คืนนั้น เฉินตันจูพักอยู่ในวังหลวง นางสวมชุดนอนขององค์หญิงจินเหยา นอนอยู่บนเตียงใหญ่ขององค์หญิงจินเหยา
เปลวไฟที่สว่างไสวภายในตำหนักดับลง บรรดานางในปล่อยม่านลงทีละชั้นพลางถอยออกไป
เฉินตันจูเล่าเรื่องการจลาจลในวังหลวงคืนนั้นให้องค์หญิงจินเหยาฟัง
องค์หญิงจินเหยาไม่ตกตะลึงแต่อย่างใด หากแต่ฟังด้วยความเงียบจนจบ จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมา
“ข้ามององค์รัชทายาททะลุปรุโปร่งมานานแล้ว เขาทั้งโง่เขลาทั้งโหดเหี้ยม ไร้หัวจิตหัวใจ ไม่แปลกใจที่เขาจะทำเช่นนี้ต่อเสด็จพ่อ” นางพูดเสียงเบา “เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดว่าเสด็จพี่สามจะทรงสะสมความแค้นไว้ลึกเพียงนี้ เสด็จพี่หกทรงพูดถูก เขามีหัวใจมากเกินไป ไม่เหมือนเสด็จพี่หกที่กระโดดออกไปตั้งแต่ต้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็มองเฉินตันจู
“เจ้ารู้ความแตกต่างของเสด็จพี่หกกับเสด็จพี่สามหรือไม่”
เฉินตันจูหนุนแขนพลันส่งเสียงไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่สนิทกับองค์ชายหก”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ หันข้างมาบีบจมูกของนาง พลางพูด “ความจริงแล้วชีวิตของเสด็จพี่หกยากลำบากกว่าเสด็จพี่สามมาก เขาถูกแม่นมในวังหลวงเลี้ยงจนเติบใหญ่ เขาไม่ได้ถูกความโดดเดี่ยวกลืนกิน หากแต่ดื่มด่ำกับความโดดเดี่ยว เสด็จพี่สามทรงพยายามสุดความสามารถเพื่อความรักของเสด็จพ่อ ส่วนเสด็จพี่หกกลับทรงเลือกปล่อยวาง”
ปล่อยวางหรือ เฉินตันจูครุ่นคิดถึงเรื่องที่ฉู่อวี๋หยงพูดในวันนั้น จำเป็นต้องใส่ใจคนที่ไม่ชอบเจ้ามากเพียงนั้นหรือ เกิดมาเป็นคน ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อคนผู้หนึ่ง
ดังนั้นเมื่อเห็นเสด็จพ่อทรงไร้ความรักเหลือให้เขา เขาก็ไม่เอา ไม่ต้องการความรักของเสด็จพ่อ อีกทั้งไม่เศร้าโศกเพราะเสด็จพ่อทรงไม่รัก
“ก่อนหน้านี้เสด็จพี่หกบอกกับข้า เขาเป็นคนที่ไร้หัวใจ เดิมทีข้าไม่เข้าใจ แต่เวลานี้ข้าเข้าใจแล้ว” องค์หญิงจินเหยาพูดพลันยิ้มอย่างขมขื่น “เขาไร้หัวใจจริงด้วย มองเสด็จพ่อกับบรรดาพี่น้องเข่นฆ่าทำร้ายกันอยู่ด้านข้าง อีกทั้งข้ารู้สึกว่าเขาสามารถมองดูองค์รัชทายาทสังหารทุกคนจนหมด…”
แต่ฉู่อวี๋หยงยังคงออกมือยับยั้งทุกเรื่องได้อย่างทันเวลา องค์หญิงจินเหยาเหลือบมองเฉินตันจู อดยิ้มไม่ได้ อาจเป็นเพราะเฉินตันจูถูกพัวพันเข้ามาในเรื่องนี้
บอกว่าไร้หัวใจแต่ก็ยังมีหัวใจ ความไร้หัวใจของเขาเป็นเพียงการมองทะลุปรุโปร่งเท่านั้น ไม่เท่ากับเขาจะเลือดเย็นจริง หากเขาสามารถพบกับคนที่เขาห่วงใย
“เสด็จพี่หกไร้หัวใจ แต่ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจที่สุด” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบา “อยู่กับเขาสามารถสบายใจได้อย่างมาก”
เฉินตันจูไม่ตอบโต้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่พูดก็ไม่ได้ องค์หญิงจินเหยายิ้มพลันจิ้มแก้มของนางแล้วถามขึ้น “เจ้าว่าใช่หรือไม่ เจ้าไม่สบายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าตามตื๊อเขาเพียงเพราะอำนาจของท่านแม่ทัพ ทั้งประจบทั้งเลือกเขาเป็นบิดาบุญธรรม เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้สึกเชื่อใจเขา”
นางรู้สึกเชื่อใจเขาหรือ เฉินตันจูมองมุ้งที่งดงาม นึกย้อนไปถึงการพบกันครั้งแรกกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขายอมรับปากคำขอแทนที่หลี่เหลียงที่นางเอ่ยออกมาอย่างไม่เตรียมการ
เวลานั้น นางตื่นขึ้นมาจากความอนาถจากอดีตชาติ ถึงแม้จะสังหารหลี่เหลียงได้ แต่ระยะทางข้างหน้ากลับสับสนและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางนั่งอยู่ด้านหน้าของแม่ทัพชราที่กอบกุมความเป็นความตายของบรรดาราษฎรเหมือนกับการเอาไข่ไปปะทะกับหิน ไม่คิดว่าเขาจะยื่นมือออกมา ไม่เพียงไม่ตีนางให้แตก หากแต่วางนางลงบนพื้นอย่างสมบูรณ์
อาจเป็นเพราะจากเวลานั้นเป็นต้นมา นางก็เชื่อใจเขาอย่างสมบูรณ์
“แต่ก็ยังเป็นเพราะอำนาจ” สติของนางโต้เถียง “เพราะอำนาจของเขา หม่อมฉันจึงเชื่อใจเขา”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับ “แล้วฉู่อวี๋หยงเล่า เวลานั้นเสด็จพี่หกของข้าเพิ่งเข้าเมืองหลวง เจ้าก็สนิทกับเขาปานนั้น เขาไม่มีอำนาจเหมือนแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
มีหรือ นางจะสนิทกับฉู่อวี๋หยงได้อย่างไร เวลานั้นนางยังพยายามหลีกเลี่ยงเขาอย่างมาก
“หลีกเลี่ยงหรือ เจ้าไม่อยากให้เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองเสียมากกว่า เมื่อถึงงานชมสวน เขาพูดสิ่งใดเจ้าก็ฟังสิ่งนั้น” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อพูดถึงเรื่องอำนาจ เขายังไม่อาจเทียบเสด็จพี่สามได้ในสายตาผู้คน เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อเสด็จพี่สาม”
เรื่องนี้เฉินตันจูสามารถโต้แย้งได้
“หม่อมฉันไม่ใช่ไม่เชื่อองค์ชายสาม แต่เพราะหม่อมฉันได้รับเงินมาแล้ว เป็นคนต้องมีสัจจะ”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะจนล้มนอนลงบนเตียง เฉินตันจูเองก็หัวเราะขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องมาโกหกข้า คราวนี้เจ้ามาซีจิงก็เพื่อหลีกเลี่ยงเสด็จพี่หกของข้าใช่หรือไม่” องค์หญิงจินเหยาพูด “ข้าไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าจึงต้องหลบเขา”
“มีที่ใดกัน” เฉินตันจูยืนกรานไม่ยอมรับ นางจับมือขององค์หญิงจินเหยา ดวงตากลมออดอ้อน “หม่อมฉันเป็นห่วงองค์หญิง ตั้งใจมาเยี่ยมท่าน”
องค์หญิงจินเหยากุมหน้าอกทำท่าหอบหายใจ
หญิงสาวทั้งสองนอนหัวเราะคิกคักอยู่บนเตียง
องค์หญิงจินเหยาไม่พูดสิ่งใดอีก นางพูดเพียง “เจ้าคิดว่าคนสองคนกลายเป็นคนเดียว เจ้าไม่รู้จะเผชิญหน้าอย่างไร ทว่าภายใต้ตัวตนทั้งสองนั้นมีแค่เขาคนเดียว”
พูดพลางลูบหัวนาง
“เอาเถิด ข้าไม่บังคับเจ้า เจ้าค่อยๆ ปรับตัว อย่าคิดมาก”
นางชะเง้อตัวเป่าเทียนให้ดับลง ภายในห้องตกอยู่ในความมืด
เฉินตันจูมองท้องฟ้ายามค่ำคืน สองตัวตนเป็นคนเดียวกันหรือ แม่ทัพหน้ากากเหล็ก ฉู่อวี๋หยง โอย นางไม่อาจมองเป็นคนเดียวกันได้เลยเสียจริง นางมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นบิดาบุญธรรมจริงๆ !
นางยกแขนปิดไว้บนหน้า ข่มตาหลับ
เดิมทีคิดว่าจะนอนไม่หลับ ไม่คิดว่านางจะผล็อยหลับไปจนเช้าของอีกวัน เมื่อเฉินตันจูตื่นขึ้นมา หมอนถูกนางโยนไว้ด้านข้าง องค์หญิงจินเหยาที่อยู่ข้างกายก็หายไป
เฉินตันจูไม่รีบร้อนที่จะลุกขึ้น นางดึงหมอนมากอดไว้ พลันกลิ้งไปกลิ้งมา จนกระทั่งได้ยินเสียงสนทนาจากด้านนอกตำหนัก เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่ง กับชายผู้หนึ่ง เสียงของหญิงสาวคงจะเป็นองค์หญิงจินเหยา เสียงชาย…
เฉินตันจูอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจพลันเงี่ยหูฟัง ในที่สุดก็ได้ยินชัดขึ้นมาเล็กน้อย
“…ขอบพระทัยองค์หญิง ร่างกายของกระหม่อมยังดี ไม่เหน็ดเหนื่อย”
เฉินตันจูหันควับ นางกอดหมอนพลันกลิ้งลงจากเตียง
ท่านพ่อ! ท่านพ่อ…
…
เสียงเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในตำหนักเมื่อถูกส่งออกไปด้านนอกตำหนักก็แผ่วเบาอย่างมาก แต่องค์หญิงจินเหยาที่สังเกตอยู่ตลอดได้ยินในทันที มุมปากของนางยกยิ้มขึ้น มองแม่ทัพชราที่ยืนอยู่ตรงข้าม
แม่ทัพชราสวมชุดเกราะ ใบหน้าชราเปรอะเปื้อน เขาที่เดิมทีกำลังพูดอยู่นั้นชะงักไป
“ท่านแม่ทัพเฉินเชิญนั่ง” องค์หญิงจินเหยาพูด พลันเรียกบรรดาขันทีและนางในเดินขึ้นหน้า ทั้งพระราชทานชาและสำรับ
จนกระทั่งเฉินเลี่ยหู่กินข้าวเสร็จ ขอตัวทูลลาออกไป เฉินตันจูก็ไม่ได้ออกมา
องค์หญิงจินเหยาเดินเข้ามาภายในตำหนักอย่างสงสัย เห็นเฉินตันจูสวมชุดนอนนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองตัวเองในกระจกพลันเหม่อลอย
“ตันจู เจ้าทำอันใด” องค์หญิงจินเหยาถาม
เฉินตันจูมองนางผ่านกระจก ถามเสียงเบา “ท่านพ่อหม่อมฉันมาหรือ”
สีหน้าของหญิงสาวทั้งน้อยใจทั้งกังวล องค์หญิงจินเหยารับรู้ถึงอารมณ์ทั้งดีใจทั้งกลัวของนางในเวลานี้ จึงไม่หยอกล้ออีก หากแต่พยุงไหล่ของนางพลันยิ้มขึ้น “ใช่ ท่านลุงเฉินอยู่ทางชายแดนตลอด ทหารซีเหลียงถอยทัพออกไปแล้ว แต่ท่านลุงเฉินยังจะไล่ล่าพวกเขาไปไกลร้อยลี้ อีกทั้งยังให้ข้าถวายฎีกาต่อราชสำนัก เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปได้ ต้องให้ท่านอ๋องซีเหลียงคุกเข่าอ้อนวอน”
เฉินตันจูภายในกระจกเผยยิ้ม ท่านพ่อยังไม่สลายความมุ่งมั่น เมื่อสวมชุดเกราะและจับดาบ เขายังคงเป็นเสือร้ายตัวเดิม
“แต่ว่าเรื่องนี้ไม่รีบ” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับมาพอดี ข้าจึงให้ท่านลุงเฉินกลับมาด้วย เจรจาเรื่องนี้ก่อน ค่อยให้พวกเจ้าพ่อลูกได้พบหน้ากัน”
เฉินตันจูบีบมือพลันก้มหน้า “ท่านพ่อคงไม่อยากพบหม่อมฉัน”
องค์หญิงจินเหยาตบไหล่ของนาง “ไม่พบจะรู้ได้อย่างไร! วางใจ รอพบท่านลุงเฉิน หากเขาจะโบยหรือฆ่าเจ้า ข้าก็จะ…รั้งเขาไว้ ให้เจ้าหนี”
เฉินตันจูหัวเราะออกมา
องค์หญิงจินเหยาไม่รอนางพูดอีก นางเรียกบรรดานางในเข้ามาสางผมเปลี่ยนชุดให้เฉินตันจู จากนั้นจูงนางเดินออกมา
เฉินเลี่ยหู่กำลังพูดคุยกับบรรดาขุนนางของซีจิงในตำหนักด้านหน้า เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงเสด็จมา ทุกคนต่างรีบถวายบังคมด้วยความพร้อมเพรียง เมื่อเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็พบเข้ากับหญิงสาวด้านหลังองค์หญิงจินเหยา
หญิงสาวอายุสิบแปดสิบเก้าปี ปากแดง ฟันขาว สองแก้มแดงระเรื่อ
ทุกคนต่างรู้ว่าเฉินตันจูมาซีจิงแล้ว แต่ทุกคนก็ได้พบกับหญิงสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้เป็นครั้งแรก ดูท่าทางอ่อนแอ ไม่เหิมเกริมแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำให้คนเกิดความรู้สึกชื่นชอบอย่างอดไม่ได้…แต่ก็อาจเป็นสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ถูกหลอกลวง
สายตาของเฉินเลี่ยหู่ก็มองนาง แต่ก็เบนหนีทันที
องค์หญิงจินเหยาไม่พูดสิ่งใด นางซักถามเรื่องการเจรจาไล่ล่าทหารซีเหลียงข้ามผ่านเขตชายแดนเป็นอย่างไร ทุกคนต่างตอบคำถาม องค์หญิงจินเหยาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ให้พวกเขาเขียนฎีกา นางจะมอบให้ราชสำนักด้วยตนเอง
เมื่อเรื่องนี้กำหนดลงแล้ว ทุกคนจึงขอตัว องค์หญิงจินเหยาเรียกเฉินเลี่ยหู่เอาไว้
“ตันจูนำกองกำลังมา” นางพูดพลันอมยิ้ม
เฉินเลี่ยหู่มองไปทางเฉินตันจู
เฉินตันจูก้มหน้าลง ก่อนจะคารวะพลันเรียกขาน “ท่านพ่อ”
เฉินเลี่ยหู่ไม่พูดสิ่งใด สายตาก็เบนหนี
เฉินตันจูไม่กล้าเงยหน้าขึ้น นางสามารถพูดจาคล่องแคล่วฉะฉานเมื่อเผชิญหน้ากับผู้สูงส่งอย่างฮ่องเต้ แม่ทัพหน้ากากเหล็ก คนที่ผ่านไปมาบริเวณเชิงเขาดอกท้อ แต่เวลานี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองโง่เขลา แม้แต่เรียกขานท่านพ่อยังตะกุกตะกัก
นางไม่ได้เกร็ง แต่นางกังวลว่าจะทำให้ท่านพ่ออึดอัด ทำให้ท่านพ่อโกรธ ทำให้ท่านพ่อทำตัวไม่ถูก…
องค์หญิงจินเหยาพูด “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ แม่ทัพเฉิน ในเมื่อท่านกลับมาแล้วก็กลับจวนไปดูเสียเถิด คงจะมีสงครามครั้งใหญ่อีก”
เฉินเลี่ยหู่โน้มตัวตอบรับ พลันหันตัวทำท่าจะจากไป
องค์หญิงจินเหยาพูดอีกครั้ง “ตันจู เจ้าตามท่านพ่อเจ้ากลับไปเถิด ข้าจะไปหาเจ้าภายหลัง”
ฮะ? เฉินตันจูผงะไป เช่นนี้หรือ นางเงยหน้ามองเฉินเลี่ยหู่ ถึงแม้เฉินเลี่ยหู่ไม่ได้มองนาง แต่เขาก็ชะงักฝีเท้า
เฉินตันจูมององค์หญิงจินเหยาอีกครั้ง องค์หญิงจินเหยาส่งสายตาให้นาง
“เพคะ” เฉินตันจูตอบรับ จากนั้นลองก้าวขาออกไป
เมื่อนางก้าวขาออกมา เฉินเลี่ยหู่ก็เดินออกไปด้านนอกต่อ
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…เฉินตันจูเดินตามเฉินเลี่ยหู่ออกจากตำหนักใหญ่ไป เมื่อข้ามพ้นธรณีประตู พวกเขาต่างเดินออกจากพระราชวังอย่างเชื่องช้า
ด้านนอกพระราชวัง ม้าตัวใหญ่ของเฉินเลี่ยหู่รอคอยอยู่ ส่วนอีกทาง อาเถียนจูงม้าเอาไว้ จู๋หลินก็เคลื่อนรถม้ามารออยู่
“คุณหนู คุณหนู” อาเถียนอดไม่ได้ที่จะฉีกปากยิ้มให้เฉินตันจู แต่เมื่อมองเฉินเลี่ยหู่ที่พลิกตัวขึ้นม้า นางก็กดเสียงต่ำ
เฉินตันจูเดินเข้าไป อาเถียนส่งม้าตัวน้อยให้นาง พลันพูดเสียงเบา “คุณหนูท่านขี่ม้าตามนายท่าน ข้านั่งรถ” พูดพลางวิ่งไปข้างรถ ก่อนจะถูกจู๋หลินดึงขึ้นไป
เมื่อเห็นเฉินเลี่ยหู่ขี่ม้าออกเดินทางแล้ว แต่ยังคงไม่ได้พูดห้ามนาง เฉินตันจูก็ขึ้นม้าไล่ตามไป
ยังคงคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลัง ไม่นานนักก็ข้ามผ่านประตูเมือง ออกจากถนนไป
เฉินตันจูอดไม่ได้ที่จะมองซ้ายขวา ถึงแม้จะบอกว่ากลับซีจิง แต่ความจริงแล้วไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้ว นางก็มาเป็นครั้งแรก นางชื่นชมทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย ม้าตัวน้อยที่ขี่อยู่ก็ซุกซน โดยเฉพาะเมื่อเดินอยู่ท่ามกลางถนนเล็กในชุมชน มันก็อดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยตัวเอง เมื่อเห็นต้นผลไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า มันก็วิ่งผ่านเฉินเลี่ยหู่ไป…
เฉินตันจูตั้งสติกลับมาได้เมื่อเคลื่อนตัวผ่านบิดาไป นางถลึงตาโตมองบิดา
เฉินเลี่ยหู่ก็เอียงหน้ามามองนาง แต่ไม่พูดสิ่งใด เขาเบนสายตากลับมามองด้านหน้า
เฉินตันจูหยุดม้าเอาไว้ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว แต่ความอบอุ่นกระจายไปทั่วก้นบึ้งหัวใจ สายตาของท่านพ่อไม่มีความรังเกียจ ไม่มีความเย็นชา ไม่มีความโกรธ ไม่มีความระอา สายตาของเขาสงบ…
ม้าตัวน้อยข่วนเท้าไปมาด้วยความรำคาญเรียกสติของเฉินตันจูกลับมา นางมองเฉินเลี่ยหู่ที่จากไปไกล เฉินตันจูเม้มปาก ภายในดวงตาฉายแววดีใจ นางเร่งม้าหนึ่งที
ม้าตัวน้อยวิ่งสะบัดเท้าอย่างดีใจ ผ่านเฉินเลี่ยหู่ไป วิ่งอยู่ด้านหน้าเขา สักพักก็วิ่งกลับมา
ประเดี๋ยววิ่งตามอยู่ด้านหลังเฉินเลี่ยหู่ ประเดี๋ยววิ่งไปอยู่ด้านหน้า
ไม่ว่าเฉินตันจูจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างกายอย่างไร เฉินเลี่ยหู่ที่ขี่อยู่บนม้าตัวใหญ่ก็นิ่งดั่งภูผา
จู๋หลินที่ติดตามอยู่ด้านหลังเห็นฉากนี้ก็นึกถึงสุนัขทหารที่เลี้ยงเอาไว้เมื่อก่อน สุนัขตัวน้อยมักจะเล่นซุกซนเช่นนี้อยู่ด้านหลังของสุนัขตัวใหญ่
ช่าง…
ในขณะที่จู๋หลินหมดคำพูดนั้น เขาก็เห็นม้าตัวน้อยที่ซุกซนอยู่ด้านข้างเฉินเลี่ยหู่หยุดลง พลันเกร็งคอมองไปทางด้านหน้า จู๋หลินก็มองไปตาม ด้านหน้ามีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านเรือนกระจายอยู่หลายสิบครอบครัว เวลานี้บนถนนใหญ่ที่เชื่อมต่อกับชุมชน มีคนผู้หนึ่งกำลังเดินมา
คนผู้นี้เป็นหญิงสาวรูปร่างอรชร ในอ้อมกอดของนางมีเด็กคนหนึ่ง
ดวงตาของเฉินตันจูพร่ามัวในทันที
“ท่านพี่…” นางตะโกน พลันเร่งม้ามุ่งไปทางด้านหน้า
เมื่อเห็นม้าตัวน้อยวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เฉินเลี่ยหู่ที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ เขาสะบัดบังเหียนเบาๆ ม้าสีดำที่เดินอย่างไม่รีบร้อนเร่งฝีเท้าขึ้นไป มุ่งไปยังทิศทางของสองพี่น้อง