้วยรอยยิ้ม ฮูหยินห้าและแม่นมกู้ที่อุ้มจิ่นเกอที่คลุมตัวด้วยเสื้อคลุมบุหนังกระรอกกำลังยืนอยู่ที่ประตูตงเหมิน แต่ว่ากลับไม่เห็นเงาของสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงสับสนเล็กน้อย ไท่ฮูหยินหันไปกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับสืออีเหนียง สวีลิ่งควนที่เห็นไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงแล้วก็หันไปพูดคุยกับสหายร่วมงานสองสามประโยค
สหายร่วมงานของเขามองมาทางไท่ฮูหยินแล้วโค้งคำนับก่อนจะเดินไปด้วยกัน
สวีลิ่งควนเดินมาหา
ฮูหยินห้าเห็นดังนั้นก็มองไปตามสายตาของสหายร่วมงานของสวีลิ่งควนจึงพบว่าไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงออกมาจากประตูตงเหมินแล้ว
“ท่านแม่!” นางรีบเดินไปหา
แม่นมกู้เห็นดังนั้นก็อุ้มจิ่นเกอแล้วเดินตามมาด้วย
ฮูหยินห้าประคองไท่ฮูหยิน “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
ความกังวลปรากฏขึ้นในแววตาของไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นขันทีที่เดินตามพวกนางออกมา สีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยยิ้มอย่างมีเมตตา
“พี่สี่ของเจ้าเล่า” น้ำเสียงไม่ได้เป็นกังวลแต่ฟังดูอ่อนโยนอย่างมาก
“ฮ่องเต้ได้ประทานรางวัลแก่จิ่นเกอมากมาย” สวีลิ่งควนที่เดินมายิ้มแล้วพูดว่า “พี่สี่ไปลงนามเอกสารรับผิดชอบทรัพย์สินที่กรมพระราชวังกับขันทีแล้วขอรับ”
สีหน้าของสืออีเหนียงกับไท่ฮูหยินผ่อนคลายลง รอยยิ้มของไท่ฮูหยินดูสงบมากขึ้น สืออีเหนียงเดินไปหาแม่นมกู้เงียบๆ แล้วกระซิบถามว่า “จิ่นเกอสบายดีหรือไม่”
แม่นมกู้รีบตอบว่า “กำลังหลับสนิทเลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเปิดผ้าคลุมออกมองดูบุตรชาย
เมื่อเห็นว่าใบหน้าเล็กแดงระเรื่อของจิ่นเกอดูมีความสุข ความรู้สึกไม่สบายในใจของนางก็สงบลงเล็กน้อย
ขันทีผู้นั้นคำนับสวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าสวี เซี่ยนจู่ ช่างบังเอิญเสียจริง ฮองเฮาก็ได้ประทานรางวัลแก่คุณชายน้อยหกมากมายเช่นกัน…แม้ว่าอากาศจะหนาว แต่ก็ต้องขอให้ไท่ฮูหยิน ใต้เท้าสวี หย่งผิงโหวฮูหยินและเซี่ยนจู่รอสักประเดี๋ยว พอท่านโหวมาแล้วค่อยไปลงนามเอกสารรับผิดชอบทรัพย์สินที่กรมพระราชวังกับพวกเราอีกครั้งแล้วค่อยออกจากวังก็ยังไม่สาย”
สวีลิ่งควนได้ยินดังนั้นก็คำนับขันทีผู้นั้น “รบกวนกงกงให้ต้องรอแล้ว” พูดพลางหยิบถุงเงินสองถุงออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือขันทีทั้งสอง
รอยยิ้มของขันทีทั้งสองดูนอบน้อมมากขึ้นกว่าเดิม หนึ่งในสองคนนั้นยังเยินยอพวกเขาอีกด้วย “คุณชายน้อยหกดูดียิ่งนัก ฮองเฮาทอดพระเนตรแล้วก็ไม่รู้ว่าพอพระทัยมากแค่ไหน ยังจำได้ที่ตอนนั้นคนในจวนมารายงานข่าวดี ฮองเฮาพนมมือแล้วเอ่ยอามิตาพุทธอยู่หลายครั้ง! แล้วยังให้หวงกูกูไปจุดธูปสามดอกที่หอพระอีกด้วย”
“กงกงพูดเกินไปแล้ว” ไท่ฮูหยินหัวเราะพลางตอบขันทีผู้นั้น “เพียงแค่หน้าตาดูสะอาดสะอ้านแล้วก็ว่านอนสอนง่าย กินอิ่มแล้วก็นอน นอนอิ่มแล้วก็กิน ไม่เคยงอแงตอนกลางคืน…”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ขันทีอีกคนหนึ่งก็พลันพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวมาแล้ว!”
ทุกคนรีบมองไปทางประตูวัง เห็นสวีลิ่งอี๋สวมหมวกชีเหลียง สวมเสื้อคลุมลายมังกรสีแดงเดินเข้ามา
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาแหลมคม ดูไม่มีความยินดีเลยแม้แต่นิด แต่กลับดูจริงจังอย่างมาก
“พี่สี่!” สวีลิ่งควนตะโกนเรียกอย่างลังเล
สายตาของสวีลิ่งอี๋มองไปที่ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ขันทีทั้งสองรีบเข้าไปคำนับแล้วพูดถึงจุดประสงค์ของพวกเขา
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย ทักทายไท่ฮูหยินก่อนที่จะไปกรมพระราชวังกับขันทีทั้งสอง
สืออีเหนียงและคนอื่นๆ รอมามากกว่าครึ่งชั่วยาม ทุกคนต่างก็หิว จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ออกมา
ไท่ฮูหยินรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสี่กับข้านั่งรถม้าคันเดียวกัน!”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็พยุงไท่ฮูหยินออกจากประตูวัง
รถม้าหลังคาเรียบสีดำขลับของจวนสวีรออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว ไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋ขึ้นรถม้าคันแรก สืออีเหนียงกับแม่นมกู้นั่งรถม้าคันที่สอง สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าขึ้นรถม้าคันสุดท้าย มุ่งหน้าไปที่เหอฮวาหลี่โดยมีองครักษ์ห้อมล้อม
สืออีเหนียงถามแม่นมกู้เสียงเบาว่า “เจ้าอุ้มคุณชายน้อยหกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ตรัสว่าอะไรบ้าง”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ!” ขาของแม่นมกู้สั่นอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ที่นั่งอยู่ในรถม้ายังรู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง “กงกงในวังให้บ่าวรออยู่ที่หน้าประตูพระตำหนัก มีกงกงแซ่เฮ่อผู้หนึ่งมาอุ้มคุณชายน้อยหกเข้าไป แล้วก็เป็นกงกงแซ่เฮ่อที่อุ้มออกมาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถามอย่างครุ่นคิด “แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไปทูลลาฮองเฮาเล่า”
แม่นมกู้เล่าว่า “บ่าวยืนรออยู่ข้างนอกอยู่นาน องค์ชายสามกับองค์หญิงใหญ่ก็มา หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป เฮ่อกงกงก็อุ้มคุณชายน้อยหกออกมา หลังจากนั้นไม่นานท่านโหวกับคุณชายห้าก็ออกมาพร้อมกับขันทีที่ตามมาด้วยอีกสองคนเจ้าค่ะ ” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นสีหน้าของท่านโหวดูแย่มาก แต่คุณชายห้ากลับยิ้มอย่างร่าเริงแล้วยังเขี่ยจมูกหยอกล้อคุณชายน้อยหกอีกด้วย พูดประมาณว่าคุณชายน้อยหกเป็นเศรษฐีน้อย คุณชายน้อยหกที่กำลังหลับอยู่ถูกคุณชายห้ากวนจนตื่น ขมวดคิ้วแล้วร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ท่านโหวเห็นดังนั้นสีหน้าก็ยิ่งดูแย่มากขึ้นกว่าเดิมจึงให้คุณชายห้าไปหาไท่ฮูหยิน คุณชายห้าได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่าไท่ฮูหยินอยู่ที่ตำหนักฮองเฮา ต้องไปทูลลาหรือไม่ ท่านโหวไม่พูดอะไรสักคำก็เดินออกไปแล้ว บ่าวไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินตามท่านโหวไป ขันทีทั้งสองตะโกนเรียกท่านโหวอยู่ข้างหลังสองสามครั้ง พอเห็นว่าท่านโหวไม่สนใจก็เลยตามพวกเรามาที่ประตูตงเหมินด้วย ท่านโหวหาที่สำหรับหลบลมให้บ่าวยืนอุ้มคุณชายน้อยหกรออยู่ที่นั่น ขันทีทั้งสองเห็นว่าสีหน้าของท่านโหวดูไม่ดี พวกเขาจึงเพียงแค่รับคำแล้วยืนอยู่เป็นเพื่อนพวกเรา ผ่านไปสักพักใหญ่คุณชายห้ากับฮูหยินห้าก็มา บอกว่าฮองเฮายังพูดคุยอยู่กับไท่ฮูหยินและฮูหยิน เขาได้ส่งขันทีน้อยไปรายงานแล้ว ท่านโหวได้ยินดังนั้นก็ให้ฮูหยินห้าอยู่กับบ่าวและคุณชายน้อยหก ส่วนท่านโหวก็ไปที่กรมราชกิจภายในกับขันทีทั้งสองเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ่งฟังก็ยิ่งงวยงง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋จะพาลแม้กระทั่งฮองเฮา
กว่าจะกลับมาถึงจวน หลังลงจากรถม้าสวีลิ่งอี๋นั้นท่าทางดูผ่อนคลาย แต่สีหน้าของไท่ฮูหยินกลับเคร่งขรึมแทน
สืออีเหนียงแอบรู้สึกประหลาดใจ ช่วยฮูหยินห้าพยุงไท่ฮูหยินขึ้นรถลากกลับเรือนของไท่ฮูหยิน
“พวกเจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด!” ไท่ฮูหยินให้ป้าตู้ปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วหันไปพูดกับบุตรชายและลูกสะใภ้ว่า “พรุ่งนี้พวกเจ้ายังต้องไปเยี่ยมญาติอีก!” จากนั้นก็กำชับอวี้ป่าน “ไปเรียกฮูหยินสองมา! วันตรุษจีนใหญ่เช่นนี้ นางก็อยู่ที่เรือนเสาหวาคนเดียว…พวกเราสองคนจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนกัน!”
“ท่านแม่ ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก” สวีลิ่งควนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานแล้วนั่งลงข้างๆ ไท่ฮูหยิน “ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งครึกครื้น มีแค่ท่านกับพี่สะใภ้สองเพียงสองคนจะไม่เงียบเหงาไปหน่อยหรือ” พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ให้พวกเราเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
ไม่รอให้ไท่ฮูหยินพูด สวีลิ่งอี๋ก็พูดตัดบทสวีลิ่งควน “ท่านแม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พวกเราแยกย้ายกันเถิด! ให้ท่านได้พักผ่อน”
สวีลิ่งควนท่าทางลังเลใจ
ฮูหยินห้าดึงแขนเสื้อสวีลิ่งควน “ท่านแม่ เช่นนั้นอีกสักครู่พวกเราค่อยมาหาท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า
ทุกคนคำนับแล้วถอยออกไป
ฮูหยินห้าถามสืออีเหนียง “ท่านจะไปเมื่อไร” ปีนี้หลัวเจิ้นเซิงกับคุณนายสี่สกุลหลัวฉลองตรุษจีนที่เยี่ยนจิง สืออีเหนียงจึงจะพาเด็กๆ ไปอวยพรตรุษจีนที่ตรอกกงเสียน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไปคารวะไท่ฮูหยินแล้วก็จะออกเดินทางเลย”
ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลสวีมา ไม่ว่าลมจะแรงหรือฝนจะตกนางก็จะไปคารวะไท่ฮูหยินก่อนยามเฉินหนึ่งเค่อ ฮูหยินห้าจึงไม่ได้ถามเวลา ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปคารวะไท่ฮูหยินแต่เช้าหน่อย พวกเราจะได้กลับสกุลเดิมพร้อมกัน”
“ดีเลย!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้าแล้วกลับไปที่เรือนหลักพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
เมื่อเข้ามาในเรือนสวีลิ่งอี๋ก็มีสีหน้านิ่ง กำชับหู่พั่วด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไปอุ้มจิ่นเกอมา!”
หู่พั่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขานรับคำแล้วรีบสาวเท้าไปยังเรือนหน่วนเก๋อทันที
สืออีเหนียงกำลังจะช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อ แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ “ท่านโหว เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ปริปากพูดอะไร แต่ท่าทางกลับเยือกเย็นเล็กน้อย
สืออีเหนียงร้อนใจ กำลังจะถามซ้ำ แม่นมกู้ก็อุ้มจิ่นเกอที่กำลังหลับสนิทเดินเข้ามา
สวีลิ่งอี๋เดินไปรับจิ่นเกอมาวางบนเตียงเตาโดยไม่พูดอะไร แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าของจิ่นเกอ
จิ่นเกอตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้เสียงดัง
สืออีเหนียงรีบเดินไป “ท่านโหว ท่านทำอะไร ระวังลูกจะไม่สบาย! ”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ สีหน้าของเขาตึงเครียด เพียงครู่เดียวก็ถอดเสื้อผ้าจิ่นเกอออกจนหมด จากนั้นก็มองดูร่างกายของเด็กน้อยอย่างละเอียด
สืออีเหนียงรีบถอดเสื้อแขนยาวมาคลุมลูกน้อย พูดเสียงแข็งว่า “ท่านโหว ท่านมีอะไรก็มาคุยกันดีๆ ลูกยังเล็ก หากเป็นหวัดขึ้นมาจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่…” เมื่อแม่นมกู้เห็นดังนั้นก็รีบนำเสื้อคลุมที่สืออีเหนียงพึ่งถอดมาคลุมให้สืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋กลับจับเท้าน้อยๆ ที่โผล่ออกมาจากร่มผ้าของจิ่นเกอมาดูก่อนจะปล่อยมือ
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว กำลังจะถามให้ชัดเจน เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสวีลิ่งอี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขาตอนอยู่ในวัง สืออีเหนียงก็คว้าแขนเขาแล้วตะโกนเรียก “ท่านโหว!”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!” มาถึงตอนนี้สวีลิ่งอี๋พึ่งจะตอบคำถามสืออีเหนียง เขาตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “ตอนที่อยู่พระตำหนักเฉียนชิง ฮ่องเต้กำลังอุ้มจิ่นเกอ องค์หญิงใหญ่ก็วิ่งพรวดเข้ามา ฮ่องเต้ตื่นตระหนก แขนที่ประคองจิ่นเกอชนกับพนักที่ประทับ…จิ่นเกอก็เลยร้องขึ้นมา เฮ่อกงกงอุ้มไปกล่อมอยู่นาน ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่!”
สืออีเหนียงก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาจึงตรวจดูลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของนางอีกรอบ เมื่อพบว่าไม่มีบาดแผลจึงได้วางใจ อยากจะตำหนิสวีลิ่งอี๋สักหน่อย แต่สีหน้าของเขานั้นยังคงเต็มไปด้วยความกังวล จึงได้กลืนคำพูดลงไป ในใจอดคิดขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นสวีลิ่งอี๋จึงสีหน้าไม่ดีมาตลอดทาง
เช่นนั้นเหตุใดไท่ฮูหยินจึงได้ดูเคร่งขรึมหลังจากลงจากรถม้า
นางอยากจะถามอย่างละเอียด แต่จิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นร้องไห้ราวกับว่าใจจะสลาย ทั้งยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า อีกทั้งด้านนอกก็มีบ่าวรับใช้รายงานผ่านผ้าม่านว่า “ทางกรมพระราชวังได้ส่งของขวัญจากฮ่องเต้ ฮองเฮา และไท่จื่อเฟยมาแล้วขอรับ” สวีลิ่งอี๋หอมแก้มจิ่นเกอพลางกำชับนาง “เจ้ารีบช่วยแต่งตัวให้ลูก เดี๋ยวข้าจะไปดูสักหน่อย แล้วก็จะไปเชิญหมอมาตรวจดูจิ่นเกออย่างละเอียดด้วย…”
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” ช่วยแม่นมกู้แต่งตัวให้จิ่นเกอ จากนั้นก็กล่อมบุตรชายที่กำลังร้องไห้งอแง