เฮ่อเหลียนหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า ”ไม่ต้องห่วง พวกข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ต้าสง เจ้าอยู่ข้างๆ แม่นางหลิวเหมือนเดิมก็แล้วกัน จัดการทุกคนที่มาที่นี่ซะ ถ้าพวกเขาคิดจะขัดขวางเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้ปืนที่พกมาได้ทุกเมื่อ”
“ขอรับ” ต้าสงส่งเสียงขานรับอย่างเชื่อฟัง ทุกคำที่เขาเปล่งออกมานั้นหนักแน่นเสียจนทำให้หญ้าที่มุงอยู่บนหลังคาแทบปลิว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีเหตุผลหลายประการที่ทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่คนเดียว เขาดูไม่เหมือนคนที่จะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ เพราะเขาทั้งสูง บึกบึน และยังมีพลังปราณโดดเด่นสะดุดตา ตราบใดที่คู่ต่อสู้ไม่ได้เตรียมการโจมตีมาอย่างดี แค่ตัวเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะล้มทหารจากศาลาว่าการได้นับสิบๆ คน
ตัวตนอันเปรียบเสมือนหมีใหญ่ของต้าสงย่อมทำให้บรรดาทหารจากจวนเยี่ยนพากันอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาสบตากันอย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินใจถอยกลับไปที่จวนเยี่ยนอย่างรวดเร็ว
นายท่านเยี่ยนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอหวังว่าตนจะได้กอดสาวงามยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พาสาวงามมาด้วย เขาก็ถีบทหารของตัวเอง พร้อมกับแผดเสียงว่า ”เจ้าพวกสวะ! แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้!”
“นายท่าน ใช่ว่าพวกข้าไม่ได้ลองนะขอรับ แต่เป็นเพราะผู้ฝึกปราณที่ใต้เท้าเว่ยเพิ่งมอบหมายหน้าที่ให้เฝ้าประตูบ้านผู้เฒ่าหลิวต่างหาก แม้พวกข้าจะพยายามแล้วแต่ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ขอรับ” ทหารนายนั้นกุมท้องของตัวเองเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด และฝืนพูดต่อว่า ”นอกจากนั้นใต้เท้าเว่ยเองก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกข้าจึงไม่สามารถลงมือได้ขอรับ แต่มีข่าวลือว่าเขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลอยู่ แต่พวกข้าก็ไม่รู้ขอรับว่าจุดประสงค์ในการไปที่นั่นของเขาคืออะไร…”
ระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งประกาศดังมาจากนอกห้อง ”ที่ปรึกษาจางมาถึงแล้ว!”
นายท่านเยี่ยนหันหน้ากลับไปและเห็นที่ปรึกษาจางกำลังรีบสาวเท้าเดินเข้ามาพร้อมกับร้องเสียงดังว่า ”ข่าวร้ายขอรับนายท่านเยี่ยน ข่าวร้าย!”
“เกิดอะไรขึ้น พูดช้าๆ สิ!” คนที่พูดขึ้นไม่ใช่นายท่านเยี่ยน แต่เป็นเลี่ยวจือฝู่ เขาเดินออกมาจากห้องพร้อมกับกอดเด็กสาวคนหนึ่งไว้แนบตัว นางดูมีสีหน้าไม่เต็มใจและหวาดกลัวยิ่งนัก แต่นางก็ยอมให้เขาได้ทำตามใจเพราะไม่กล้าขัดขืน
เดิมทีเลี่ยวจือฝู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ แต่น้ำเสียงของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่ถูกที่ปรึกษาจางขัดจังหวะ
ที่ปรึกษาจางรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเปลือกไข่ไม่มีผิดระหว่างที่กล่าวกับเลี่ยวจือฝู่ว่า ”ใต้เท้าเลี่ยวขอรับ จู่ๆ ใต้เท้าเว่ยก็อยากไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขอรับ!”
“ตอนนี้น่ะหรือ” เลี่ยวจือฝู่หรี่ตาอย่างเย็นชา และถามว่า ”เขาตั้งใจจะไปทำอะไรที่นั่น”
ที่ปรึกษาจางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วตอบว่า ”ดูเหมือนเขาจะต้องการขุดร่องน้ำเพื่อให้น้ำจากแม่น้ำไหลมายังพื้นที่สำหรับเพาะปลูกขอรับ”
“แค่นี้หรือ” เลี่ยวจือฝู่เลิกคิ้วขึ้น และถามขึ้นอีกครั้ง ”ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นอีกหรือ”
ที่ปรึกษาจางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปทางนายท่านเยี่ยน ก่อนจะตอบว่า ”ดูเหมือนเขาต้องการที่จะลงโทษนายท่านเยี่ยนด้วยขอรับ”
“ลงโทษข้ารึ!?” ทันทีที่ได้ยินดังนั้น นายท่านเยี่ยนก็ผุดลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ”แม้เขาจะทำแผนการของข้าพัง ข้าก็ยังไม่คิดที่จะตำหนิเจ้าคนแซ่เว่ยเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับคิดจะรายงานพฤติกรรมของข้าให้คนของเมืองหลวงประจำมณฑลรู้รึ! เยี่ยม ยอดเยี่ยมเสียไม่มี! ข้าจะส่งคนไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!”
เลี่ยวจือฝู่ถอนหายใจให้กับความคิดของเขา แล้วตวาดขึ้นว่า ”เหลวไหล! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นขุนนางจากราชสำนัก ถ้าเขาตายทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง มันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับพวกเราได้! เลิกสร้างปัญหาเสียที เจ้าคิดว่าระยะนี้คนจากเบื้องบนยังจับตาดูพวกเราไม่พออีกหรือ!”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ท่านดูเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้สิขอรับ เขากลับเลือกยอมลำบากแทนที่จะสบาย!” นายท่านเยี่ยนว่าพลางยื่นพุงพลุ้ยของตนออกมา น้ำลายของเขากระเด็นไปทั่วระหว่างที่กล่าวว่า ”พวกเราเพิ่งกินข้าวด้วยกันไป ต่อให้เขาโง่แต่ก็น่าจะเข้าใจแล้วนี่ขอรับว่าเขามันระดับไหน และข้าอยู่ระดับไหน แต่เขากลับคิดที่จะจับกุมข้าเสียนี่! เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเขาดูถูกท่านเหมือนกันหรือขอรับ!”
เลี่ยวจือฝู่เป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในห้องนั้น เขาบอกว่า ”เหล่าเยี่ยน เจ้าเป็นคนอารมณ์ร้อนเกินไป คิดให้ดีสิว่าเขาจะสามารถจับเจ้าได้ตามใจชอบหรือ เมื่อไปถึงเมืองหลวงประจำมณฑลแล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้ ใครจะไปอยากพบเขา หากไม่มีเส้นสายและเงินทอง ทหารรักษาการณ์ที่หน้าประตูก็ยังไม่ยอมให้เขาผ่านเข้าไปในนั้นได้แม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการเข้าพบคนที่อยู่ที่นั่นเล่า”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เลี่ยวจือฝู่อธิบาย นายท่านเยี่ยนก็นึกภาพตามในหัว แล้วหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจ จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า ”ท่านพูดถูกขอรับ ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกนะ พอเจ้าคนแซ่เว่ยไปถึงเมืองหลวงของมณฑล เขาจะต้องถูกเมินอย่างแน่นอน! นี่เป็นโอกาสทองที่จะทำลายความตั้งใจของเขาเชียวนะขอรับ! ให้เขาได้รู้ตัวว่าเมืองฟู่ผิงเป็นของใคร! เขาควรจะหุบปากไปเสียถ้ายังยากทำงานอยู่ที่นี่ต่อ มิฉะนั้นเขาได้ปลิวเป็นว่าวแน่!”
“เจ้าคิดถูกแล้ว” เลี่ยวจือฝู่จิบชา ดวงตาของเขายิ่งดำทะมึนระหว่างที่กล่าวขึ้นมาว่า ”สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือเงินจำนวนนั้น เจ้าต้องคิดหาแผนการทำให้มันตกมาอยู่ในมือของพวกเราให้จงได้ มีเพียงเรื่องนั้นเท่านั้นที่จะสามารถทำประโยชน์ให้เราได้มากกว่าสิ่งใด”
นายท่านเยี่ยนฟังแล้วพยักหน้าตามที่เขาพูด…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม แต่คนในจวนเยี่ยนก็ยังคงลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับงานเลี้ยงเลิศหรูของตน
เมืองหลวงประจำมณฑลเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขกว่าที่เมืองฟู่ผิง แต่สิ่งนั้นก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประตูจริงๆ
แต่สิ่งแรกที่นางทำหลังจากถูกปฏิเสธคือการไปพบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางส่ายหน้าพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจว่า ข้านึกว่าพาองค์ชายสามมาด้วยแล้วจะได้รับบัตรผ่านสบายๆ เพราะเขาจะจำท่านได้เสียอีก”
“ขนาดที่เมืองหลวงก็ยังมีขุนนางน้อยคนนักที่เคยเห็นหน้าข้า นับประสาอะไรกับที่นี่ล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเรียบๆ พร้อมกับปลดปล่อยความสง่างามอันยากจะหาใครเทียบได้ออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นเช่นนี้ย่อมไม่เคยพบหน้าองค์ชายสามมาก่อน หากพวกเขารู้ว่า ’ที่ปรึกษาส่วนตัว’ ที่พวกเขาปฏิเสธที่นอกประตูเมืองเป็นใคร พวกเขาคงได้เสียใจในการกระทำนั้นในภายหลังจนอยากตีอกชกหัวตัวเองแน่ๆ
แต่การที่เจ้าหน้านี่ส่วนท้องถิ่นเหล่านี้ไม่เคยเห็นเขามาก่อนนี่เองที่ทำให้แผนการของพวกนางยิ่งได้ผลมากกว่าเดิม
ไม่อย่างนั้น ที่พวกนางอุตส่าห์ลงทุนปลอมตัวมาเช่นนี้ก็คงไร้ความหมาย
แต่…
“ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องหาเส้นสายให้ตัวเองอยู่ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มขึ้นพลางเลี้ยวตรงหัวมุม และมาหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมหรูหราแห่งหนึ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับแหวนเงินบนนิ้วนางเล็กน้อยพลางถามว่า ”ที่นี่เป็นร้านของตระกูลหลี่หรือ”
“สมแล้วที่เป็นท่าน ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากสายตาของท่านไปได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยขณะเดินเข้าไปข้างใน
ธุรกิจร้านอาหารกำลังไปได้ด้วยดี ความจริงแล้วต้องบอกว่ามันกำลังรุ่งเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมีลูกค้าเดินเข้าออกกันมากมาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ที่ชั้นล่าง พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหาใครบางคน
ทันใดนั้นชายพุงพลุ้ยคนหนึ่งที่มีจอกสุราอยู่ในมือก็เกือบจะพุ่งเข้ามาชนนาง ปฏิกิริยาตอบสนองของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นไปอย่างรวดเร็ว นางขยับขาและหลบเขาด้วยความว่องไว
แต่เขาก็ซุ่มซ่ามทำเหล้ากระฉอกจนเปื้อนเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองเข้า
“เจ้านี่มัน!” ชายคนนั้นระเบิดโทสะออกมาทันที ”มีที่ตั้งมากมาย ทำไมเจ้าต้องมายืนตรงนี้ด้วย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางทำเพียงมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับว่าเขาเป็นคนโง่ก็ไม่ปาน
ชายคนนั้นกระตุกยิ้มขึ้น ”เจ้ามองอะไร! เจ้าคนชั้นต่ำ! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเสื้อคลุมตัวนี้ราคาเท่าไหร่ เจ้ามันก็แค่คนบ้านนอก! ตอนนี้เสื้อคลุมข้าเปื้อนเหล้าไปหมดแล้ว และคงซักไม่ออกเสียด้วย! ไหนบอกข้ามาสิว่าเจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ดวงตาเรียวยาวของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง นางตอบว่า ”เป็นเจ้าที่วิ่งเข้ามาชนข้า แต่กลับต้องการให้ข้าจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าหรือ”