เฉินตันจูที่กลับถึงเรือนว่างในทันที
แต่ละวันนางไม่มีเรื่องใดให้ทำ ไม่นอนก็พาเด็กในชุมชนและเฉินเสี่ยวหยวนเที่ยวเล่น
เริ่มแรกบรรดาเด็กๆ ต่างไม่เชื่อใจหญิงสาวอย่างเฉินตันจูมาก
“ข้าเป็นถึงบุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่เชียวนะ” เฉินตันจูถือกิ่งไม้สั่งสอนพวกเขาด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ไม่ปิดบังพวกเจ้า ข้าเคยฆ่าคน”
เคยฆ่าคนหรือ เรื่องนี้เก่งกาจมากสำหรับเด็กๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมเล่นกับนาง อีกทั้งยังมอบตำแหน่งแม่ทัพให้แก่นาง
เฉินตันจูย่อมไม่มีทางเป็นแม่ทัพ แต่เพื่อไม่ให้อับอายขายหน้า นางจึงให้จู๋หลินมาเป็นรองแม่ทัพ
จู๋หลินโมโหจนแทบคลั่ง…ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว แต่เขายังต้องตกที่นั่งลำบากมาเล่นกับเด็กๆ อย่างนั้นหรือ
“คุณหนูตันจู ท่านอย่าลืมภารกิจของท่าน” เขาเตือน
เฉินตันจูพิงต้นไม้พลันพูดด้วยความเกียจคร้าน “ภารกิจของข้าคือนำกองกำลังมา เวลานี้เสร็จสิ้นแล้ว”
ก็จริง จู๋หลินจึงพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรารีบกลับเมืองหลวงเถิด”
เฉินตันจูเหลือบมองเขา พลันพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่กลับเมืองหลวง ที่นี่เป็นบ้านของข้า เหตุใดข้าจึงต้องกลับเมืองหลวง”
นางเน้นย้ำคำว่าเมืองหลวง
จู๋หลินผงะ ใช่ เฉินตันจูพูดถูก แล้วเหตุใดเขาจึงมาที่นี่ เฉินตันจูกลับบ้านแล้ว ไม่ต้องการองครักษ์แล้ว…จู๋หลินนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง คนทั้งคนราวกับถูกฟ้าผ่า
ท่านแม่ทัพไม่ต้องการเขาแล้ว!
จู๋หลินไม่อยากรอแม้แต่น้อย เขาต้องการเขียนจดหมายถามท่านแม่ทัพทันที
เฉินตันจูยังพูดไม่ทันจบ นางก็เห็นจู๋หลินวิ่งหนีไปด้วยใบหน้าซีดเผือด อาเถียนที่ทำหน้าที่ถือธงถามด้วยความสงสัย “จู๋หลินเป็นอันใดไป เหตุใดจึงตกใจเช่นนี้”
“ให้เขาเป็นรองแม่ทัพก็ตกใจเพียงนี้แล้วหรือ” เฉินตันจูพูด นางขี้เกียจคิด…นับแต่กลับบ้านมา สมองของนางก็ไม่อยากจะคิดเรื่องใดอีกต่อไป “ไม่มีเขา พวกเราก็สามารถเอาชนะเด็กกลุ่มนี้ได้!”
พูดพลางแหงนหน้ามองต้นไม้
“เสี่ยวหยวน เห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าพวกนั้นแล้วหรือไม่”
เฉินเสี่ยวหยวนนั่งอยู่บนต้นไม้ ใบหน้าเล็กเคร่งขรึม เขาทำมือไม่มีปัญหาให้นาง
…
แต่เฉินตันจูยังไม่ทันได้รับชัยชนะ การละเล่นในครั้งนี้ก็ถูกขัด
“คุณหนูใหญ่ให้พวกท่านรีบกลับมา” เสี่ยวเตี๋ยยืนตะโกนอยู่บนแปลงนา พลันกำชับ “อย่าวิ่งจากทางนั้น ผักที่เพิ่งปลูกกำลังจะงอกแล้ว”
เฉินตันจูส่ายหัวอย่างระอา “เสี่ยวเตี๋ย เจ้าทำให้ตำแหน่งของพวกข้าถูกเปิดเผย”
เอาเถิด นางทำได้เพียงยอมแพ้ ให้เด็กๆ แยกย้ายกันไป ส่วนตนเองจูงเสี่ยวหยวนเดินกลับมา
“ท่านพี่ยังคงชอบพร่ำบ่นเหมือนแต่ก่อน” นางบ่น
เฉินเสี่ยวหยวนพยักหน้าตาม
เสี่ยวเตี๋ยทั้งโกรธทั้งขบขัน “คุณหนูรอง ท่านต่างหากที่เหมือนเมื่อก่อน พาให้เสี่ยวหยวนเสียไปด้วยแล้ว”
เมื่อเฉินตันจูกลับถึงเรือน นางถึงได้รู้ว่าเหตุใดเฉินตันเหยียนจึงเรียกนางกลับเรือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด เมื่อนางเดินเข้าประตูก็เห็นคนนั่งอยู่…เขาหันหลังให้กับประตู กำลังจะรับชาจากมือของเฉินตันเหยียน
“จางเหยา!” เฉินตันจูตะโกน พลันพุ่งเข้าไปด้วยความดีใจ
จางเหยารีบลุกขึ้นโดยไม่ทันรับชา เขาหันมายิ้มให้เฉินตันจู “คุณหนูตันจู ไม่พบกันนานเลย”
ไม่พบกันเป็นเวลานานมากแล้วเสียจริง เฉินตันจูพินิจเขา เห็นเขาทั้งคล้ำทั้งผอม… “เหตุใดจึงผอมเพียงนี้ ข้าให้หลิวเวยบอกเจ้าให้ระวังสุขภาพไม่ใช่หรือ เฮ้อ อาการไอของเจ้าเล่า กำเริบอีกหรือไม่ ข้าทำยาให้เจ้าอีกดีกว่า เพื่อป้องกัน เฮ้อ อีกทั้งครั้งนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าได้ยินองค์หญิงจินเหยาบอกว่าเจ้าหนีออกมากับนาง ช่างอันตรายเหลือเกิน เฮ้อ…”
เมื่อนางเดินเข้าเรือนมาก็พูดไม่หยุด จางเหยามองนางด้วยรอยยิ้ม ต้องการพูดก็แทรกไม่ได้ จนกระทั่งมีคนกระแอมไอหนักๆ หนึ่งที
“เฉินตันจู! เจ้าเห็นบุรุษดีกว่าสหาย เจ้าเห็นแต่จางเหยา ไม่เห็นข้าหรือ”
เฉินตันจูผงะ ก่อนจะเห็นองค์หญิงจินเหยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางพูดหน้าตาย “เพราะท่านพี่บังหม่อมฉันเอาไว้”
เฉินตันเหยียนยิ้มแต่ไม่พูด
องค์หญิงจินเหยายื่นมือดึงนางออกจากข้างกายจางเหยา “เขาหนีออกมากับข้า เขาอันตรายมาก ข้าไม่อันตรายอย่างนั้นหรือ”
เฉินตันจูรีบพูด “อันตราย วันนั้นหม่อมฉันพบท่าน หม่อมฉันก็ร้องไห้ไม่ใช่หรือ” พูดพลางยิ้มออกมา “องค์หญิงทรงเป็นอันใด เหตุใดท่านจึงดูไร้เหตุผล”
นางไม่ได้พูดสิ่งใดผิดใช่หรือไม่
องค์หญิงจินเหยากระแอมไอเสียงเบา “ผู้ใดให้เจ้าโทษข้าที่ทำให้จางเหยาอันตรายกัน”
เฉินตันจูรีบโบกมือ “ไม่ๆ หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น พวกท่านต่างอยู่ในอันตรายเพียงนั้น หม่อมฉันจะโทษท่านได้อย่างไร”
องค์หญิงจินเหยากดให้นางนั่งลง “นายน้อยจางหายบาดเจ็บแล้วก็ไปดูภูเขาดูน้ำ ข้าเรียกให้เขากลับมาเพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ”
เฉินตันจูกวักมือเรียกจางเหยา “รีบนั่งลง”
จางเหยายิ้มพลันพยักหน้า ก่อนจะแนะนำต่อเฉินตันจู “ก่อนหน้านี้ข้าพักอยู่ในเรือนของท่านลุงสอง ข้าพักรักษาตัวที่นี่”
เฉินตันจูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถือว่าเป็นเรือนของตนเอง” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานั้นเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย อีกทั้งยังแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน นางจึงยื่นมือเพื่อจะจับชีพจร “ข้าดูว่ามีโรคที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่”
องค์หญิงจินเหยากระแอมไออยู่ด้านข้าง
เฉินตันจูหันมามองนาง “องค์หญิงทรงเป็นอันใดเพคะ” จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าองค์หญิงกระโดดน้ำหนีตายมาพร้อมกับจางเหยา “วันนั้นมัวแต่คุยเรื่องอื่นกับท่าน ลืมตรวจชีพจรให้ หม่อมฉันตรวจให้จางเหยาเสร็จแล้วจะตรวจให้ท่านด้วย”
องค์หญิงจินเหยาไม่รู้จะร้องไห้หรือจะหัวเราะดี “ผ่านไปนานเพียงใดแล้ว หากมีโรคที่ซ่อนเร้น เวลานี้พวกเราจะนั่งพูดคุยกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
จางเหยาพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบคุณคุณหนูตันจู ข้าหายดีแล้วจริงๆ ข้าจดจำคำของท่านเสมอ ไม่ให้โรคไอกำเริบอีก”
เฉินตันจูโล่งใจ พลันพยักหน้าด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็ดี จางเหยา เจ้าต้องจำไว้ อย่าได้ชะล่าใจ รักษาสุขภาพให้ดี จึงจะสามารถทำเรื่องที่เจ้าชอบได้”
จางเหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจดจำไว้เสมอ”
องค์หญิงจินเหยากระแอมไออีกครั้ง “ยังไม่ฟังข่าวจากเมืองหลวงของข้าอีกหรือ เจ้าไม่อยากรู้ว่าเวลานี้เมืองหลวงเป็นอย่างไร เสด็จพี่หกของข้าเป็นอย่างไรหรือ เจ้าไม่กังวลเอาเสียเลย”
เพราะไม่มีความจำเป็นต้องกังวล ฉู่อวี๋หยงมีความสามารถเพียงนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถเป็นอุปสรรคต่อเขาได้เฉินตันจูตอบรับ พลันนั่งตัวตรงเรียบร้อย “รีบบอกหม่อมฉันมา เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เฉินตันเหยียนที่มองอยู่ด้านข้างยิ้มบาง นางรับเหยือกชามาจากเสี่ยวเตี๋ยพลางวางลง ปล่อยให้เด็กๆ คุยกันเอง ส่วนตนเองนำเสี่ยวเตี๋ยจากไป
เสี่ยวเตี๋ยหันกลับมามอง นางอดพูดกับเฉินตันเหยียนเสียงเบาไม่ได้ “คุณหนูรองซื่อเพียงนั้น นางมองไม่ออกว่าองค์หญิงจินเหยาและจางเหยา…”
นางซื่อเพียงนี้ เหตุใดจึงทำเรื่องน่ากลัวมากมายเพียงนั้นในเมืองหลวงออกมาได้
เฉินตันเหยียนยิ้มอ่อนโยน “เพราะว่านางอยู่ในบ้าน”
คุณหนูตันจูต้องรับสงครามคนเดียวในเมืองหลวง อีกทั้งยังต้องปกป้องคนในครอบครัวอย่างพวกเขา ตาดูหกทางหูฟังแปดทิศ ทั้งตัวเต็มไปด้วยหนาม แหวกโค่นดงหนาม ไม่อาจมีความผิดพลาดได้แม้แต่น้อย แม้แต่ตอนนอนสมองก็คงกำลังครุ่นคิด
แต่เวลานี้ช่วงเวลาที่ยากลำบากล้วนผ่านไปแล้ว ตันจูของนางกลับมาถึงเรือนก็เหมือนแมวที่นอนอาบแดด ทั้งเกียจคร้านทั้งผ่อนคลาย
แต่ว่ามีบางเรื่องไม่คิดก็ไม่ได้ ดู ท่านนั้นให้องค์หญิงจินเหยามาเตือนแล้วกัน
องค์หญิงจินเหยานำข่าวมามากมาย หรืออาจบอกว่า นับแต่เฉินตันจูออกจากเมืองหลวง ทุกเรื่องในเมืองหลวงก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นคือบรรดาขุนนางเข้าวังหลวง ฉู่อวี๋หยงก็ไม่ได้ปิดบัง เขาให้พวกบรรดาขุนนางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ถึงแม้ฮ่องเต้ยังทรงสลบอยู่ แต่ก็ถูกฉู่อวี๋หยงใช้ยาปลุกให้ฟื้นขึ้นมา ให้เขาสั่งการเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน
ฮ่องเต้หมดหนทาง ทำได้เพียงตั้งสติ องค์รัชทายาทและองค์ชายห้าสมรู้ร่วมคิดบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ คราวนี้ความผิดขององค์รัชทายาทที่ถูกปลดก็ไม่อาจปิดบังได้อีก
ถึงแม้ฮองเฮาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่นางยังคงถูกปลดฐานันดรศักดิ์ แม้แต่สุสานหลวงก็ไม่ได้เข้า หากแต่ฝังไว้อีกสถานที่หนึ่ง องค์ชายห้าฝังร่วมกับนาง องค์รัชทายาทที่ถูกปลดยังรักษาชีวิตหนึ่งเอาไว้ ถูกลงโทษไปเฝ้าสุสานให้ฮองเฮา
ฮ่องเต้ไม่ได้ซักโทษฉู่ซิวหยงที่ลอบปลงพระชนม์ตนเอง แต่เนื่องจากการกระทำของเขาก่อให้เกิดวิกฤตใหญ่ ดังนั้นจึงถูกลงโทษไม่เบา อีกทั้งยังถูกยึดบรรดาศักดิ์ พระสนมสวีก็ถูกขับไล่ออกจากวังหลวง
เมื่อลงโทษคนที่สมควรได้รับโทษ ที่เหลือก็คือพระราชทานรางวัลแล้ว…มีเพียงองค์ชายคนเดียวที่สามารถพระราชทานรางวัลได้
ฉู่อวี๋หยงถูกสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท ความหมายของฮ่องเต้คือสละราชบัลลังก์ทันที แต่ถูกบรรดาขุนนางร้องห้ามเอาไว้…ทั่วไปแล้วล้วนต้องห้ามถึงสามครั้ง
“เสด็จพ่อย่อมต้องสละราชบัลลังก์” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบา แต่นางไม่ได้เสียใจนัก นางรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เสด็จพ่อสามารถทรงพักรักษาตัวโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว “ราวสิ้นปีก็เสร็จสิ้นหมดแล้ว”
ช่วงปีใหม่ เก่าไปใหม่มา เป็นวันที่เหมาะสมที่สุด
เวลานั้นฉู่อวี๋หยงก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว
ฉู่อวี๋หยงจะเป็นฮ่องเต้แล้ว
เฉินตันจูเหม่อลอยเล็กน้อย ในใจของนางเบาหวิว “มันเป็นเรื่องดี เขาย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างแน่นอน”
องค์หญิงจินเหยายิ้มพลันพยักหน้า พลางพูด “เรื่องมงคลของเสด็จพี่หกไม่รีบ” นางพูดพลันมองเฉินตันจูอย่างมีนัย “จัดการเรื่องมงคลของเสด็จพี่สองและเสด็จพี่สี่ก่อน”
สองคนนั้นมีเรื่องดีอันใด สมองของเฉินตันจูไม่หมุน นางมองอีกฝ่ายด้วยความผงะ
“อภิเษกอย่างไรเล่า เจ้าลืมแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อทรงกำหนดงานอภิเษกให้เหล่าท่านอ๋อง” องค์หญิงจินเหยาพูด พลันยื่นมือจิ้มหน้าผากของอีกฝ่าย นางเม้มปากยิ้ม “เจ้าเองก็มี”
เฉินตันจูหลบหลีก พูดเสียงเบา “เรื่องนั้นยังมีผลหรือ”
“เหตุใดจึงไม่มีผล เสด็จพ่อทรงแลกเปลี่ยนเครื่องหมั้นหมายกับบรรดาตระกูลของพระชายา เพียงแต่เกิดเรื่องก่อนหน้านี้จึงไม่อาจจัดงานอภิเษกได้ เวลานี้เสด็จพ่อตรัสแล้ว ให้ทุกคนอภิเษกทันที ถือว่าขจัดสิ่งอัปมงคลให้พระองค์” องค์หญิงจินเหยาพูดพลางถือถ้วยชาเอาไว้ ก่อนจะชะงักไป “แต่ว่างานอภิเษกของเสด็จพี่สามยกเลิกไปแล้ว”
เฉินตันจูนั่งตัวตรงทันที “ยกเลิกได้ด้วยหรือ” จากนั้นนางจึงนึกถึงตัวตนของฉู่ซิวหยง เขาถูกปลดเป็นสามัญชน ในสายตาของตระกูลใหญ่ เขาก็คือนักโทษ “เพราะฝ่ายหญิงเปลี่ยนใจใช่หรือไม่”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม “ไม่ใช่ ฝ่ายหญิงไม่เพียงไม่เปลี่ยนใจ คุณหนูท่านนั้นยังแอบมาแสดงเจตนากับเสด็จพี่สามอย่างลับๆ เพียงแต่…เสด็จพี่สามยืนกรานที่จะยกเลิกการหมั้นหมายจึงทำเช่นนี้ เวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเสด็จพ่อแล้ว”
พูดจบนางก็ถอนหายใจ อีกทั้งยังเหลือบมองเฉินตันจู
เฉินตันจูครุ่นคิด องค์หญิงถอนหายใจก็ถอนหายใจ มองนางทำอันใด แต่นางก็อดที่จะถอนหายใจเสียงเบาไม่ได้
องค์หญิงจินเหยากับจางเหยาขอตัวจากไปโดยไม่ได้อยู่กินข้าว
เรื่องสงครามยังไม่สิ้นสุด แม้จะมีเฉินเลี่ยหู่นั่งบัญชาการ แต่ก็มีเรื่องมากมายต้องให้องค์หญิงจินเหยาจัดการ นางมาพบเฉินตันจูได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
แต่ว่า…
“จางเหยา เจ้าไม่ต้องรีบไป” เฉินตันจูรั้งเขาเอาไว้ “ภูเขาและลำธารไม่หนีจากไปที่ใด เจ้าต้องพักผ่อน พักรักษาตัวอยู่ในเรือน”
จางเหยาขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องๆ องค์หญิงจินเหยาทรงไม่ให้ข้าไปที่ใดคนเดียว องค์หญิงให้องครักษ์ติดตามมามากมาย ข้าอยู่ด้านนอกสบายกว่าอยู่ในเรือนเสียอีก”
“มีคนติดตามมากก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป” เฉินตันจูครุ่นคิด
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยความโกรธ “ยังมีไต้ฟู ไต้ฟู ไต้ฟูหลายคน ได้แล้วหรือไม่”
เฉินตันจูเหมือนยังต้องการพูดบางสิ่ง แต่เฉินตันเหยียนไม่อาจทนดูต่อไปได้อีก นางเดินขึ้นหน้าจับแขนน้องสาวที่เหมือนท่อนไม้เอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
“เอาเถิด นายน้อยจางย่อมมีขอบเขต” นางพูด “นายน้อยจางฉลาดเฉลียวเพียงนั้น แม้แต่สถานการณ์อันตรายปานนั้นก็สามารถพาองค์หญิงหนีรอดมาได้ เจ้าอย่าได้ดูถูกเขา”
นางย่อมไม่ได้ดูถูกเขา หากแต่ชื่นชมเขาอย่างมาก จางเหยามีความสามารถมาก เพียงแต่เขาตายเร็วเมื่ออดีตชาติ แต่เมื่อครุ่นคิด จางเหยาสามารถหนีรอดจากการไล่ล่าของทหารซีเหลียงที่อันตรายเพียงนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าโชคชะตาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
เฉินตันจูรีบขอโทษจางเหยา พลันส่งเขากับองค์หญิงจินเหยาจากไป นางมององค์หญิงจินเหยาขึ้นรถม้า จางเหยาขี่ม้าตามอยู่ด้านข้าง เมื่อนั่งบนรถ องค์หญิงจินเหยาก็เปิดม่านรถขึ้น จางเหยาหันหน้าไปพูดคุยกับนาง
“…เห็นบุรุษดีกว่าสหาย องค์หญิงทรงหมายถึงกระหม่อมรูปงามหรือ”
องค์หญิงจินเหยาถ่มน้ำลาย
เมื่อเฉินตันจูที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินประโยคนี้ นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นนางจึงหันไปพูดกับเฉินตันเหยียน “ท่านดู จางเหยาน่าขันเพียงใด เขาหยอกล้อกับองค์หญิงจินเหยาด้วย”
เฉินตันเหยียนยิ้ม “ใช่ นายน้อยจางน่าขันมาก”
ใช่ จางเหยาเป็นคนที่ดีมาก ดวงตาของเฉินตันจูเต็มไปด้วยความดีใจ หางตาของนางเหลือบเห็นเสี่ยวเตี๋ยที่อยู่ด้านข้าง
เสี่ยวเตี๋ยทำหน้าไม่อยากมอง
“เสี่ยวเตี๋ยเจ้าทำสีหน้าใดกัน” เฉินตันจูถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่รู้สึกว่านายน้อยจางดีมากอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเตี๋ยหัวเราะแห้งสองที “ดี ดีมาก ดีมากๆ”
เฉินตันจูไม่ถกเถียงกับนาง เพียงแค่มองส่งองค์หญิงจินเหยากับจางเหยาจากไปภายใต้การอารักขาของทหาร นางไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกอีก หากแต่นั่งครุ่นคิดอยู่ใต้ราวต้นองุ่น
เฉินตันเหยียนทำรองเท้าให้เฉินเสี่ยวหยวนอยู่ด้านข้าง เมื่อนางเห็นเฉินตันจูทำหน้าหนักใจ จึงอดถามขึ้นไม่ได้ “กำลังครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ เหตุใดจึงจริงจังเพียงนั้น ในเมืองหลวงมีข่าวที่ไม่ดีหรือ”
เฉินตันจูส่ายหน้า “ไม่มี ทุกเรื่องในเมืองหลวงล้วนเป็นไปได้ดี ฉู่…องค์รัชทายาททรงอยู่ ไม่มีทางเกิดปัญหาอย่างแน่นอน”
เฉินตันเหยียนมองนางด้วยรอยยิ้ม “แล้วเจ้าเป็นอันใด”
เฉินตันจูหันหน้ามามองนาง พลันขยับเก้าอี้เตี้ยเข้าใกล้อีกนิด ถามเสียงเบา “ท่านพี่ ท่านคิดว่าจางเหยาเป็นอย่างไร”
“คนที่น้องสาวของข้าปกป้องย่อมต้องเป็นคนที่ดีมาก” เฉินตันเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูยิ้มอย่างเขินอาย “ถ้าคิดว่าข้าแต่งกับเขาจะเป็นอย่างไร”
เวลานี้เฉินตันเหยียนที่เคยชินกับงานปักควบคุมมือของตนเองได้อย่างดี ไม่ทำให้เข็มทิ่มมือของตนเอง แต่จู๋หลินที่นั่งเขียนจดหมายบนหลังคากลับไม่โชคดีเพียงนั้น มือของเขาสั่น ทำให้หมึกเปรอะเปื้อนกระดาษจดหมายที่เขียนเต็มไปด้วยตัวอักษร
น่าโมโหเสียจริง จู๋หลินทำได้เพียงขยำกระดาษทิ้ง
แต่ละวันคุณหนูตันจูคิดสิ่งใดกัน
ก่อนหน้านี้จะอยู่ที่นี่ต่อ จากนั้นจะแต่งงานกับจางเหยา…อืม หากแต่งงานกับจางเหยาย่อมไม่ต้องไปเมืองหลวง
แต่ว่าจู๋หลินก็นึกขึ้นมาได้ ราวกับว่าคุณหนูตันจูถูกฮ่องเต้ทรงหมั้นหมายให้องค์ชายหก
เฉินตันเหยียนที่อยู่ในลานก็กำลังถามคำถามนี้ออกมา
“อาจู” นางถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลืมไปแล้วหรือไม่ เจ้าได้หมั้นหมายกับองค์ชายหกแล้ว”
เฉินตันจูหลุบตา “ข้าไม่ลืม แต่สถานการณ์ในเวลานั้น แตกต่างจากท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลู เรื่องของข้ากับองค์ชายหกเกิดขึ้นเพราะแผนการขององค์รัชทายาท อีกทั้งฝ่าบาททรงโกรธจึงลงโทษพวกเรา…”
ถึงแม้ อืม ต่อจากนั้นองค์ชายหกจะอธิบายให้นางฟังมากมาย…
เฉินตันเหยียนมองน้องสาวที่หลุบตาต่ำพร้อมกับสองแก้มที่ปรากฏสีแดงระเรื่อ
“แต่พวกเจ้าก็ได้มีความเห็นร่วมกันแล้วใช่หรือไม่” นางเตือนน้องสาว
นางไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าน้องสาวใจกล้า หรือขี้ขลาด นางขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้าต่อความรู้สึกขององค์ชายหก แต่นางใจกล้าที่จะไปหาผู้อื่นมาเป็นสามี
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ถึงแม้จะมีความเห็นตรงกันแล้ว แต่เวลานี้แตกต่างออกไปแล้ว เขาเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ภายหน้ายังต้องเป็นฮ่องเต้ เรื่องใหญ่อย่างการอภิเษกจะนำมาล้อเล่นได้อย่างไร”
เฉินตันเหยียนยิ้ม “เรื่องใหญ่อย่างการอภิเษกย่อมนำมาล้อเล่นไม่ได้ ดังนั้นพวกเจ้าต้องครุ่นคิดให้ดี”
ดังนั้นเวลานี้นางกำลังครุ่นคิดอย่างดี เฉินตันจูไม่พูดสิ่งใด เพียงแค่เกยคางครุ่นคิดอย่างตั้งใจต่อไป
จู๋หลินที่อยู่บนหลังคาก็ครุ่นคิด หากคุณหนูตันจูไม่ตามตื๊อ เรื่องงานอภิเษกของนางกับองค์ชายหกย่อมถือเป็นโมฆะ
ท่านแม่ทัพย่อมไม่ต้องลำบากใจเพราะเรื่องนี้แล้ว!
จู๋หลินหยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อเขียนข่าวดีนี้ส่งไปให้ทางเมืองหลวงทันที
…
วังหลวงในฤดูหนาวตอนต้นเย็นยะเยือก ตำหนักทรงงานที่อบอุ่นเปลี่ยนคนนั่ง บรรยากาศก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้
อาทิมีคนกำลังส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายใน ทำให้บรรดาขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักรีบถอยออกห่างเล็กน้อย
อีกฝ่ายกำลังดูหมิ่นองค์รัชทายาท
ระยะนี้ องค์ชายหกที่ไร้ความโดดเด่นถูกฮ่องเต้ทรงสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทอย่างกะทันหัน มีขุนนางมากมายไม่พอใจ ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเสียมารยาทบนราชสำนัก แต่องค์ชายหกผู้นี้กลับให้องครักษ์โบยขุนนางเหล่านี้
ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทองค์ก่อนล้วนอ่อนโยนและมีมารยาท ไม่ว่าจะโกรธอย่างไร อย่างมากก็เพียงแค่ไม่ใช้ประโยชน์ แต่ไม่เคยโบยขุนนางในราชสำนักมาก่อน
มันถือเป็นการเหยียดหยาม
บรรดาขุนนางเหล่านี้ถูกโบยไม่หนัก แต่เนื่องจากอับอายขายหน้า จึงโกรธจนไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้
วันนี้ผู้ที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งนี้ย่อมถึงคราวโชคร้าย
หวังเจียนภายในตำหนักไม่รู้สึกถึงความโชคร้ายแม้แต่น้อย เขาพลางหัวเราะพลางถามฉู่อวี๋หยงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นกน้อยบินเข้าอ้อมอกเองอย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวที่คำนึงถึงผู้อื่น มีจิตใจเมตตาอีกอย่างนั้นหรือ” เขาพูดสิ่งที่ฉู่อวี๋หยงเคยกล่าวเอาไว้ออกมา จากนั้นหัวเราะร่า “หญิงสาวที่มีเมตตาเพิ่งบินหนีไปกี่วันก็เริ่มหาสามีคนใหม่เสียแล้ว”
สีหน้าของฉู่อวี๋หยงไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน เขาขมวดคิ้วด้วยความระอา
เขาชะล่าใจเกินไปเสียจริง
“เฉินตันจู” หวังเจียนทับถมอยู่ด้านข้าง “มีมโนธรรมที่ใดกัน!”